EQ ดีชีวิตมีสุข


การเข้า EQ camp ในครั้งนี้ ทำให้เราเข้าใจชัดเจนว่า ก่อนจะเรียนรู้อะไรภายนอกให้ได้ดีนั้น เราต้องเรียนรู้ภายใน (ตัวเรา:จิต-สติ-ความคิด) ของเราให้ดีเสียก่อน

     วันที่ 27- 31 ส.ค. ที่ผ่านมา ได้เข้าไปเรียนรู้เรื่อง EQ กับเพื่อนๆ FA กลุ่มนำร่องที่ LEARNING CENTER ของ Sun food  นี่เป็น Module ที่ 2 (หลังจากผ่าน Module 1 การเรียนรู้ตัวเอง มาแล้ว) เป็นสัปดาห์ที่สนุก เหนื่อย และ หลากหลายอารมณ์มาก มีเรื่องประทับใจ มีความรู้ดีๆ มากมายเกิดขึ้น และที่สำคัญได้ "เรียนรู้" EQ อย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่ใช่แค่การ "รับรู้" เท่านั้น

เราได้ทำกิจกรรมมากมาย ซึ่งก็ได้เห็นอาการ อารมณ์ที่แตกต่างกันไป

...วันแรก ได้เป็นพี่เลี้ยงเด็กฝึกหัด ที่ศูนย์ดูแลเด็กของบริษัท ไปช่วยครูพี่เลี้ยง พาอาบน้ำ แต่งตัว... พากินข้าวกลางวัน... พานอนหลับกลางวัน... พากินขนม, ผลไม้ตอนบ่าย... พาเล่นสนุกช่วงบ่าย...  วันนั้นมีเด็กประมาณ  20 กว่าคน ทำให้ รู้ และ เห็น อาการตัวเองชัดเจนว่า เวลาเด็กร้องไห้ งอแง หรือเรียกร้องความสนใจด้วยพฤติกรรมแปลกๆ หลายอย่างนั้น เราเกิดอาการสารพัด ทั้งหงุดหงิด รำคาญ เครียด ขัดใจ สนุก ดีใจ ตลก แปลกใจ ประหลาดใจ ... ฉันใช้ สติ มาดับอารมณ์หลายอย่างได้ รู้ว่าเด็กแต่ละคนมีนิสัยแตกต่างกันไปนั้นมีที่มา เราต้องทำความเข้าใจกับเด็ก ต้องมองหา ให้เห็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เด็กมีพฤติกรรมแบบนั้น ไม่ควรไปเพ่งโทษเด็ก ที่ตกผลึกได้ก็คือ การเลี้ยงเด็กให้ดีนั้น ผู้เลี้ยงต้องใช้สติ  ไม่ใช้อารมณ์ (จิตเกิด) กับเด็ก เด็กก็จะกลายเป็นผู้มีสติดี...(แล้วปัญญาจะตามมา)

    ประทับใจคุณสุริยาซึ่งเป็นหนึ่งในทีม FA ตกผลึกความคิดจากการไปเลี้ยงเด็กครั้งนี้ ได้ว่า ที่เด็กมีความสุขนั้นเพราะ เด็กอยู่กับปัจจุบัน เด็กไม่กังวลกับอดีตที่จบไปแล้ว ไม่กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ถ้าเราจะมีความสุขแบบที่เคยมีในวัยเด็กได้ เราต้องฝึกอยู่กับปัจจุบัน !!! ...ฉันได้คิดตาม แล้วก็ เออ!...ใช่เลย การอยู่กับปัจจุบัน เราเคยรู้ไหมว่าปัจจุบันเรากำลังทำอะไรอยู่ เริ่มจากง่ายๆ อย่างลมหายใจเราตามทันไหมว่าปัจจุบันหายใจเข้า หรือว่าหายใจออกตอนไหน ถ้าเรารู้ นั่นก็เรียกว่า เรามีสติ

วันที่สองได้ไปพูดคุย แลกเปลี่ยนกับผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ อาสาสมัครในวัดพระบาทน้ำพุ...ไปดูพิพิธภัณฑ์ชีวิตที่ผู้ป่วยบริจาคร่างกายตนเองให้เป็นที่เรียนรู้เรื่องโรคเอดส์ ไปร่วมพิธีเผาศพ (ซึ่งมีให้เห็นทุกวัน) ได้พูดคุย สอบถามทั้งผู้ป่วยที่นอนพักรักษาตัว และผู้ป่วยที่แข็งแรง ได้พูดคุยซักถามการทำงานของเจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครที่ทำงานในนั้น ฉันได้เห็นอาการทางกาย ทางอารมณ์ของตัวเองมากมายที่นี่... มีทั้งกังวล  กลัว(เชื้อรา, วัณโรค) ซึม เศร้า หดหู่ เห็นใจ ฉันต้องใช้การเปิดใจเพื่อรับฟัง และเข้าใจความรู้สึกที่แต่ละคนบอกเล่าออกมา หลายคนยังมีความหวังที่จะแข็งแรง กลับไปมีชีวิตปกติที่บ้าน แต่หลายคนก็ไม่หวังอะไร อยู่แบบสงบ เฉยๆ และอีกหลายคนที่สิ้นหวัง ท้อแท้จนต้องจบชีวิตไปอย่างรวดเร็ว...  

ที่นี่ทำให้ฉันคิดได้ว่าเราต้องใช้ สติ (อีกแล้ว) เพื่อจะดำรงชีวิตแบบไม่ประมาท และถ้าเรื่องร้ายเกิดกับตัวเองสติจะช่วยเยียวยา ให้เราได้ดี นับว่าสติเป็นยาวิเศษประจำตัว ที่ต้องสะสมไว้เป็นภูมิคุ้มกัน ร่างกายอย่างดีมากกกกกกกก... สิ่งที่ตกผลึกได้ก็คือ นอกจากความเมตตา กรุณา แล้ว เราต้องรู้จักการปล่อยวาง หรือเข้าใจเหตุที่มา ที่ไป อย่า IN (มีอารมณ์ร่วม) เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไร คุณสมเกียรติ เป็นผู้มาช่วยถอดรหัสภายหลัง ได้ช่วยอธิบายด้วยการใช้คำง่ายๆ คือ ให้ เฉยมอง = มองทุกอย่างด้วยใจนิ่ง (จิตไม่เกิด) ประทับใจมาก (อีกแล้ว)

วันที่สามเราได้ Show&Share เรื่อง สิ่งที่เรา Finding/ Feeling ของกิจกรรมทั้งสองวันที่ผ่านมา และก็ค้นพบอีกแล้วว่าเวลามาคุยกันหลายๆ คนมันทำให้เราต่อยอดความคิดกันไปมากมาย และได้ความรู้เพิ่มขึ้นเยอะมากๆ นี่เองประโยชน์ของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้

วันที่สี่เราฝึกการฟังแบบ Deep Listening โดยการใช้เทคนิคของ Indian stick มาช่วย ตอนแรกคิดว่าจะเป็นการเล่าเรื่องแบบเรียบ ๆ เรื่อยๆ ...แต่มันไม่ใช่.. สนุกสนานเฮฮามาก มีบางครั้งที่ต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้ เพราะกลัวจะเสียสมาธิ และเราก็ค้นพบกับตัวเองว่าการฟังอย่างตั้งใจ เข้าอกเข้าใจอารมณ์ผู้พูดนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ บางทีเราก็หลุดคิดโต้แย้งบ้าง คิดเชื่อมโยงถึงเรื่องราวของตนเองบ้าง ทำให้ตามไม่ทันว่าผู้พูดพูดไปถึงไหนแล้ว ประทับใจพี่โอ๋(เสาวคนธ์)มาก กติกาไม่ให้พูดแทรกใช่ไหม... แต่มันอดไม่ไหวน่ะ ขอเขียนเป็น Note มาร่วม Jam ด้วยจนได้ 

การฝึก Deep listening ทำให้เราเห็นความคิด เห็นว่ามันรวดเร็วมากกว่าความเร็วแสงซะอีก ฟังๆอยู่ ก็คิดแว๊บไปเรื่องอื่นอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ต้องใช้ สติ (อีกแล้วๆๆๆ) มาดับความคิดนั้น ดับทันบ้าง ไม่ทันบ้าง ก็ยังดี ที่ได้ฝึก 

ช่วงบ่ายผู้บริหารมาร่วมเป็นแขก มาถอดรหัส ในเรื่อง EQ และตอบข้อซักถามที่มันคาใจพวกเราได้อย่าง ชัดแจ้งมากๆ 

สิ่งสำคัญก็คือ การมี EQ ดี ก็คือ

<<<การปฏิบัติเพื่อ...ตามดูอาการทางกาย และความรู้สึก ของตนเอง และผู้อื่นให้ได้        

<<<การเปลี่ยนกรอบความคิด คิดว่าทุกคนมีคุณค่า มีจุดเด่น ที่ควรชมเชย  คิดว่าทุกคนเหมือนญาติ (มาจากบรรพบุรุษเดียวกัน) จะได้เปิดใจ และพยายามเข้าใจกันมากขึ้น และคิดว่าการโกรธเป็นการสร้างสารพิษมาทำลายตนเอง คนที่ถูกโกรธไม่ได้มารับสารพิษนั้นเลย

<<<การฟัง ซึ่งมีหลายระดับ ทั้ง Inner voice, Suspend, Respect และ Deep listening เราสร้างทฤษฎีร่วมกันว่า การฟังแบบ Deep listening ไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของความสุข สงบของตน และคนรอบข้าง เราอาจมีความจำเป็นต้องใช้การฟังหลายๆระดับในแต่ละสถานการณ์ได้ ...บางทีการแกล้งฟัง หรือ เลือกฟัง ก็ใช้ได้ดีในบางสถานการณ์...

วันที่ห้า เราไปทำบุญร่วมกัน ไปเลี้ยงขนมเด็กของมูลนิธิธรรมรัตน์ หรือลูกๆ ของผู้ติดเชื้อเอดส์จากวัดพระบาทน้ำพุ

ขอบคุณความรู้ และประสบการณ์ดีๆ ของแต่ละที่ที่ได้ไป และเพื่อนๆ FA ทุกคน...การเข้า EQ camp ในครั้งนี้ ทำให้เราเข้าใจชัดเจนว่า ก่อนจะเรียนรู้อะไรภายนอกให้ได้ดีนั้น เราต้องเรียนรู้ภายใน (ตัวเรา:จิต-สติ-ความคิด) ของเราให้ดีเสียก่อน เราต้องเปิดใจรับด้วยสติ ไม่ถูกปิดด้วย อคติ ความคิดขัดแย้ง หรืออารมณ์ด้านลบใดๆ ...

 

หมายเลขบันทึก: 125776เขียนเมื่อ 6 กันยายน 2007 19:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:19 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

หัวเราะ........ก็มีสมาธิได้ค่ะ.....ยิ้มและหัวเราะให้เยอะๆ นะค่ะ...อย่างบทเพลง ยิ้มไว้ โลกจะแตกก็ยิ้มไว้......เคยเอาไปใช้แล้วค่ะ ได้ผลดีที่เดียว......

ขอบคุณค่ะที่เข้ามาอ่าน มาแลกเปลี่ยน จะนำไอเดียนี้ไปลองใช้บ้าง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท