เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก็ออกตรวจที่โรงพยาบาล แผนก extended care เหมือนทุกๆวันศุกร์ แต่วันนี้เจอกรณีที่ทำให้ คิดและพูดในใจกับตัวเองว่า
"ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรดี"
ผู้ป่วยเป็นชาย อายุ 60 กว่าๆ ถือว่าอายุไม่มากเลยเมื่อเทียบกับคนอื่นๆที่รับการรักษาอยู่ที่แผนกนี้
ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองขึ้นรุนแรง จากอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ท่านต้องอยู่บนรถเข็นที่เป็นกึ่งเก้่าอี้กึ่งเตียงตลอด พูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ ขยับหัวได้ แต่ปากเบี่้ยว เคี้ยวอาหารไม่ได้ กลืนลำบาก (dysphagia) ต้องรับอาหารทางท่อเจาะท้อง(PEG tube)
ท่านั่งของผู้ป่วยก็ดูไม่สบายเลย คอตก มีเสลดก็ไอ จะหายใจไม่ออกเอา ท่านหลับตาตลอด โต้ตอบกลับมาไม่ได้
ท่านมีฟันเหลือหลายซี่ แผงฟันหน้าไม่มี สงสัยหักไปตอนรถชน แต่มีฟันเขี้ยวบนทั้ง 2 ข้างเหลือกัดริมฝึปากล่างจนเป็นแผลที่กลายเป็นแผลเป็นบวกกับแผ่นขาวๆ (white patches) ขนาด 3cm x 2cm ขูดไม่ออก ผิวก็ขรุขระ คลำก็แข็ง ดูไม่ดีอย่างแรง
วันที่ไปตรวจมีหมออีกคนไปด้วย เราหันหน้ามามองกัน แล้วก็พูดว่า "doesn't look good"
หน้าตาของรอยโรค (lesion) ก็คล้ายๆในรูปเหล่านี้ค่ะ เพียงแค่ตำแหน่งต่างกัน
source: http://www.entusa.com/oral_photographs/leukoplakia.JPG
source: http://www.cfpc.ca
เราก็ทำตาม protocol คือต้องส่งต่อผู้เชี่ยวชาญทาง oral med/oral pathology ที่มหาวิทยาลัยซึ่งทำงานร่วมกับสถาบันมะเร็งของเมืองเพื่อทำการวางแผนการรักษา ว่าต้องผ่าชิ้นเนื้อ (biopsy) หรือต้องทำอะไรต่อไป สำหรับหน้าที่เราวันนั้นคือเขียน consultation requisition form ส่งต่อผู้ป่วย แล้วก็จบ แต่ขั้นตอนถัดจากนี้ไปนี่น่าคิดเหมือนกันค่ะ
---------------------------------------------------------------
เจอแบบนี้ก็เงียบไปค่ะ ธรรมดาเวลาพบรอยโรคที่อาจเป็นมะเร็งในช่องปากจะรู้สึกดีใจว่าเราพบมันแต่เนิ่นๆ จะได้รักษาทัน
แต่ในกรณีผู้ป่วยท่านนี้ไม่รู้เลยว่าจะรู้สึกอย่างไร ตอนที่คุยกับหัวหน้าพยาบาล พยาบาล(ชาย)ท่านก็หน้าเฉยๆมาก ไม่ตกใจไม่อะไรเลย ทำให้เราแอบสงสัยไม่ได้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่น้า
แล้วญาติผู้ป่วยเมื่อทราบข่าวแล้ว (ถ้าเกิดมันเป็นมะเร็งจริงๆ) จะตัดสินใจอย่างไร จะ consent ให้รักษาถึงขั้นไหน
---------------------------------------------------------------สวัสดีค่ะ อ.มัท
อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้นึกชมน้ำใจคนที่เป็นแพทย์พยาบาลและบุคลากรที่เกี่ยวข้องนะคะ นอกจากความรู้สูงแล้วยังต้องมีใจสูงอีกด้วย จึงจะรับภาวะ(และภาระงาน)ได้อย่างดี
และทำให้เห็นด้วยว่า พรหมวิหารสี่ ที่เรียนมา(หรือผู้ใหญ่สอนมา)แต่เล็กแต่น้อยนี่สำคัญจริงๆ
สวัสดีครับอาจารย์ มัท
อาจารย์กำลังรู้สึกถูกต้องตามที่ควรจะเป็นแล้วครับ เราไม่ควรจบ เพียงเพราะว่าได้ทำตาม protocal เสร็จสิ้นการดูแลทางคลินิก
แต่เพราะ คนไข้ก็เป็นคน แม้อาจดูไม่น่าจะรู้สึกอะไร พูดไม่ได้ ตอบสนองอะไรก็ดูไม่ค่อยได้ แต่คนไข้แบบนี้ อาจจะรู้สึกได้ รับรู้ได้ ญาติที่ดูแลก็เป็นคน มีความรู้สึกทุกข์ มีความผูกพันธ์ เหมือนกัน
ที่สำคัญเราเองก็เป็นคน มีสุขมีทุกข์เหมือนกัน แล้วเราก็เป็นบุคคลเพียงไม่กี่คน ที่จะต้องร่วมตัดสินใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าเราไม่รู้สึกคิดแบบที่อาจารย์คิด การตัดสินใจจะอยู่บนพื้นฐานของตำรา ของprotocal ที่ไม่แน่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้และญาติหรือไม่
หัวหน้าพยาบาลมองแล้วเฉย ๆ ก็คงไม่แปลกครับ เขาเห็นของเขาอย่างนี้มานานจนชินชาไปเสียแล้ว ผมเห็นพวกเราตามโรงพยาบาล แผนก ER เวลา resuscitation ยังหัวเราะ ไป CPR ไป อยู่บ่อย ๆ เลยครับ
สวัสดีค่ะคุณหมอจิ้น
ขอบคุณมากๆเลยค่ะที่แวะมาอ่านและลงความเห็นไว้ มัทมีเหตุการณ์ให้เรียนรู้ใจตัวเอง และสอนการเป็นหมอที่มากไปกว่าอ่านเจอในตำราหรือกฎ protocol เรื่อยๆค่ะ แล้วจะมาบันทึกไว้ เพื่อนขอคำปรึกษาอีกใน โอกาสต่อๆไปนะคะ
มัทคิดเหมือนพี่แอมป์ (ดอกไม้ทะเล) เลยค่ะ ยิ่งพยาบาลที่อารมณ์ดีตลอดเวลา ยิ้มแย้มทำงานในแผนกผู้ป่วยเรื้อรังยิ่งน่าชื่นชมมากค่ะ
ใช่เลยค่ะคุณ Conductor
่มัทก็ต้องพยายามไม่เผลอ ต้องคิดว่าท่านอาจจะได้ยินหมด แต่ตอบโต้ไม่ได้เท่านั้นเอง
ไม่แน่ใจว่าผู้ป่วยรายนี้มี caregiver ไหมครับ ถ้ามีเขาคิดอย่างไร คงต้องคุยในรายละเอียด น่าจะเกิดจากการตัดสินใจร่วมครับ
ส่วนความรู้สึกของคุณมัทที่ว่า
"ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรดี" ผมคิดว่าน่าสนใจครับ ผมคิดว่าคงเป็นความรู้สึกเชิงลบ+อึดอัดต่อความไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนทำให้เกิดความกังวล การกำจัดความรู้สึกที่ไม่ดีที่ดีที่สุดคือ "ทำความเข้าใจอารมณ์นั้น ตระหนักรู้ โดยไม่นำมาเป็นอารมณ์ สุดท้ายทุกปัญหามักคลี่คลายตัวเองตามเหตุปัจจัย"
สวัสดีค่ะ คุณโรจน์
ไม่ได้เจอนานเลย
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ
"ทำความเข้าใจอารมณ์นั้น ตระหนักรู้ โดยไม่นำมาเป็นอารมณ์"
ลองคิดดูเหมือนกันค่ะ พูดตามตรงว่า รู้สึกแย้งในใจค่ะว่า ถ้าเค้าเป็นมะเร็งอาจจะดีจะได้พ้นทุกข์เร็วขึ้น เพราะอยู่แบบนี้มันทรมานเหลือเกิน เจ็บอยู่ทุกวัน สื่อสารก็ไม่ได้ แต่อีกใจก็คิดว่าเราไม่น่าแว๊บคิดแบบนั้นเลย เราไม่มีสิทธิ์ เพราะชีวิตก็คือชีวิต แถมมะเร็งก็เจ็บเช่นกัน
มัทนึกถึง พรหมวิหาร 4 เลยค่ะ ช่วยได้มาก แล้วก็นึกต่อเรื่องอิทัปปัจจยตาต่อมา
คล้ายกับที่คุณโรจน์แนะนำเลยค่ะ
"สุดท้ายทุกปัญหามักคลี่คลายตัวเองตามเหตุปัจจัย"
ขอบคุณมากเลยนะคะ