บันทึกการเดินทาง(1)


การเรียนรู้จักใช้ใจนำเหตุผลเพื่อที่จะมองสภาพปัญหาและหาทางออกในการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

ช่วงเดือนสิงหาคมนับจากวันแม่ที่ผ่านมาไม่ได้เขียนบันทึกเลยเพราะจะกลับบ้านไปอยู่ดูแลแม่หลังผ่าตัด..ซึ่งนับเป็นการฝึกหัดตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจแบบตั้งตัวไม่ค่อยจะทัน..จากที่ก่อนแม่จะป่วยฉันไม่จำเป็นต้องเดินทางกลับบ้านบ่อยๆไม่ต้องตื่นแต่เช้าแล้วแข่งกับเวลาในการเดินทางมาทำงานให้ทัน

แต่เมื่อแม่เจ็บป่วยและฉันตั้งใจที่อยากจะให้เวลาแก่แม่เพิ่มมากขึ้น...การแบ่งเวลาระหว่างงานกับบุพการีจึงต้องมีการทบทวนกิจกรรมกันใหม่หลายอย่าง..รู้สึกเหนื่อยแต่ก็คุ้มค่าเพราะแม่เป็นครูต้นแบบที่ดีมากในการที่จะฝึกหัดใจของตัวเองให้เข้าใจเต็มถึงการรักอย่างไม่มีเงื่อนไข...

ฉันพบว่าการใช้ใจนำเหตุผลมันค่อนข้างยากเมื่อเอามาใช้จริงๆแต่มันก็ได้ผลไม่น้อย...ยกตัวอย่างเช่นแม่ผ่าตัดตาจักษุแพทย์ก็มีเอกสารแนะนำให้รู้ว่าไม่ควรขยี้ตาหรือสระผมเองหลังจากที่เพิ่งผ่าตัด...แต่ข้อห้ามทั้งหลายใช้ไม่ได้สำหรับแม่...ตอนยังไม่ได้ตัดไหมที่ตาหลายตรั้งที่แม่คงจะรู้สึกเคือง/คันตาแกก็พยายามจะขยี้...แรกๆฉันก็จะห้ามด้วยวาจาก่อน..มากขึ้นก็เริ่มเข้มพร้อมกับจับมือที่จะขยี้ตานั้นออกห่าง..ก็จะได้ยินเสียงแม่แก้ตัวแบบอ่อยๆว่าก็มันเคืองตานี่...

ฉันรู้เลยนะว่าตอนเด็กๆที่ฉันรู้สึกว่าแม่ดุและน่ากลัวมากๆอาจเป็นเพราะว่าฉันคงจะทั้งซนทั้งดื้อมากๆจนแม่เหนื่อยที่จะเตือน/ห้ามปรามดีๆแม่จึงใช้เสียงดุมั่งตวาดมั่งตามอารมณ์...มาตอนนี้เมื่อฉันต้องดูแลแม่ฉันเข้าใจเลยนะว่าการดูแลใครสักคนไม่ง่ายเลยยิ่งถ้าคนๆนั้นเป็นคนที่คุณรู้สึกทั้งห่วงทั้งคาดหวังคุณจะยิ่งเหนื่อยเป็นสองเท่าเมื่อพบว่าเขาดูแลตนเองต่ำกว่าเกณฑ์ที่คุณมุ่งหวัง...อารมณหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจ(เรา)มันก็ช่างมาเยือนได้เกือบทุก5นาที

ฉันคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายมีเหตผลดีกว่าแม่..แถมบางครั้งยังเผลอมองว่าแม่นี่ช่างไม่อดทนเอาเสียเลย...ซึ่งที่จริงแล้วฉันลืมไปอย่างหนึ่งว่าแม่เป็นคนที่เจ็บ/เคืองตาอยู่ในขณะนั้นดังนั้นถ้ายึดตามเหตผลเช่นว่านี้แม่จะขยี้ตาเมื่อคัน..มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะกระทำไม่ได้..

เมื่อชักจะเริ่มๆเข้าใจความคิดเบื้องหลังที่ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดต่อพฤติกรรมการขยี้ตาของแม่ได้แล้วฉันก็เริ่มใช้กลยุทธ์ใหม่ไม่ต้องมีเหตผลมากนักก็ได้แต่ใช้ใจนำ/สื่อสารด้วยใจมาใช้เพิ่มเติม...หลังจากที่แม่กำลังจะเอามือเขยิบไปใกล้ตาฉันก็ขว้ามือแม่ไว้แรกๆก็แค่จับมือเฉยไม่พูดอะไร..แต่พอรอบสองรอบสามนอกจากที่จะจับมือ

แล้วฉันก็จะเริ่มต้นคุยกับแม่ด้วยว่า" แม่ขยี้ตาแล้วเกิดผลเสีย...แย่ที่สุดคือการมองไม่เห็น..หนูไม่อยากเสียใจ ไม่อยากให้แม่ต้องตาบอดเลยนะ"ฉันพบว่าแม่ดูแลตนเองดีขึ้น(ว่าง่ายมากขึ้น)แม้บางครั้งจะเผลอไปบ้างก็ตาม

ฉันพบว่าเมื่อเราพยายามเย็น/ประนีประนอมลงให้อีกฝ่ายหนึ่ง..แม้แรกๆอาจจะขัดหรือฝืนตัวเองแต่เมื่อเราทำด้วยความเข้าใจว่าเราเลือกที่จะทำเพื่ออะไร..ความอัดอั้นบีบรัดมันก็คลายหรือผ่อนออกมาและแถมบางครั้งกลับรู้สึกท้าทายต่อตนเองว่าจะผ่านการทดสอบครั้งนี้ได้หรือไม่....

หมายเลขบันทึก: 125394เขียนเมื่อ 5 กันยายน 2007 21:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สวัสดีค่ะ

  เอาใจช่วยนะคะ เป็นบุญกุศลทั้งนั้นค่ะ สาธุ

พี่ขวัญคะ...

กะปุ๋ม...อยากจะบอกพี่ขวัญค่ะว่า...กำลังใจ...ที่เรามีให้เรานั้น...ยิ่งใหญ่มากเท่าที่เราสามารถแบ่งถึง...คนใกล้ชิดเราได้...

และที่สำคัญ...ยิ่งคือ...อยากบอกอีกค่ะว่า..ขอเป็นกำลังใจให้พี่ขวัญ...ได้ทำสิ่งที่งดงาม...ต่อคุณแม่ด้วยค่ะ

(^____^)

กะปุ๋ม

โลกนี้ไม่มีใครรักเรามากเท่าแม่หรอก ... เชื่อเหอะ

การดูแลกายและใจของแม่เรา เป็นสิ่งที่ลูกมนุษย์พึงกระทำ

คุณขวัญ ทำดีแล้ว ทำต่อไปนะคะ

มาให้กำลังใจขวัญและแม่ค่ะ   ขอให้หายเร็วๆค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท