คืนแรกของลมหายใจภายในกลดช่างอบอุ่นอย่างน่าอัศจรรย์
องค์ประกอบที่เพียงพอและพอเพียงกับการพักของอัตภาพร่างกายนี้
ผืนผ้าอันอบอุ่น ป้องกันจากเหลือบ ลิ้น ยุง
ร่มกลดที่ใช้กันแดดเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่อง กันฝนเมื่อหยาดพิรุณหลุดร่วงลงมาจากท้องฟ้า
ยามค่ำคืนที่แสงแห่งดวงจันทราสาดส่องบนผืนดิน ร่มกลดเปรียบเสมือนหลังคาที่ใช้หุ้มชีวิตให้เอนกายลงได้อย่างเอมใจ
เชือกที่ใช้ขึงระหว่างต้นไม้ทั้งสอง ไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป ใช้ในการกางกลดและปลดเปลื้องความชื้นที่ซ่อนเร้นอยู่ในผ้าซึ่งเป็นอัฐบริขารสำคัญในการนุ่งห่มและเดินทาง
ในป่าที่เปรียบเสมือนสวนแห่งชีวิต (Life Safari) ยามร้อนแดดส่องจ้าทั่วผืนปฐพี มีร่มเงาแห่งไม้น้อยใหญ่ช่วยกลั่นและกรองความร้อนแรงแห่งแสงนั้นไม่ให้ตกกระทบสรรสภางค์กาย
ลมเย็นเอื่อย ๆ นำพาอากาศอันสะอาดและบริสุทธิ์กระทบปลายจมูกเลาะเลื่อนผ่านหลอดลมลงไปถึงท้อง
“พุทธ” ช่วยให้หัวใจได้มีโอกาสฟอกโลหิตและสูบฉีดไปเลี้ยงทุก ๆ อณูของอัตภาพร่างกายนี้
“โธ” ผ่อนถ่ายลมแห่งชีวิตออกมาเพื่อรอโอกาสที่จะสุดลมแห่งชีวิตใหม่เข้าไปเป็นวัฏจักร
คนเรานั้นก็มีอยู่แค่ ๒ จังหวะ
ตราบใดที่เมื่อหายใจออกแล้วเรายังมีแรงนำลมหายในเข้า แสดงว่า “ชีวิต” ของเรานั้นยังคงมีอยู่
แต่เมื่อใดที่หายใจออกแล้วไม่มีโอกาสได้หายใจเข้าอีก
“จิตและกาย” ของเรานั้นคงจะต้องแยกจากกัน
กายคงเปรียบได้ดั่งท่อนไม้และท่อนฟืนที่ต้องวางอยู่ ณ ผืนปฐพี
ปัจจัย ๔ ที่เคยพึ่งพาอาศัยคงจะไม่จำเป็นสำหรับเราอีกแล้ว
คงเหลือแต่เพียงปฐมปัจจัยที่สร้างให้ชีวิตเรานั้นเกิดขึ้นมานั้นก็คือ “กรรม” ที่จะนำพา “จิต” ของเราเดินทางไป
จิตนั้นคงจะโลดแล่นไปตามผลแห่งกรรมที่ได้กระทำสั่งสมไว้ในวันที่มีลมหายใจเข้าและออกอยู่นั้นนั่นเอง
จะไปที่ใดนั้นเราเป็นผู้กำหนดและเรานั้นก็เป็นผู้รู้ได้ด้วยตนเอง
๓๑ มกราคม ๒๕๕๐
ในเวลาที่ตะวันเดินทางมายืนอยู่เกือบตั้งฉากกับพื้นพิภพ
ณ ใต้ร่มเงาแห่งเงาไม้ภายใต้ผืนป่า ณ วัดป่าดานวิเวก จังหวัดหนองคาย
ไม่มีความเห็น