อินเดียก็ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคไข้หวัดนกเช่นกัน ในช่วงที่โรคระบาดคนอินเดียก็หวาดกลัวกันมากและหลายคนถึงกับหยุดบริโภคเนื้อไก่ไปหลายเดือน ราคาเนื้อไก่ขณะนั้นจึงถูกมากเพียงแค่ 20 รูปีต่อกิโลกรัมเท่านั้นเองซึ่งปกติแล้วราคาจะอยู่ที่ระดับ 60-70 ต่อกิโลกรัม
พอข่าวเรื่องโรคระบาดจางหายไป คนก็หันกลับมาบริโภคเนื้อไก่เหมือนเดิม คราวนี้ราคาถูกปรับขึ้นถึง 100 รูปีต่อกิโลกรัม ซึ่งสร้างความหนักใจแก่ผู้บริโภคเป็นอย่างมาก แต่จำต้องทนเพราะผู้ผลิตก็ให้เหตุผลว่าราคาอาหารไก่แพงขึ้นเป็นเท่าตัว
เนื้อไก่ถือได้ว่าเป็นเมนูโปรดของนักศึกษาไทยเมืองเชนไนเพราะร้านขายเนื้อไก่มีอยู่ทั่วไปหาซื้อง่าย แต่เวลาจะซื้อไก่ต้องทำใจหน่อย เพราะเจ้าของร้านจะไม่เชือดไก่รอลูกค้า แต่รอให้ลูกค้าไปสั่งแล้วจึงทำการฆ่าไก่ในขณะนั้น นี่คือตำนานที่กล่าวขานกันว่า “ไก่ชี้” ผู้ชื้อสามารถ ชี้เป็น ชี้ตาย ได้ เพราะราคาไก่ที่ร้านจะมีอยู่สองราคาคือ Live (ไก่เป็น) และ Dressed (ไก่ที่เชือดและถอนขนแล้ว) ราคาแบบหลังจะแพงกว่าเพราะผู้ซื้อไม่ต้องลงมือเชือดเอง แต่ถ้าผู้ชื้อใจไม่แข็งพอคงไม่ได้ชิมเมนูไก่
ทุกครั้งที่มีความจำเป็นและจำใจทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา ชี้ตาย ผมจะต้องยืนอยู่หน้าร้านเสมอๆ พร้อมกับตะโกนสั่งเจ้าของร้าน “Boss, 1 kg” แล้วเดินเลี่ยงไปห่างๆ เพราะไม่อยากเห็นภาพอันหวาดเสียว
จากนั้นไม่นานได้ยินเสียงร้อง ก๊อกกกก แค่ครั้งเดียว ต่อมาไก่ตัวเคราะห์ร้ายจะถูกจุ่มลงหม้อน้ำร้อน แล้วนำไปถอนขนในเครื่องปั่นขนโดยใช้เวลาประมาณ 3 วินาทีเท่านั้นเอง ไก่ก็จะกลายเป็นไก่นู๊ดไร้ขนทันที จากนั้นเจ้าของร้านจะทำการตัดหัว ขา และควักเครื่องในทิ้งยกเว้นตับ และทำการชั่งอีกครั้งหนึ่งว่าได้ตามที่ลูกค้าสั่งหรือไม่
พอได้เนื้อไก่ตามที่สั่งแล้วก็รีบออกจากร้านทันที ขอปิดตำนานไก่ชี้เพียงเท่านี้แล.......
สวัสดีค่ะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าหวาดเสียวมากๆๆ
แล้วอย่างนี้ผู้เขียนชอบ "ชี้ป็น" หรือว่า "ชี้ตาย"คะ