ปัญหาที่พบบ่อยก็คือถ้าเลือดผู้ป่วยซีด (มีส่วนของเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ) สีน้ำเลือดก็จะจาง ทำให้เห็นปฏิกิริยาไม่ชัดเจน ในคู่มือที่แนบมากับน้ำยาก็จะบอกไว้ว่าให้เติมเลือดลงไปอีก เล็กน้อย กระปุกของเราก็ทำตามคู่มืออย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด
พี่เม่ย : กระปุกทำอย่างไงเนี่ย สีน้ำเลือดเท่ากันทุกรายเลย ไม่เห็นมีจางบ้างเข้มบ้างกระปุก: หนูก็ กะ เอาค่ะ ถ้าเห็นรายไหนดู ซีดๆ ก็เติมเลือดลงไปให้มากขึ้นอีกหน่อยพี่เม่ย : แล้วกะได้ยังไง ใช้สายตาดูเท่านั้นเหรอกระปุก : ใช่ค่ะ ซีดมากก็เติมเลือดมาก ซีดน้อยก็เติมเลือดน้อยพี่เม่ย : (คิด.. นี่มันความรู้จากประสบการณ์ชัดๆ.. ทำไงให้คนอื่นรู้ได้ด้วยหนอ?.)อ้าว! แล้วทำไมถึงไม่ วัดค่าออกมาได้ไหมว่า ซีดเท่าไรกระปุก : (ขมวดคิ้ว คิดเล็กน้อยแล้วตอบ) น่าจะได้ค่ะ ก็วัดเป็นค่า ฮีมาโตคริต (ร้อยละของปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น)พี่เม่ย : แล้วเติมเลือดไปเท่าไร วัดได้ไหมกระปุก : ก็น่าจะได้ค่ะ ก็ใช้ autopipette เป็นตัววัดปริมาตรเลือดที่ต้องเติมลงไปพี่เม่ย : อย่างนี้ก็ให้บันทึกค่าฮีมาโตคริต ของเลือดผู้ป่วยทุกราย พร้อมกับปริมาตรเลือดที่เติมลงไป นำมาสรุปเป็นตารางความสัมพันธ์ แล้วเขียนเป็นวิธีปฏิบัติให้ชัดเจน เผื่อมีคนอื่นมาฝึกงาน หรือต้องฝากงานคนอื่น เขาจะได้ทำได้อย่างที่กระปุกทำด้วย ...นะ..(เสียงเข้มๆ)กระปุก : ค่ะ (ในใจอาจจะคิดว่า..ทำไมพี่เม่ยไม่มาทำเอง xx? พี่เม่ยก็รีบคิดตอบในใจว่า ก็ฉันไม่มีประสบการณ์เหมือนเธอนี่ยะ!)
ชอบจังที่พี่เม่ยสามารถโยงสายใยของการงานให้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตนเองได้เรื่อยๆในลักษณะของรูปธรรม ทำให้คนหน้างานรู้สึกว่าเค้าได้อะไรจากการทำงานแบบใช้สมองไปด้วยตลอดเวลา แม้ในงานที่แสนจะเป็น routine ขอปรบมือให้ค่ะ (เชียร์กันเองไปไหมเนี่ย)