พอดีว่าช่วงที่ทางคณะ KM สัญจร ครั้งที่ 2 ได้มาที่จังหวัดพิจิตร
และทางทีมงานได้ฉายวีซีดี ของ "คุณจี๊ด" (นายสมนึก ไขระย้า)
ซึ่งเป็นภาพบางส่วนเท่านั้น
ผมเองคิดว่าเรื่องราวของเค้าน่าสนใจแก่การเรียนรู้และเผยแพร่อย่างยิ่ง
โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังลุ่มหลงอยู่กับสุราเมลัย จนเสียผู้เสียคน
คุณจี๊ดเป็นตัวอย่างที่ดีของปิศาจสุรากลับใจ
ผมจึงอยากนำเสนอให้สังคมได้รับรู้ เผื่อว่าทางสื่อมวลชน
อย่างรายการคนค้นฅน หรือรายการต่างๆมาต่อยอด (อันแอบหวังเล็กๆครับ)
เรื่องเล่าอาจจะยาวซักหน่อยนะครับ
เพราะอยากนำเสนอให้เห็นภาพของความทุกข์ จุดเปลี่ยน และชีวิตใหม่
แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องเล่านี้จะโดนใจแก่ผู้อ่านเท่าไร?
ยอมรับว่าเป็นมือใหม่จริงๆครับผม
คิดเห็นอย่างไรติชมด้วยนะครับน้อมรับฟังทุกความเห็น
คุณจี๊ด (สมนึก
ไขระย้า) : ผู้รอดพ้นจากคำว่าปิศาจสุรา
สมนึก ไขระย้า หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม
“คุณจี๊ด” เป็นเกษตรกรชาวสวนมะปรางไข่ หรือมะยงชิด
ที่ขึ้นชื่อลือนาม ด้วยขนาดของผลที่โต กว่าไข่เป็ด ไข่ไก่
ขายได้ราคาดี ทั้งผลและกิ่งพันธุ์
ในรอบหนึ่งปีจะมีพ่อค้าเข้ามารับซื้อกิ่งพันธุ์ที่ลงไว้ในถุงดำกว่า 1,000
กิ่งไปขายต่อ ราคาขายจากสวน
กิ่งละ 100 บาท เฉพาะขายกิ่งพันธุ์ก็ตกราว 100,000 บาทต่อปี
ถ้านับกับรายได้ที่ได้จากการขายผลมะปราง มะม่วง ที่ปลูกไว้ในพื้นที่ 1
ไร่ ที่มีอยู่ ก็ได้ปีละอีกประมาณ 40,000 บาท
รวมๆแล้วรายได้ที่เกษตรกรผู้นี้ได้รับก็ 140,000 บาท!!!
เท่านั้นเอง ฟังดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร
เกษตรกรชาวสวนชาวนาทั่วๆไปเค้าก็ได้อย่างนี้แหล่ะ แต่ขอโทษทีเถอะ
ความสำเร็จที่เห็นกันอยู่นี้ มีเบื้องหลังให้น่าติดตามอีกมาก
คุณจี๊ด เล่าว่า “ผมติดเหล้ามาก่อน ครอบครัวแตกสลาย
สังคมไม่ยอมรับ เป็นหนี้แสนกว่าบาทจากเจ้าหนี้ถึง 10 ราย
กลับใจได้เพราะเห็นรูปในหลวงที่ติดไว้ข้างฝาบ้าน
และได้ฟังพระราชดำรัสในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
จึงทบทวนชีวิตตัวเอง และได้ประเมินผล จนคิดได้ว่า
ถ้าสำมะเรเทเมาอยู่อย่างนี้แย่แน่”
คุณจี๊ดได้ตกอยู่ในหลุมดำที่เรียกได้ว่าเป็นนรกบนดินของเค้าเองก็ว่าได้
เพราะเชื่อว่าหากใครที่ตกอยู่สภาพเช่นเดียวกับคุณจี๊ด
คงยากที่หวนกลับได้ ณ วันนี้คุณจี๊ด และภรรยา (คุณเกรียง)
จึงเต็มใจที่จะเล่าให้ฟัง
เพื่อเป็นบทเรียนให้กับผู้ที่ตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกันได้ศึกษา
นำไปปรับใช้กับชีวิตได้
สมัยก่อน ถึงลำบากก็สบาย
แตกต่างกับสมัยนี้
สบายแต่ลำบาก
คุณจี๊ดเล่าว่า
ตอนเรียนอยู่ชั้น ป.2 เคยเขียนเรียงความเรื่องเกี่ยวกับเกษตร
ได้อันดับ 2 มีความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งที่พึงจะจำได้ในช่วงวัยเด็ก
พอเรียนจบ ป.4 ก็ช่วยพ่อแม่ทำนา เรื่อยมาจนเมื่ออายุ 17 ปี
ได้เริ่มกินเหล้า เป็นนักเลง ตามพวกเพื่อนฝูง
และคิดว่าช่วงนั้นตนเป็นรุ่นสุดท้ายจากสังคมสมัยเก่าเป็นสมัยใหม่
เช่นจากเคยทำนาใช้วัว ควาย ก็มีเครื่องจักรรถไถเข้ามาทดแทน
ความสบายมีมากขึ้นแต่ก็ลำบากเพราะครอบครัวก็ไม่อบอุ่นอยู่ไม่พร้อมหน้าพร้อมตา
แตกต่างกับสมัยก่อนที่ถึงแม้ถนนหนทาง น้ำ ไฟ จะไม่สะดวกเท่าไรนัก
อาชีพทำไร่ทำนาจะลำบากหรือเหนื่อยเท่าไร
แต่ว่าก็สบายเพราะครอบครัวมีเวลาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
พออายุ 25 ปี ได้แต่งงานกับคุณเกรียง ที่อยู่ในช่วงวัยสาว (อายุ 18
ปี) มีลูกด้วยกัน 1 คน
ช่วงนั้นทำอาชีพรับจ้างทั่วไป
ได้เงินมาเท่าไรก็กินเหล้ากันทั้งผัว ทั้งเมีย !!!
ติดเหล้างอมแงมไม่เป็นอันทำการทำงาน
ช่วงที่ผันแปรจากคนทำงานรับจ้างธรรมดา คุณจี๊ด และคุณเกรียง
สองสามีภรรยา กลับกลายเป็นนักดื่มเอาเป็นเอาตาย
ได้เงินมาเท่าไรก็ลงขวดหมด พอเมาได้ที่ก็ใจง่าย ใจใหญ่
ทะเลาะกันบ้าง เล่นการพนันบ้าง ไม่เป็นอันทำการทำงาน
ไม่มีเงินก็กู้ยืมเพื่อนบ้านมาซื้อเหล้า
กิ่งมะปรางที่เพาะไว้ขายก็เอาแลกกินจนหมด
ครั้งหนึ่งมีกิ่งพันธุ์มะปรางอยู่ 69 ถุง เอาไปแลกเหล้ากิน เหลืออยู่
1 ถุงมันไม่สวยเอาไปแลกก็ไม่มีใคนเอา
จึงนำมาปลูกลงไว้ในสวนแล้วตั้งชื่อมันว่า “ต้นเหลือเหล้า”
ช่วงนั้นเป็นหนี้รวมๆแล้วเป็นเงินก็ตกราว 1 แสนกว่าบาท
จากเจ้าหนี้กว่า 10 ราย มาทวงหนี้ก็ไม่ได้เพราะไม่มีจะให้
จนเจ้าหนี้เอื่อมระอา
รวมไปถึงญาติพี่น้องที่ต่างยอมรับกับสภาพที่สองสามีภรรยาเป็นอยู่นี้ไม่ได้
พอลูกเรียนจบ ม.3 ก็ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ในที่สุดทั้งสองก็แยกทางกัน
ภาพที่เห็นก็คือความปวดร้าว ความแตกแยกของครอบครัว
นับเป็นจุดต่ำสุดของชีวิตเลยก็ว่าได้
ทบทวนชีวิตที่เป็นอยู่
โบราณที่ว่า คู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกัน
ก็ยังใช้ได้อยู่กับชีวิตคู่ในสังคมไทย เมื่อปี 2540
ทั้งคุณจี๊ดและคุณเกรียงก็กลับมาอยู่ด้วยกัน ในพื้นที่สวน 12 ไร่
ของพี่สาวคุณจี๊ด ให้ดูแล
การดำเนินชีวิตของคู่สามีภรรยาคู่นี้ก็ยังเหมือนเดิมยังไม่มีอะไรดีขึ้น
จนเมื่อปี 2543 คุณจี๊ดเล่าให้ฟังว่า
วันหนึ่งตนเหลือบไปเห็นรูปในหลวงที่ติดอยู่ข้างฝา
และบ่อยครั้งที่ฟังพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
จึงตั้งคำถามกับตัวเองว่า
“เรามีรูปในหลวงติดอยู่ฝาบ้านและพระองค์ก็ทรงตรัสคำสอนอยู่ทุกวันว่าให้เป็นดี
เป็นคนขยัน ทำไมเราถึงไม่ทำ?” ในส่วนลึกๆแล้วคุณจี๊ด
เป็นคนรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อยู่แล้ว เพราะตอนหนุ่มๆเมื่อปี
2521เคยเป็นทหารพราน ประจำการที่ อ.ด่านซ้าย จ.เลย
ดังนั้นเมื่อเกิดคำถามเอ่ะใจ ขึ้นภายในใจแล้วก็เลยทบทวนชีวิต
ประเมินผล จนได้ข้อคิดว่าถ้าเป็นอยู่อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆแย่แน่
จนได้มีการพูดคุยปรึกษาหารือกันระหว่างสองคน และโชคดี
ที่ได้เพื่อนบ้าน และญาติพี่น้อง ที่ยังมีน้ำใจล้อมรอบ
และพร้อมช่วยเหลืออยู่
ก้าวแรกของการหลุดพ้นทุกข์คือ
คบกัลยาณมิตร
เมื่อการคิดทบทวนตัวเองส่งผลให้ รู้จักความเป็นตัวตนที่แท้จริง
คุณจี๊ด และคุณเกรียง จึงทำการ “ปิดประเทศ” หมายความว่า
งดการออกงานสังคม พบปะผู้คนให้น้อยลง
และสัญญากันว่าจะเลิกกินเหล้าโดยเด็ดขาด
หันกลับมาซ่อมแซมชีวิตที่เสื่อมโทรมไปให้กลับมาดีขึ้นให้ได้
ตั้งใจทำมาหากิน และเรียนรู้การประกอบอาชีพ
มีการบันทึกสิ่งดีดีที่ชื่นชอบในสมุดส่วนตัว โดยเฉพาะคำสอนเตือนใจ
ไว้รอบบ้าน กลายเป็นยันต์กันมารไปในตัว ช่วงนั้น นายสุเทพ ดีหมอก
ได้เข้ามาช่วยให้ความรู้เรื่องการตอน การทาบกิ่งพันธุ์มะปราง
ซึ่งที่สวนมีต้นมะปรางเหลือเหล้า อยู่ 1 ต้น เป็นต้นแม่
ขยายกิ่งพันธุ์ อยู่พอดี
จึงตั้งใจประกอบอาชีพตอนกิ่งพันธุ์มะปรางขายอย่างจริงจัง โดยมี
ลุงแม้น มั่นเหมาะ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน
และเป็นขาประจำชักชวนกันกินเหล้าเมื่อก่อน
เป็นที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำอยู่ตลอดเวลา
ในเมื่อความตั้งใจจริงได้เริ่มส่งผลที่ดีขึ้น พี่สาวคุณจี๊ด
จึงแบ่งที่ดินจาก 12 ไร่ ให้ 1 ไร่ เพื่อทำอยู่ทำกิน
และให้ดูแลส่วนเหลือด้วยเหมือนเดิม
ฟังธรรมะเพื่อระลึกถึงตนเองเสมอ
ในการเรียนรู้นั้นคุณจี๊ดไม่เพียงจะสนใจแค่เรื่องการทำมาหากินเท่านั้น
ทุกเช้าจะต้องตื่นนอนมาฟังธรรมะรายการ ตามหาแก่นธรรม ของพระพยอม
ทางช่อง 11 ติดตามมาได้ 2 ปี รายการนี้ก็ไม่ได้ออกอากาศอีกแล้ว
อย่างไรก็ตามด้วยความชื่นชอบ จึงซื้อเทปธรรมะ
มาเปิดฟังเป็นประจำในช่วงที่ทำงานในสวน เทปที่ซื้อมามีทั้งของ
พระพยอม พระพุทธทาสภิกขุ
ทำอย่างนี้เป็นประจำจนกลายเป็นหน้าที่ที่จะต้องฟังในขณะทำงาน
ทั้งนี้ในทุกๆปี
จะคอยรับฟังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
เนื่องในวโรกาสสำคัญๆ ต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
เพราะเป็นคำสอนเตือนใจในการดำเนินชีวิตในประจำวัน
เน้นการปฏิบัติในงานของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ใหญ่โต
แต่ให้รู้จักคำว่าพอเพียง
สิ่งของต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเราเป็นส่วนเกินของชีวิตทั้งนั้น
บางครั้งก็เกินความจำเป็น ทำให้เราลำบากมากขึ้น
เพราะอยากได้อะไรก็ต้องพยายามหามาให้ได้
ยึดหลักดำเนินชีวิตพอเพียง และอริยสัจ ๔
หนทางแก้จนของเกษตรกร
ปัจจุบันคุณจี๊ด ได้แยกเรื่อง สุข ทุกข์ การทำงานออกจากกัน
หากปะปนกันจะส่งผลเสียทั้งหมด สุขก็สุข ทุกข์ก็ทุกข์
ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และอริยสัจ
๔ ปฎิบัติตามพระราชดำรัสของในหลวง
ซึ่งคิดว่าเป็นหนทางออกแก้จนของเกษตรกรในปัจจุบันได้
ปัญหาความยากจนของเกษตรกรตอนนี้คุณจี๊ดได้ให้ทัศนะว่า เกิดจากสาเหตุ
ความเจ็บป่วย ผู้มีอำนาจเอารัดเอาเปรียบ และขาดโอกาส เช่น
ขาดที่ดินทำกิน และที่สำคัญคือขาดโอกาสในการเรียนรู้
หากบทเรียนชีวิตของตนจะมีส่วนสำคัญให้เพื่อน
ให้สังคมได้เรียนรู้ก็ดีใจ เพราะตอนนี้ในพื้นที่รอบๆบ้าน
ญาติพี่น้องก็เข้ามาเรียนรู้ด้วยแล้วประมาณ 10 คน การทำบุญ
ไม่ว่าจะเป็นการทอดผ้าป่าต้นไม้
การบริจาคเสื้อผ้าให้คนยากจนกว่าตนก็พร้อมเสมอ
เพราะเห็นว่าเมื่อชีวิตของตนเริ่มดีขึ้นก็อยากช่วยเหลือสังคมบ้าง
เพราะรับรู้ว่าความลำบากนั้นเป็นเช่นไรมาแล้ว
ข้อมูลเฉพาะ
ณ ปี 2549
1.ชื่อ -
นามสกุล นายสมนึก ไขระย้า
(จี๊ด)
อายุ 44 ปี นางจรรยาลักษณ์ ยอดจันทร์ (เกรียง) อายุ 38
ปี 2.ที่อยู่ติดต่อ
50 หมู่ 4 บ้านถ้ำคะนอง
ต.สากเหล็ก กิ่งอ.สากเหล็ก จ.พิจิตร
3.อาชีพ
เพาะกิ่งพันธุ์มะปราง ราคาขายจากสวน กิ่งละ 100 บาท
|