แวบ



 
 

แวบ 


 
 

          (1)  น้องสาวร่วมโลกที่ดิฉันรักมากคนหนึ่ง บอกดิฉันในวันหนึ่งว่า .....เธอ"รักทุกคน"......
            ดิฉันนึกเข้าใจในแวบนั้น  แต่ตอนนั้นไม่ทราบว่าจะพูดอะไรดี   ได้แต่รู้สึกว่ารักเธออย่างลึกซึ้งมากขึ้น


       (2) ดิฉันเคยฟังกวีบางท่านเล่าว่าท่านเดินเข้าไปในทุ่งนา ขณะที่เก็บผักบุ้ง  ก็รู้สึกขอบคุณต้นไม้และสายลม  
            แล้วก็ไม่ได้โกรธหอยที่มากัดกินต้นข้าว....
            ดิฉันนึกเข้าใจความรู้สึกท่านในแวบนั้น .....


       (3) ดิฉันอ่านหนังสือปรัชญาบางเล่มเขียนว่า  เรามีเพราะเราเชื่อว่า "มีเราอยู่"   
            ครั้นดิฉันอ่านที่พระท่านเขียน  ท่านว่าทุกสิ่ง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
            ดิฉันรู้สึกว่าแวบหนึ่งก็คล้ายๆจะเข้าใจ  คือมันเข้าใจวาบขึ้นมาเป็นขั้นบันไดเฉยๆอย่างเร็ว
            แล้วก็หายไปในแวบเดียว แล้วที่เหลือก็ออกจะขุ่นๆไป 
            ไม่ใสกระจ่างแบบที่แวบขึ้นมา  ...คือมันเร็วมากจนจดออกมาเป็นภาษาไม่ทัน 

            หรืออีกทีก็อาจเป็นได้ว่า   ดิฉันหาภาษามาแทนที่ไม่ได้...... 

            และทราบว่าคนจำนวนมากก็แวบนึกออกเอาเองอย่างง่ายได้เช่นนี้  โดยที่มิได้มีขั้นตอนเตรียมการอะไรซับซ้อน 
            ....จู่ๆก็นึกออกเอง....

                                      

                      .....และเป็นธรรมดาอีกว่าพอนึกไม่ออกก็จะนึกไม่ออก  ....นึกยังไงก็นึกไม่ออก..
 
 

                                              .................................
 
 


 
 
 


 
 
 
หมายเหตุ

1. “น้องสาว” ที่ดิฉันกล่าวถึง คือน้องลูกอาจารย์ด้วยกัน  ที่อยู่ในวิทยาลัยครูหมู่บ้านเดียวกันสมัยเด็กๆ  ตอนนี้น้องไปเป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัยแถวหน้าที่กรุงเทพฯ  เมื่อเราพบกันและคุยกันหลายเรื่องหลังจากไม่ได้พบกันนานหลายปี   ดิฉันได้เรียนรู้การมองโลกด้วยหัวใจที่ดีจากน้องอีกครั้ง  เมื่อน้องพูดคำ “ที่ตรง (เหลือเกิน)กับคำ” ที่อยู่ในใจดิฉัน
....คำที่ดิฉันไม่เคยพูดกับใคร.......   แม้จนวันนี้ 
 
 
2. เมื่อวันหนึ่งที่คุณกานติ ณ ศรัทธา มาพูดให้นักศึกษาเอกไทยฟังที่มหาวิทยาลัย  ดิฉันได้ค่อยๆสัมผัสกับความเย็นที่ส่งมาอย่างง่ายๆจากถ้อยคำธรรมดา แต่ไปจับนิ่งๆเย็นๆที่หัวใจดิฉัน    และจับนิ่งๆเย็นๆอยู่อย่างนั้นมาจนทุกวันนี้

นานมาแล้ว  ตั้งแต่ได้กลับมาทำงานที่บ้าน  ทุกวันที่ขับรถไปโรงเรียน (คือมหาวิทยาลัย)  ปลายทางที่เห็นไกลๆเมื่อถนนทอดตรงไปข้างหน้า  คือภูเขาเขียวชอุ่มเรียงซ้อนลดหลั่นกัน ในบางวันที่ฟ้าสดใส  ทิวเขาเบื้องหน้าก็แลเห็นเด่นงาม     อดคิดไม่ได้ว่าทางไป “ที่ทำงาน” ในวันฟ้าใสนั้น “โรแมนติก” นัก 

ทุกครั้งที่รถติดไฟแดงตรงทางแยกใกล้ถึงที่หมาย  ดิฉันมองไปที่แนวหญ้าตรงเกาะกลางถนน  เห็นดอกหญ้าน้อยๆขึ้นพราว มีใบหญ้าเสี้ยวแหลมแซมเป็นใบประดับสวนหย่อมแบบไม่เจตนา  หลายครั้งที่ทันได้เห็นผีเสื้อปีกบางหลากสีบินโฉบเหนือใบหญ้า
     
ดิฉันชอบคิดเล่นสนุกๆว่าผีเสื้อเป็นสัตว์นำโชคของเรา  เห็นผีเสื้อบินมาใกล้ๆจะโชคดี  คิดอย่างนี้แล้วจะขำทุกครั้งที่เห็นผีเสื้อ  เพราะจะลุ้นให้บินมาใกล้ๆ...
แล้วก็แปลกนัก...   เพราะผีเสื้อมักจะบินมาใกล้จริงๆอย่างที่ลุ้น...

ดิฉันรู้สึกขอบคุณดอกหญ้าน้อยๆสีน้ำตาลหวาน  ใบหญ้าเสี้ยวสีเขียวอ่อนๆ  และผีเสื้อทุกตัว  ทุกครั้งที่ได้เห็น... 
และรู้สึกอยู่เสมอว่า  “ความสุขอย่างง่าย”  เกิดขึ้นได้ทุกๆวัน
...ขอเพียงเรามองเห็น  “ความงามอย่างง่าย” ที่ผ่านเข้ามาเท่านั้น...


3.  สมัยเรียน ดิฉันร่ำร้องต้องการอิสรภาพ  อิสรภาพจากอะไรก็ไม่รู้  รู้แต่ว่าต้องการเหลือเกิน  ...นั่งในห้องเรียนเหมือนอยู่ในกรงขัง 
และทันทีที่เปิดหนังสือเรียน  และต้องตอบตามโจทย์และตัวเลือก 5 ตัว

                                    ข้อ ก.   ตอบข้อ ข  
                                    ข้อ ข.   ตอบข้อ  ค และ ง   
                                    ข้อ ค.   ผิดทุกข้อ  
                                    ข้อ ง.   ถูกทุกข้อ    
                                    ข้อ จ.   ไม่มีข้อใดถูก 
 
...ดิฉันตอบข้อ ค. ทุกที  เพราะไม่อยากคิดอีกแล้ว  ถ้าชีวิตต้องเหลือแค่ห้าข้อนี้  ก็จงเอาข้อ ค.ไปเถิด  ดิฉันคิดแบบดื้อดึงเงียบๆอย่างนั้น...

เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย  วิชาที่ดิฉันชอบมากคือการอ่านตีความ  ปรัชญา   และพุทธศาสนา   ไม่ได้แปลว่าเรียนรู้เรื่อง  และแปลว่าเรียนไม่เก่ง     แต่อยากรู้เรื่องนี้  จึงตั้งใจเรียน 
ดิฉันอยากรู้ว่าที่เขาพูดหรือเขียนเช่นนี้เช่นนั้น  แท้ๆแล้วเขาหมายความว่าอย่างไร

ดิฉันอยากรู้ว่าทำไมคนฝรั่งกลุ่มหนึ่งต้องอธิบายอะไรด้วยวิธีคิดที่แสนซับซ้อน   ดิฉันเคยอ่านหนังสือปรัชญาตอนอยู่ชั้นประถม  และรู้สึกงุนงงสงสัยมากว่า  เรื่องนี้คืออะไร  “I think,therefore I am”

เมื่อนำเรื่องที่ได้อ่านไปคุยกับเพื่อน  เพื่อนบอกว่า “ เราไม่เล่นตุ๊กตากับเธอแล้ว  เธอพูดอะไรก็ไม่รู้  ไม่เห็นรู้เรื่อง”   
แล้วนับแต่วันนั้น  เพื่อนๆก็จะบอกแก่กันว่าดิฉันเป็นคน “พูดอะไรก็ไม่รู้...ไม่เห็นรู้เรื่อง”

ดิฉันเสียใจมาก  และตั้งใจว่าจะต้องรู้เรื่องยากๆนี่ให้ได้  เพราะรู้สึกว่าคนฝรั่งเขายังรู้เรื่องเลย  แล้วทำไมเราจะรู้มั่งไม่ได้  
ตอนเรียนถึงได้รู้ว่าหลายๆเรื่องก็แสนจะเข้าใจยาก  เพราะการอธิบายเรื่องๆเดียวกันด้วยการนิยามและการใช้ถ้อยคำภาษาต่างชุดกัน
หรือเพราะเห็นสิ่งเดียวกันจาก”ต่าง”มุมมองและเลือกอธิบายโครงสร้างตามมุมมองนั้น  สุดแท้แต่จะเลือก”เริ่ม”มองที่ใด  และจบลง”ที่”ใด 
..ซึ่งจะไม่ผิดเลย..  เพราะกลไกที่อธิบายโครงสร้างเดียวกันอย่างฉลาดนั้น ถูกต้องหมดทุกชุด  แต่จะพูดถึงจากคนละมุมเสมอ  
....ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกันแท้ๆ....
    
ดิฉันยังรู้สึกเงียบๆอยู่เสมอว่าที่ตะลุยอ่านไปตอบข้อสอบ   และตะลุยเรียนอย่างตั้งใจนั้น   ยัง”ไม่ใช่”

ดิฉันยังคงร่ำร้องต้องการอิสรภาพ  อิสรภาพจากอะไรก็ไม่รู้  รู้แต่ว่าต้องการเหลือเกินต่อไป 
เพราะ ก.  หนังสือปรัชญาที่เลือกอ่าน  ตอบคำถามในใจดิฉันไม่ได้ 
หรืออีกทีก็  ข.  เป็นเพราะดิฉันอ่านไม่เข้าใจ  (ตอบข้อ ข.)

จนกระทั่งถึงวันหนึ่ง  วันไหนก็จำไม่ได้      ดิฉันอ่านที่พระท่านเขียน  ท่านว่าทุกสิ่ง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป 
แล้วจู่ๆรู้สึกเข้าใจวาบขึ้นมา  แล้วก็แวบหายไปอย่างรวดเร็ว  เร็วจนไม่รู้ว่าจะบอกตัวเองหลังจากนั้นว่าอย่างไร 
รู้แต่ว่าได้รู้สึก  “เข้าใจ” ....อยู่ในแวบนั้น....

และที่วาบขึ้นมา ก็มิได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติใดๆ.... 

ถึงแม้จะอธิบายไม่ถูก  แต่ก็ยังรู้สึกว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมดาในสมอง  ที่เกิดขึ้นกับใครก็ได้เมื่อรู้สึกสบายดี 
เมื่อ(รู้สึกเอาเองว่า)เข้าใจเสียได้แล้วนี้    ก็(รู้สึก) สบายอารมณ์ดี  ไม่ร่ำร้องเรียกหาอีกต่อไป 
แค่อยู่ไปอย่างไม่กังวล   ว่าจะได้แวบอีกสักทีเมื่อไหร่  เพราะได้เห็นแล้วว่าบทจะมามันก็มาเอง  ไม่ต้องไปร่ำร้องหาแต่อย่างใด      
 
 
                                   ....ถึงเวลา...เดี๋ยวมันก็มาของมันเอง..... 

 

 

 

หมายเหตุอีกทีค่ะ 

ดิฉันเขียนความเห็นข้างต้นอย่าง (ที่คิดว่า)สั้น ไว้ที่บล็อกของคุณแว้บ (อาจารย์วสะ)เมื่อนานมาแล้ว  ขณะที่เขียนก็นึกอยู่ว่าอยากเขียนต่ออีกยาว แต่เกรงใจอาจารย์เจ้าของบล็อก  เลยตัดใจเขียนไปสั้นๆ 

แล้วมีอยู่วันก็ขอนำมาเขียนต่อยอด  เพราะคิดว่าถ้าเขียนสั้นมันยังสื่อความไม่ครบความ  จึงขออนุญาตอาจารย์วสะhttp://gotoknow.org/profile/vasabrp  นำมาลงที่นี่เสียเลยนะคะ    ขอบคุณมากค่ะ 

 

คำสำคัญ (Tags): #สิ่งเล็กๆน้อยๆ
หมายเลขบันทึก: 124524เขียนเมื่อ 3 กันยายน 2007 01:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 20:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (32)

อ.แอมฯ

"แวบ" ไปเยี่ยมบันทึกพี่ด้วย ที่นี่  เผื่อมีอะไรดี ๆ ให้พี่ได้ "แวบ"  บ้างค่ะ

สวัสดีค่ะ อ. ดอกไม้ทะเล 

มา "แวบ" ด้วยคนค่ะ ^ ^

ตัวเองก็เป็นอยู่เรื่อยๆค่ะ ที่มองข้างถนนแล้วเห็นธรรมชาติก็ชื่นชมมาก..เห็นใบไม้สวยๆ ก็ชื่นชมในความงาม...บางทีเห็นคนแก่เดินหลังงอ(แบบ 90 องศา)เข็นรถเข็นโทรมๆ เก็บของขายก็เกิดอารมณ์เศร้า + ปลง..แล้วก็นึกถึงไตรลักษณ์ค่ะ

วันหนึ่งๆ ก็จะมีหลายแวบค่ะ ^ ^

อ้อ...ชอบประโยคนี้มากเลย I think, therefore, I am...   แต่ว่าต้อง think ให้เป็นค่ะ ไม่งั้น I might be what I shouldn't be ค่ะ  ^ ^ 

วันนี้นึกอะไรไม่ทราบ ... แวบ ... คิดถึง อ.แอมแปร์ ว่า อยากจะชวน อ.แอมแปร์ ไปร่วมงานเฮฮาศาสตร์ที่ดงหลวงด้วย

พอเข้ามาที่บันทึก พบ อ.แอมแปร์ ที่เมนูรวมแพลนเน็ต เลย แวบ มาชวนเลยค่ะ แวบ ไปติดตามเรื่องราวได้ที่นี่นะค่ะ http://gotoknow.org/blog/dongluang-1

สวัสดีค่ะพี่อึ่งอ๊อบ

แอมแปร์แวะไปอ่านและโพสต์ที่บันทึกของพี่อึ่งอ๊อบอย่างยืดยาว(เช่นเคย)ค่ะ   ขอบพระคุณที่แวะมาทักทายนะคะ   หลังๆมานี้งานยุ่งเหลือเกิน   เลยทำได้แค่ตามอ่านบันทึก แต่ไม่ค่อยได้โพสต์คอมเม็นต์  เพราะเป็นคนพิมพ์เร็ว(แต่หาช้า  อิอิ) หนึ่ง  และติดนิสัยบรรยายความตามไท้ยาวๆๆๆอีกหนึ่ง  ถ้าไม่มั่นใจจริงๆก็ไม่ค่อยกล้าโพสต์  : )

แอมแปร์รู้สึกขอบคุณพี่มากๆๆสำหรับบันทึกที่พี่เล่าเรื่องคุณแม่และความผูกพัน   และเชื่อว่าพี่ๆน้องๆทุกคนอยากให้พี่พบแต่สิ่งดีและมีความสุขในทุกวันของชีวิต  บันทึกของพี่อึ่งอ๊อบเตือนสติแอมแปร์ได้อย่างมาก  ทำให้แอมแปร์ตั้งใจเตรียมพร้อมในวันนี้  ที่จะทำหน้าที่ของลูก(สาว)ให้ดีที่สุด  เพราะตั้งใจแล้วว่าจะกลับบ้านมาดูแลพ่อกับแม่ ....ในทุกวันที่เราเหลืออยู่ร่วมกัน 

แต่กลายเป็นว่าพ่อกับแม่เคยทำอย่างไรก็จะทำเช่นนั้น  คือเคยดูแลจัดการอะไรต่อมิอะไรให้ลูก ก็จะทำอยู่อย่างนั้น  ถ้าไม่ยอมให้ทำก็จะงอนตุ๊บป่องไป  ...โดยเฉพาะแม่แอมแปร์  ซึ่งดูไปแล้วแนวเดียวกับคุณแม่พี่เด๊ะเลย     (คนเป็นพ่อแม่มักมองลูกเป็นเด็กอยู่เสมอ    แอมแปร์นึกบ่นต่อในใจว่าทั้งที่ลูกแก่จนจะเป็นยายคนอยู่แล้ว)   อย่างไรก็ตามเพื่อความสมานฉันท์ในครอบครัว ลูกก็ต้องยอมๆให้เป็นกรณีไป  ของพี่อึ่งอ๊อบเป็นอย่างนั้นไหมจ๊ะ

สุดท้ายนี้ว่าจะเขียนสั้นๆแล้วนะเนี่ย  แอมแปร์ชอบใจจังที่พี่พิมพ์ชื่อแอมแปร์แบบนี้  " แอมฯ"  เพราะเวลาอ่านออกเสียงทั้งคำและสัญลักษณ์นี้  " ฯ "  แล้ว  ทำให้รู้สึกว่ายังไม่แก่เท่าไหร่   ดูซิคนเรา...  "แวบ" คิดไปด้า.ย..ย     อิๆๆ  : )

ชะแวบ....พี่สาว

  • ชะแวบบ่อยๆ ครับ จะได้ไม่แวบอีกครับ...เพราะัมันถูกโหลดไว้ในหน่วยความจำหลัก ไ่ม่ต้องดึงขึ้นมาจากฮาร์ดดิสก์บ่อยๆ ครับป๋ม
  • ชะแว้บ..หายตัวมาบอกว่าคิดถึงคร้าาาบ....
  • ชะแว้บบบบ หายตัวไปทำงานต่อก่อนครับ
  • ขอบคุณมากครับ 

 P

สวัสดีค่ะอาจารย์กมลวัลย์

ขอบพระคุณที่ "แวบ"มาค่ะ  กำลังจะตามเข้าไปถามอาจารย์ต่อ เรื่องตามความโกรธให้ทัน  รู้สึกว่าตัวเองโชคดีจังเลย  การได้ร่วมสนทนาธรรมกับผู้ที่ปฏิบัติจริงๆ  ในขั้นที่เราพอจะเข้าใจและขอเดินตามหลังไปด้วยได้นี้  ทำให้รู้สึกมีที่พึ่งเมื่อเกิดความสงสัย และได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงที่เล่า ณ  เวลาที่ทำจริงๆ (ต่างจากการอ่านหนังสือซึ่งมักล่วงเลยเวลานั้นไปแล้วอย่างยาวนาน  และภาษาเขียนบางครั้งก็ถ่ายทอดได้ไม่ "ถึง"  ตรงใจ  เท่าภาษาพูด)  
เรื่องธรรมะ(คือธรรมชาติ)นี้  บางทีก็เห็นได้ในแวบนึงจริงๆ    และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รู้เท่าทันธรรมก็คงเห็นวันละหลายแวบอะค่ะ  ^ ^
  • ขอบคุณสำหรับแนวคิดดีๆๆครับพี่
  • ดีใจที่ได้อ่าน
  • ทำให้ได้ทราบอะไรที่ไม่สามารถบอกใครได้
  • แวบๆๆๆๆ

 PMiss somporn poungpratoom

สวัสดีอีกทีค่ะพี่อึ่งอ๊อบ
ตั้งใจว่าตอบความเห็นทุกครั้งจะก๊อปปี้รูปด้วยเสมอ พอพี่มาเจิมบันทึกก็มัวแต่ละลึงลืมก๊อป   แวบนึกออกอีกทีก็กดบันทึกไปเสียแล้ว 

เลยตอบใหม่พร้อมแปะรูปสวยงามซะอีกที  เพื่อรับรองสำเนาถูกต้องของความเห็นข้างบนอะค่ะ  อิอิ
: )

 P    สวัสดีค่ะ อ.แป๋ว 

แอมแปร์รู้สึกอยากไปจี๊ดๆๆๆตอนอ่านบันทึกพี่บางทรายที่บอกว่าจะพาไปดูป่าด้วย  คือขอโทษค่ะ แอมแปร์จำได้ไม่หมดรู้แต่ว่าอยากไปที่สุดเลย  แต่ยังไม่กล้าแวบไปบอกเพราะยังไม่แน่ใจจริงๆว่าช่วงเดือนนั้นจะติดอะไรบ้าง   เลยรีๆรอๆอยู่ 

ขอบพระคุณ อ.แป๋วมากๆๆๆเลยนะคะที่กรุณาแวบมาชวนแบบที่ทำให้อยากไปหนักกว่าเดิม   จะแวบไปอ่านบันทึกเฮฮาศาสตร์เติมเอส(เพราะมีหลายบันทึก)ของพี่บางทรายอีกทีนะคะ  ขอบพระคุณมากๆอีกครั้งค่ะ

และ ปล. แอมแปร์จะก๊อปรูป อ.แป๋วแปะบนความเห็นนี้  ไม่ทราบจะทำให้ตัวอักษรเล็กลงอีกรึปล่าว  วันก่อนเคยทำให้มันตัวโตได้แต่จำไม่ได้แล้วว่าทำยังไงอะค่ะ  ความจำแอมแปร์ไม่ใคร่ยาวเท่าคอมเม็นต์อะค่ะ  : )

  Pสวัสดีค่ะน้องเม้ง

กลายเป็นนินจาไปอีกแล้วหรือคะ  พี่แอมป์มั่นใจว่าฮาร์ดดิสก์ของเม้งมีคุณภาพสูงเพราะโซล่า   ดังนั้นคงไม่แวบแหงๆ  แค่วูบๆไปนิดๆหน่อยๆเท่านั้น  อิๆๆ 

เช่นกันค่ะ  รักษาสุขภาพด้วยนะคะ  : )  ขอให้งานของเม้งแล่นฉิวลิ่วลมไปเลยนะคะ  ส่วนของพี่แอมป์ก็กำลังตะลุมบอนสนุกมากเช่นกัน  อิอิ

P สวัสดีค่ะ อ.ขจิต

  • ตอนตอบ อ.ขจิตนี่ฝนก็ตกลงมาเหมือนธีมในบล็อก อ.ขจิตเป๊ะ   และเน็ตก็จะกลายเป็นจังหวะสโลว์อยู่พักนึง 
  • รูปใหม่ดูดีจังค่ะ  ขอยืนยันว่าพี่แอมป์ใส่แว่นดู : )
  • ชอบที่อ.ขจิตบอกว่า  "..มีอะไรๆที่ไม่สามารถบอกใครได้.." ด้วยแน่ะ  คือตอนเขียนก็ไม่ทันนึกไป  ทำให้พี่แอมป์ต้องแวบขึ้นไปอ่าน  "อะไรๆที่ไม่สามารถบอกใครได้"   ใหม่ซะอีกที  ถึงแม้ที่ "แวบ" จะไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติ  แต่เพราะอธิบายไม่ได้ก็เลยดูเร้าใจดีอะค่ะ    : )

ผมอ่านตรงหมายเหตุของอาจารย์ดูแล้ว ผมก็อาจเลยทำและคิดแบบเดียวกับอาจารย์นะครับ โดยเฉพาะการตอบข้อ ค. เพราะคิดว่า อาจจะถูก และถ้าไม่รู้คิดว่า ค. น่าจะมีโอกาสถูกที่สุดประมาณนั้น ผมไม่อยากคิดมากกว่านี้ครับ เดี๋ยวเป็นอย่างอื่น 5 5 5

 มุมมองเล็กๆ ในสภาพแวดล้อมที่เต็มด้วยปัญหา บางทีเราก็มีความสุข และแอบยิ้มที่มุมปาก มันก็มีความสุขแล้วครับ

 เรามักจะโทษปรัชญา ถ้าไม่รู้เรื่องหรือไม่เข้าใจอะไร แต่เดี๋ยวนี้มีตัวที่เราจะโทษใหม่แล้ว ถ้าเราไม่รู้เรื่อง นั่นคือ แก๊สโซฮอล ครับ

 P  สวัสดีค่ะอาจารย์ภีรกาญจน์

ยินดีที่อาจารย์แวะมาเยี่ยมค่ะ  และดีใจที่อาจารย์เลือกข้อ ค. นะคะ  สมัยเล็กๆดิฉันเคยคิดว่า

  • ข้อ ก. ไม่น่าใช่  ครูคงไม่เอาข้อถูกมาไว้ข้อแรก
  • ข้อ ข. คงไม่หรอก  มันใกล้ข้อ ก. เกินไป  (อันนี้ตอนเล่าให้เพื่อนฟัง  เพื่อนหัวเราะจนโต๊ะสะเทือน  และบอกว่าเราก็คิดยังงี้เหมือนกัน)
  • ข้อ ค.  ......งั้นเอาข้อนี้แหละ ! 
  • แล้วข้อต่อไปค่อยตอบ ข้อ ง. ละกัน  ครูคงไม่ให้ถูกซ้ำข้อเดิมหรอก

เพื่อนถามทั้งที่ยังหัวเราะไม่เสร็จว่า "ใช้อะไรคิดเนี่ย ?"   
.....เรื่องที่ตัวเองฉลาดน้อยนี้   ดิฉันก็ไม่รู้จะโทษอะไรดีเหมือนกัน

คือสมัยนั้นยังไม่มีแก๊สโซฮอลด้วยอะค่ะ  : )

ขอให้ใน "มุมมองเล็กๆ" ของอาจารย์ ....มีความสุขและมีรอยยิ้มที่มุมปากอยู่เสมอนะคะ....  : )

สวัสดีค่ะอาจารย์

เมื่อกี้ก็ชะแว้บไปอ่านที่บล็อกคุณแว้บแล้วค่ะ

เข้ามาเยี่ยมเยียน และอ่านบันทึกดีๆ ถ้อยคำเพราะๆค่ะ

P สวัสดีค่ะคุณศศินันท์

ชะแว้บไปเลยเหรอคะ    : )     : )

ดิฉันได้ยินคำนี้ทีไรเป็นต้องขำทุกที  คือนึกเป็นกริยาท่าทางที่คงแปลว่า  "หายแวบไปอย่างรวดเร็ว"  แล้วได้อารมณ์น่าดูเลยค่ะ 

อาจารย์วสะเขียนดีจังนะคะ  ดิฉันชอบแวะไปอ่าน และโพสต์ตอบเสียยืดยาวทุกที  เพราะอาจารย์เปิดประเด็นได้น่าสนใจ  และตรงสายงานของดิฉันด้วย

ขอบพระคุณที่คุณศศินันท์แวบมาให้กำลังใจนะคะ   : )

สวัสดีค่ะพี่แอมป์

เบิร์ดเดินเข้ามาแบบไม่แวบ ไม่วูบวาบและไม่วอกแวกเพราะมือซ้ายลากหมอน มือขวาถือแก้วชามะนาวมาเสริฟให้พี่แอมป์ ( แต่หมอนนั้นเบิร์ดเอามานอนเองนะคะ  กะว่าจะนั่งแปะบนพื้นแล้วลงนอนคุยเลยน่ะค่ะ ก็แหม..กระดานพื้นบ้านออกจะมันแผล็บ ^ ^ )

เบิร์ดเห็นด้วยกับตัวเลือกห้าข้อของพี่แอมป์ เพราะเวลาที่เบิร์ดต้องทำข้อสอบแบบนี้ทีไรจะมีความรู้สึกทุกครั้งว่าจะถามไปทำไม ( ฮึ )..และอาจจะเป็นคนแอนตี้การสอบด้วยมั้งคะ ทำให้หลายๆครั้งที่ต้องตอบโจทย์แบบนี้เบิร์ดจะหงุดหงิด เหมือนถูกบีบให้คิดตามสิ่งที่อยู่ในหัวของคนอื่นยังไงก็ไม่ทราบและบางครั้งเบื่อๆขึ้นมาก็จะตอบในข้อที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่เพราะความดื้อรั้นที่อยู่ในใจนี่แหละค่ะ ( อาจมีบุคลิกภาพแบบ antisocial อิ อิ อิ ) ทำให้เบิร์ดเห็นใจ๊ เห็นใจคนที่ต้องมานั่งให้เบิร์ดทดสอบ ยิ่งต้องทดสอบนานๆนะคะ ยิ่งน่าเห็นใจ ( กรรมตามทันค่ะพี่แอมป์ ต้องมานั่งทดสอบด้วยแบบทดสอบทางจิต ฯ + แปลผล ทั้งๆที่คนที่เข้ามาทดสอบส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากจะรู้ ( อย่างแท้จริง ) เท่าไหร่เล้ย ^ ^ )

เจ้า think wab ของพี่แอมป์ทำให้เบิร์ดสนุกกับการคิดว่าเบิร์ดมีเจ้าวาบๆนี่บ่อยเท่าไหร่ ..พบว่าตามข้อ 1 และ 2 มาบ่อยมากถึงมากที่สุด ( เมื่อเทียบกับข้ออื่น ) ทำให้เบิร์ดครึกครื้นและรื่นรมย์มณีเยศกับชีวิตได้อย่างพอสมเหตุสมผลตามสมควร..ส่วนข้อ 3 ส่วนใหญ่มาแล้วไม่สามารถตะครุบจับได้ทันเพียงแค่ " รู้สึก " และ " เข้าใจ " ในขณะนั้นแบบวาบเหมือนที่พี่แอมป์ว่าแต่ไม่ผ่าเปรี้ยงให้พสุธาสะเทือนเลื่อนลั่นแต่อย่างใด เลยรู้จักเพียงแค่ผิวๆไม่สนิทชิดเชื้อเท่าไหร่น่ะค่ะ ทำให้ไม่สามารถแนะนำให้คนอื่นรู้จักตามได้..( แถมบางครั้งยังลืมหน้าลืมตากันไปซะอีกต้องมาทำความรู้จักกันใหม่ก็บ่อยไป..^ ^ )

ที่วาบขึ้นมา ก็มิได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติใดๆ....  ....ถึงเวลา...เดี๋ยวมันก็มาของมันเอง.....นะคะ ( แวบไปคว้ามาจากแถวนี้แหละค่ะ ..อิ อิ อิ คำนี้สามารถเป็นได้ทั้งนามและกิริยาหรือเปล่าคะพี่แอมป์ ? ) 

เพราะทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป..เป็นตถตาเนอะคะพี่แอมป์.. อ้าวหลับคาแก้วชามะนาวซะแล้ว..งั้นเบิร์ดขอตัวลากหมอนย่องออกไปก่อนนะคะ เพราะถ้าเอาหมอนไปหนุนหัวให้เดี๋ยวพี่แอมป์จะแวบตื่นขึ้นมา ..บาป ! อิ อิ อิ

 

 

 

 

สวัสดีจ๊ะเบิร์ด 

อ้าว..!..  กำลังฟังเบิร์ดเล่าเพลินๆเชียว  ตื่นขึ้นมาอีกทีเบิร์ดหอบหมอนย่องหนีพี่ไปซะแล้ว  กำลังนอนคุยกันสนุกอยู่เชียว   สงสัยชามะนาวอ่อนไปนิด คราวหน้าต้องฝานมะนาวจิ้มเกลือกันเลย  พี่จะได้ไม่หลับง่ายๆอีกต่อไป  : )

อ้อ.... พี่จะบอกว่าแวะมาบ้านพี่คราวหน้าไม่ต้องหอบหมอนมาแล้วนะจ๊ะ  พี่มีหมอนนุ่มน่ากอดเต็มบ้านเลย  ทั้งหมอนข้างและหมอนหนุน  และพี่จะเตรียมหมอนใบใหญ่นุ่มหอมกลิ่นแดดอุ่นสีชมพูหวานไว้เป็นพิเศษสำหรับเบิร์ด  เพราะเห็นว่าน้องชอบค้านหัวชนหมอนบ่อยๆมิใช่หรือ......  จะได้ไม่เจ็บไงจ๊ะ  ....อิอิอิ

 อ่าฮะ.....  เวลาเจอข้อสอบปรนัย  เบิร์ดก็รู้สึกคล้ายๆกันเหรอจ๊ะ   คืออันที่จริงข้อสอบแบบนี้ก็มีส่วนดีอยู่มากเหมือนกันเนอะ  แต่ผลข้างเคียงคือส่งเสริมการคิดแบบส่งเดช  (โดยคนออกข้อสอบไม่ได้เจตนาเลย)  แล้วก็ส่งผลกระทบลึกซึ้งระยะยาว ไปถึงวิธีคิดในระบบการศึกษาไทยตั้งแต่ชั้นประถมมัธยม   ซึ่งไปเน้นการ "เดาให้ถูก"  มากกว่าการ "สร้างให้ได้  รู้ให้จริง"  แถมยังถูกโปรแกรมให้คิดเป็นอัตโนมัติด้วยว่า คำตอบที่ถูก... มีเพียงคำตอบเดียว  อาจจะทำให้เขาคิดอะไรแบบดิ่งเดี่ยว  ขาดความเข้าใจในความแตกต่างหลากหลาย  และคิดแบบเอาแต่ใจตัว  มากกว่าจะเอาใจเขามาใส่ใจเรา 

เพราะการตอบคำถามว่า  "....ข้อไหนถูก?.... "  ง่ายกว่าการตอบคำถามว่า "  ....ทำไมข้อนี้ถึงถูก?....."  มากมายนัก 

พี่เลยชอบ แวบ แบบข้อสามมากที่สุดเลยจ๊ะ  และเชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอแบบเบิร์ด จะ"แวบ"แบบหลังสุดนี้จนรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดา  เพราะทุกสิ่งมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่  และดับไป 

แหมช่างตรงตามสภาพ"ปัจจุบันขณะ" หน้าจอของพี่เปี๊ยบ  เมื่อ   "เปิดขึ้น   พิมพ์อยู่  และ(เน็ต)หลุดไป....." .....   สามหนแล้วอะค่า    อิๆๆๆๆ

แวบข้อ 3 นี่เกิดล่าสุดเมื่อตอนอ่านเรื่องสั้นเรื่อง พระดิน ของคุณประภาส

พี่แอมป์อ่านยังค่ะ

แวบที่ 2 เป็นบ่อยมากตอนมาอยู่ที่แคนาดานี่แหละค่ะ ทั้งตอนเดินป่า หรือ เดินมองต้นไม้ตอนเดินไปขึ้นรถเมล์ธรรมดาๆนี่แหละ

แต่แวบแบบแรกนี่ อยากรู้สึกบ่อยๆจังค่ะ ไม่ค่อยได้เจอคนแบบรุ่นน้้องของพี่แอมป์คนนั้นเลย! ถ้าเจอบ่อยๆมัทคงเตือนใจตัวเองได้บ่อยขึ้นว่า อย่าเอาเกณฑ์ตัวเองไปตัดสินว่าใครทำดีไม่ดี

ืืทำยากจังค่ะ

ก่อนไปขอฝากไว้ว่า แวบนี่แวบที่ใจ เนอะค่ะ ไม่ใช่ที่หัว หรือ ตา? 

 

เคยเป็นเหมือนกันค่ะ..บางทีตั้งใจคิดให้ออกมันก็ไม่ออก แต่พอจะนึกออกมันก้ออมาเอง..เหมือนกับหลวงปู่ดูลย์บอกไว้เหมือนกันว่า ..คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ต่อเมื่อหยุดคิดนั่นแหลจึงจะคิดออก ..จริงๆด้วยค่ะ..

ใจว่าง สงบ สรรพความรู้..มันคงหลั่งไหลมานะคะ..

ขอบคุณค่ะ..

P  สวัสดีค่ะ อ.มัท

         พี่แอมป์ยังไม่ได้อ่านเรื่องสั้น "พระดิน"  ของคุณจิกเลยค่ะ  น่าอ่านจัง คงมีมุมคิดสะกิดลึกแบบนึกไม่ถึงเช่นเคย  จะรีบไปหามาอ่านค่ะ  จะได้ "แวบ" ที่ 3  แบบ อ.มัทมั่ง 

         วันก่อนอ่าน "รอยเท้าเล็กๆของเราเอง" ของคุณวินทร์ที่คล้ายๆกับคุณหมอจิ้นเคยเขียนถึง(ถ้าจำผิดต้องขออภัยคุณหมอด้วยนะคะ) คุณวินทร์เขียนคมดีอะค่ะ  เขียนสั้นๆเหมือนบล็อก  แต่อ่านแล้วคิดต่อได้อีกยาว

         ความฝัน(ออกนอกหน้า)อีกเรื่องของพี่แอมป์  คือไปแคนาดาเนี่ยแหละค่ะ   รู้สึกอยู่ลึกๆว่าสักวันต้องไป  (สงสัยอยากพาพ่อกับแม่ไปเที่ยว ทั้งที่เราไม่ค่อยมีตังค์  ไม่เป็นไรค่อยๆทำงานเก็บเงินไป  พอมีตังค์ไปเราก็แก่กำลังดี  รถไฟจะได้ลดครึ่งราคา  เรือบินประเทศนอกเค้าลดให้ป่าวคะ  อิอิอิ)  รูป The Road to Somewhere  ที่พี่แอมป์ชอบมากก็ได้จากรุ่นพี่ที่ไปแคนาดาค่ะ    ดูได้ทั้งวันไม่เบื่อเลย  ดูแล้วก็รู้สึกแวบที่ 2 แบบอ.มัทว่าเด๊ะ 

         วิวแถวโรงเรียน(คือมหา'ลัย) อ.มัท คงสวยน่าดูนะคะ  ทั้งป่าครึ้มสวยและฟ้าริมทะเลยามเย็น โดยมีท่านผู้ชมร่วมแวบ(ที่ใจ)สองท่าน...อิอิ    โรแมนติกดีอะค่ะ 

         อ.มัทพูดถูกใจมากๆๆๆอีกแล้วค่ะ  น้องคนที่เล่า  เขาเป็นแบบนั้นอยู่ในตัวในตนเขาเลย คนที่รักคนอื่นด้วยความจริงใจ เป็นธรรมชาติของเขาอย่างนั้นนี่  พี่แอมป์ทึ่งมากเลย  แล้วก็รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น  ที่จะเชื่อว่า "ความบริสุทธิ์ใจ  มีจริง  จิตใจที่บริสุทธิ์ มีจริง ความรักผู้อื่นด้วยใจบริสุทธิ์  มีจริง"

         ไม่แปลกที่คนทุกคนจะมีความเป็น "ปุถุชน"  แต่ในความเป็นปุถุชนนั้น  ก็ไม่อาจปิดกั้น"หัวใจที่เมตตาต่อสรรพสิ่ง"  ซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนแล้ว  เพียงแต่ผู้ที่รู้สึกเช่นนี้ จะเลือก "นำเสนอ"ต่อผู้อื่นด้วยท่าทีอย่างไรเท่านั้น 

          ขอบคุณที่แวะมานะคะ อ.มัท  โปรดรักษาสุขภาพ   และขอให้งานเสร็จไวๆนะคะ  : )

P สวัสดีค่ะคุณครูแอ๊ว

         ครูแอ๊วพูดถึงหลวงปู่ดุลย์อีกคนแล้วอะค่ะ  ดีจัง  พี่แอมป์ยังไม่เคยอ่านเลยค่ะ  ว่าจะแวะไปขออนุเคราะห์ไฟล์ pdf จากน้องเทพ(คุณธรรมาวุธ)อยู่เหมือนกัน จะได้อ่านให้ละเอียด  คงจะเข้าใจขึ้นกว่าแค่ "แวบ"สั้นๆที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก 

         อ่านความเห็นครูแอ๊วแล้วพี่ก็สว่างวาบขึ้นมาอีกหนึ่งแวบ   "เมื่อใจว่าง ก็ "หยั่ง" รู้ได้เอง" 
เรื่องบางเรื่องแสนจะเรียบง่าย และไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย  ถ้าเราลองเปลี่ยนจาก "หัว" (สมองที่คิดนั้นคิดนี่คิดโน่น) มาเป็น "ใจ" (ที่ว่างและปล่อยวาง) 
       เรื่องของเรื่องคือมันไม่ค่อยว่างเนี่ยแหละค่ะครูแอ๊ว   

       ปล.รูปใหม่ครูแอ๊วน่ารักจังเลยค่ะ   : )

  Pครูนงเมืองคอน

สวัสดีค่ะครูนง

ขอบพระคุณมากค่ะที่นำมิตร กศน.มาฝาก  ดิฉันจะตามไปสื่อสารนะคะ  ขอบพระคุณมากอีกครั้งค่ะ

  • ตามเข้ามาคะ
  • ประทับใจคำว่า แวบคะ
  • สื่อมุมมองที่โดนใจมากคะ
  • จะตอบว่าไม่มีข้อถูกคะ..อิอิ

 

สวัสดีค่ะคุณนารี

พี่แอมป์ตามอ่านบันทึกคุณนารีอยู่นานแล้ว แต่ยังไม่ได้โพสต์  เพราะติดนิสัยโพสต์ทีนึงก็บ่นยืดยาวเท่าอายุ ...อิอิ     และกะว่าจะตามไปในบันทึก "สุขานานาชาติ"  อยู่พอดี..     ปรากฏว่าคุณนารี แวบ..บ..มานี่ก่อนเสียแล้ว  แถมตอบข้อสอบปรนัยถูกอีกต่างหาก  เฉลยข้อ จ.จริงๆซะด้วย .....เก่งชะมัดอะค่ะ     

คนที่ไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวได้นี่เก่งจังเลยนะคะ    ชอบจังเลย   รู้สึกเป็นอิสระดี  เรื่องที่คุณนารีเล่าคงเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคนอยากไปท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์แห่งความสุขเช่นนั้นบ้าง 

......รวมถึงพี่แอมป์ด้วยเลยค่ะ.... : ) 

ปล. พี่ดูจากรูปและการพูดคุยในบันทึก คุณนารียังดูเป็นสาวน้อยสดใส  เลยขออนุญาตแทนตัวเองว่าพี่แอมป์เลยนะคะ   : )

สวัสดีครับ...

“ความสุขอย่างง่าย”  เกิดขึ้นได้ทุกๆ  วัน
...ขอเพียงเรามองเห็น  “ความงามอย่างง่าย” ที่ผ่านเข้ามาเท่านั้น...

.....

ผมชอบแนวคิดนี้มากครับ..  ความสุขอย่างง่าย ๆ ที่ว่านี้คงต้องอาศัยการ "เปิด - ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลง"  ตัวเองในแนวทางที่ดีจึงจะสามารถ "สัมผัสซึ้ง"  ถึงวิถีนั้นได้

ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน

คุณแผ่นดิน ทำให้ดิฉันรู้สึกอยากเขียนบันทึกใหม่ขึ้นมาในบัดดลนะคะ  หลังจาก  เขียน...ม่าย...ออก  อยู่เป็นนานสองนาน 

บันทึกที่มีมาเล่าสู่กันฟังอย่างสม่ำเสมอของคุณแผ่นดิน ทำให้ดิฉันเห็นความรื่นไหลของความรู้สึกที่สามารถถ่ายทอดได้อย่างสวยงาม ทั้งความรู้สึกส่วนตัว ความรู้สึกในครอบครัว  และความรู้สึกในการทำงาน  ดิฉันอยากถ่ายทอดได้ราวกับสายน้ำไหลแบบนั้นบ้างจังเลย

ของดิฉันกว่าจะเขียนได้สักบันทึกก็นึกแล้วนึกอีก  แต่นี่ก็เป็น "ความสุขอย่างง่าย"ของดิฉันนะคะ  เวลานึกอยากเขียนแล้วได้นั่งร่างๆอะไรไปในโลกส่วนตัวเงียบๆนี่มีความสุขชะมัด  เวลาได้นั่งเงียบๆนี่รู้สึกได้ถึง "สัมผัสซึ้ง" ถึง วิถี แบบที่คุณแผ่นดิน ว่า  คือวิถีง่ายๆในโลกแห่งความสุขเล็กๆ ที่เราผลิตได้ด้วยตัวเอง   ผลิตเอง  บริโภคเอง  สนุกดีชะมัดอะค่ะ

 อ้อ...มีเรื่องหนึ่งอยากถามนานแล้วค่ะ   คุณแผ่นดิน เป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญแก่ดิฉันอีกเรื่องนึง  คือเรื่องความขี้อาย   ของดิฉันอาการเอาเรื่องอยู่นะคะ    คือนั่งนิ่งๆในที่คนมากๆได้สักพักเดียว  จากนั้นก็ต้องเปิดแน่บไปหาที่เงียบๆ  พอหายตื่นแล้วค่อยเดินกลับเข้าไปใหม่    แต่คุณแผ่นดิน นั่งอยู่ในงานได้อย่างนิ่งสงบมากกว่าดิฉัน  ตอนนั่งที่มีคนเยอะๆนั่นคุณมีวิธีคิดอย่างไรคะ  ของดิฉันต้องหากระดาษปากกามาจดๆๆๆๆ   ไม่งั้นจะอึดอัดมากอะค่ะ  

เอ่อ...ถ้าสอนเด็กไม่ค่อยเท่าไหร่  เพราะ ดิฉันสั่งให้เด็กหันหน้ามองกระดาน  หรืออ่านเอกสารไป   ส่วนดิฉันก็ไปยืนพูดหลังห้องหรือข้างห้อง  เด็กก็ไม่ได้หันมาดูอะค่ะ   : )

   ขอบคุณคุณแผ่นดิน มากนะคะที่แวะมาทักทายกันอยู่เสมอ   ดิฉันก็เลยทักกลับซะยืดยาวด้วยความดีใจอะค่ะ  : )    : )

สวัสดีค่ะพี่แอมป์

เข้ามาอ่านบันทึก แวบ ของพี่แล้วนะค่ะ เข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของพี่ค่ะ บ่อยครั้งที่ต้อมก็รู้สึกแวบอะไรบ่อยเหมือนกัน

ต้อมก็ชอบอ่านหนังสือศาสนาและปรัชญามากค่ะ ตอนยังไม่ต้องเลือกว่าจะเลือกเรียนอะไร (ม ต้น) ก็อ่านหนังสือในหมวดนี้ที่ห้องสมุด จนไม่มีหนังสือในหมวดนี้จะให้อ่าน

ส่วนเรื่องที่ไม่เล่นตุ๊กตากับเพื่อนนั้น ต้อมก็ไม่ค่อยไ้ด้เล่นตุ๊กตากับเพื่อนเท่าไหร่ เพราะชอบทำแบบฝึกหัดเลขมากกว่าที่จะเล่นตุ๊กตากับเพื่อนผู้หญิง เข้าใจความ รู้สึกที่เป็นคนที่แตกต่างค่ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราอยู่อย่างมีความสุขได้ค่ะถึงแม้ว่าจะแตกต่าง

จริงๆ แล้วต้อมว่าเราไม่ต้องร่ำร้องหาอิสรภาพนะค่ะ อิสรภาพของเราก็อยู่ที่ใจของเรา ใครเอาไปไม่ได้ ถ้าเราไม่ให้เขาไป แต่อิสรภาพของต้อมในที่นี้ก็คือความไม่ทุกข์ค่ะ เมื่อไรก็ตามที่เรามีความทุกข์ ต้อมว่าเราขาดอิสรภาพของเรา ซึ่งความทุกข์นั้นเกิดจากที่เราไปยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนั้น เช่น มองในอีกมุมหนึ่ง แทนที่เราจะถามว่า ทำไมข้อสอบต้องเป็นปรนัย เราก็อาจจะถามตัวเราเองว่า ทำไมเราจึงอยากให้ข้อสอบเป็นปรนัย

ถ้าพี่แอมป์ว่าง ลองไปดาวน์โหลดนิยายอิงธรรมะชื่อ ลีลาวดี ฟังได้ที่http://www.dhammathai.org/sounds/leelawadee.php

ต้อมก็ทำงานไป ฟังไป รู้สึกสนุกดีและได้ข้อคิด ข้อธรรมะหลายๆ อย่างค่ะ

สวัสดีด้วยความดีใจจังค่ะ...ที่น้องต้อมแวะมาบันทึกนี้ : )

พี่แอมป์ดีใจที่สุดเลยค่ะที่น้องต้อมบอกว่า "เข้าใจ" อารมณ์และความรู้สึก แวบ ที่เล่าไป หลายๆท่านที่เข้ามาร่วมสนทนาก็เคยพบความรู้สึกเช่นนี้ โดยปกติ  และเป็นธรรมดาคล้ายๆกัน   ดีจัง  ...กว่าจะพบคนที่เข้าใจ และเห็นอะไรที่ตรงกัน( ด้วยความรู้สึกเป็นปกติและสบายใจดี) นี้  พี่แอมป์รอจนแก่เลย  : ) 

บันทึกเป้าหมายชีวิตของน้องต้อมบันทึกนั้น สร้างความมั่นใจและความสบายใจให้แก่พี่แอมป์อย่างมหาศาล      คือจนบัดนี้พี่ก็ยังรู้สึกว่า ที่รู้สึก  แวบ  แบบนั้นแหละคือภาวะปกติ  แต่จิตที่ปัดเป๋เฉไฉไปในแต่ละวันนี่สิ  ไม่ใช่ภาวะปกติ (วงเล็บ  ของจิต)  แต่นี่แหละคือ "ธรรมชาติธรรมดา"ของชีวิต  ที่เราต้องเรียนรู้ ติดตามดู  ทำความเข้าใจ  และฝึกจิตให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

น้องต้อมพูดประโยคโดนใจพี่แอมป์จังเลยค่ะ ...เรื่องบางเรื่อง  จะว่าไปแล้วเหมือนเส้นผมบังภูเขาเลยนะจ๊ะ ...     "อิสรภาพของเราก็อยู่ที่ใจของเรา ใครเอาไปไม่ได้ ถ้าเราไม่ให้เขาไป"  โอ้... ฟังกี่ทีก็ถูกใจทุกที  พี่แอมป์รู้สึกสว่างกระจ่างใจขึ้นมาทันควัน  "ยึดเมื่อไหร่ ก็ทุกข์เมื่อนั้น"   ใช่เลยจ๊ะต้อม  โอ้...ถูกใจซะอีกที   "แทนที่จะตั้งคำถามเขา  ก็ถามที่ใจเรานี่แหละ"  อ๊ะ...ถูกใจอีกแล้ว  ฟังเองแปลเองถูกใจเอง  ชอบจริงๆ   ช่างเข้ากับชีวิตอันเร้าใจของพี่แอมป์ตอนนี้เลย   ^_^ 

การอ่านนี่เป็นการฝังรูปรอยความคิดและอาจส่งผลถึงวิถีชีวิตของเราตอนแก่เอ๊ยตอนโตด้วยกระมังจ๊ะ พอต้อมเล่าถึงหนังสือที่ชอบ (และอ่านจนหมดห้องสมุด อิอิ  สุดยอดอะค่ะ) พี่แอมป์เลยนึกย้อนลิ่วๆๆไปถึงสมัยเด็กๆ  พี่ชอบปรัชญาเพราะทำให้พี่เข้าใจกลไกของความเชื่อ  พี่ชอบจิตวิทยาเพราะเกี่ยวกับการจัดการกลไกของจิตใจ  พี่ชอบการสื่อสารเพราะเป็นเครื่องมือจัดการจิตใจและความเชื่อของคน และพี่ชอบหลักพุทธธรรม  โดยเฉพาะการทำความเข้าใจความเป็นไปตามเหตุปัจจัยมากที่สุด  เพราะช่วยให้เราไม่ปวดหัวกับหลักโน่นหลักนี่อีกต่อไป   หลังจากที่เราได้เห็นว่าแท้ๆแล้ว...มันเป็นเช่นนั้นเอง(แหละโยม)  

โอ...ขอบคุณมากที่สุดเลยจ๊ะสำหรับลิ้งก์ดีๆ  พี่เข้าเว็บไซต์นี้หลายหนแล้วแต่ไม่เคยเข้าไปฟังนิยายอิงธรรมะเรื่องนี้เลย  พี่พลาดเรื่องสนุกนี้ไปได้อย่างไรกันนี่  ขอบคุณน้องต้อมมากๆนะจ๊ะ  พี่เลยได้เข้าไปค้นอย่างตั้งใจและละเอียดกว่าเดิม  มีอะไรดีๆน่าอ่านและน่าฟังเพิ่มอีกเยอะเลย 

ขอบคุณน้องต้อมมากๆอีกครั้งที่แวะนำข้อคิดดีๆมาฝากพี่แอมป์  ทำให้พี่สว่างวาบขึ้นอีกหลายแวบเลยค่ะ  ขอให้น้องต้อมมีความสุขมากๆและเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ

เมื่อนำเรื่องที่ได้อ่านไปคุยกับเพื่อน  เพื่อนบอกว่า “ เราไม่เล่นตุ๊กตากับเธอแล้ว  เธอพูดอะไรก็ไม่รู้  ไม่เห็นรู้เรื่อง”   
แล้วนับแต่วันนั้น  เพื่อนๆก็จะบอกแก่กันว่าดิฉันเป็นคน “พูดอะไรก็ไม่รู้...ไม่เห็นรู้เรื่อง”

********                  ********

พี่แอมป์ น้องพลาด(อ่าน)บันทึกนี้ไปได้อย่างไร

คำพูดข้างบน น้องได้ยินคล้าย ๆ กัน ทำนองครือกัน เป็นประจำจากลูก

เขาจึงพูดกับเพื่อนอยู่ไม่กี่คน หมายถึงที่พูดคุยกันสนิท ๆ

แล้วใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการอ่านหนังสือ

 

จนแม่จอมวิตกกังวลอย่างเรา กลัวเขาจะผิดปกติ

เมื่อเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม เขาก็จะพูดว่า "น้องไม่ผิดปกติ น้องเป็นปกติ แหม แม่ แค่เราไม่ได้พูดคุยเรื่องเดียวกันบ่อย ๆ แต่เราเป็นเพื่อนกันครับ แม่อย่าคิดมาก" 

"พ่อกับแม่ยังพูดคุยคนละเรื่องเดียวกันเลย..."

เออ จริงแฮะ

********                   ********

นานมาแล้ว  ตั้งแต่ได้กลับมาทำงานที่บ้าน  ทุกวันที่ขับรถไปโรงเรียน (คือมหาวิทยาลัย)  ปลายทางที่เห็นไกลๆเมื่อถนนทอดตรงไปข้างหน้า  คือภูเขาเขียวชอุ่มเรียงซ้อนลดหลั่นกัน ในบางวันที่ฟ้าสดใส  ทิวเขาเบื้องหน้าก็แลเห็นเด่นงาม     อดคิดไม่ได้ว่าทางไป “ที่ทำงาน” ในวันฟ้าใสนั้น “โรแมนติก” นัก ..

 

สำหรับย่อหน้านี้ อ่านแล้วให้คิดถึงบ้านนอกของน้องเป็นยิ่งนัก

เดินไปทำงาน เห็น...ดอกขาวเล็กเจียมเนื้อเจียมตัวของชาฮกเกี้ยน

เห็นดอกหญ้ากระดุมริมทางเท้า

บัวดินดอกไม้(ไม่)โมแรนติค(อดีต)ของเรา 

กิ่งเฟื่องฟ้าที่ขยันแตกใหม่สู้แล้ง

พวงชมพูเล่า เจ้าของเขาเก็บ(ตัด)หลายครั้งหลายหน ก็แตกใหม่ได้เรื่อย ๆ สู้ชีวิตยิ่งกว่า"คน"

หน่ออ่อน ๆ ของต้นไผ่ในบ้านพักเราเอง อีก...สวยงาม..แม้เราจะเพี้ยนขนาดลองเก็บมากิน อิ อิ

 

จริงนะคะ

ความสุขอยู่แค่เอื้อม

ธรรมชาติสวยงามเสมอ

คืนนี้นอนดึก คิดถึงพี่แอมป์จนมาเม้นท์เก้อ ๆ จะมาตอบไหมเน้อ...;P

สวัสดีด้วยความชื่นใจจังค่ะคุณหมอเล็ก พี่แอมป์ประทับใจทุกครั้งที่คุณหมอเล็กเล่าเรื่องของลูกภู ซึ่งตอนนี้คงโตขึ้นเป็นหนุ่มน้อยแล้ว และคงคมคิดคมคายไม่แพ้คุณแม่เลย เพราะคุณหมอเล็กละเอียดอ่อนออกปานนี้ พี่เลยดูเป็นกุลสตรีน้อยลงเยอะ (ถ้าน้องกับพี่มายืนเทียบกันอะ อิอิ) ธรรมชาติกับอารมณ์มนุษย์ ช่างแปรปรวนเปลี่ยนผันไม่ต่างกันเลย ^_^ และแม้ธรรมชาติในรุ่นเราจะทำให้เราต้องปรับตัวมากขึ้น แต่ก็ยังมีความงดงามอยู่ในทุกทุมมองนะคะ (ทั้งนี้ ^_^ หลังจากความแปรปรวนพ้นผ่านไปแล้ว) พี่ก็เรียนรู้ที่จะปรับตัวไปทุกวัน รุ่นปู่รุ่นย่าเรายังผ่านมาได้ รุ่นเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะผ่านไปให้ได้เนาะ ...เอ..ว่าแต่เราเนี่ย รุ่นอะไรกันแล้วอะคะคุณหมอเล็ก อิอิ ^_^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท