แท้จริงแล้ว ธรรมเป็นเรื่องใกล้ตัว
ใกล้จนถึงขนาดที่เรียกว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเราเอง
และขอบเขตของธรรมะก็มีเพียงนิดเดียว
คือทำอย่างไรจึงจะไม่เกิดความทุกข์
ถ้าจะศึกษาธรรมะ ก็ศึกษาลงไปเลยว่า
"ความทุกข์อยู่ที่ไหน เกิดขึ้นได้อย่างไร และดับไปได้อย่างไร"
และความสำเร็จของการศึกษาธรรมะ
อยู่ที่ปฏิบัติจนเข้าถึงความพ้นทุกข์
ไม่ใช่เพื่อความรอบรู้รกสมอง
หรือเพื่อความสามารถในการอธิบายแจกแจงธรรมได้อย่างวิจิตรพิสดาร
พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช
สวัสดีค่ะ มารับธรรมด้วยคนค่ะ แน่นอนค่ะปฏิบัติธรรมเพื่อให้เห็นว่าอะไร เป็นอะไร ทุกข์น่ะอย่างไร อะไรทำให้เกิดทุกข์ในชีวิต แล้วจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร
เมื่อก่อนไม่เข้าใจเลย กว่าจะมองเห็นว่าทางสายธรรมจะนำไปสู่การค้นพบทางพ้นทุกข์ ก็แทบน่วมเลยค่ะ
เพื่อนอีกมากบอกว่าไม่สนใจการปฏิบัติธรรม กลัวว่าหมดกิเลส แล้วชีวิตจะไม่มัน ก็ต้องปล่อยเขาไปนะคะ
สวัสดีค่ะ
ตัวเองเน้นที่การปฎิบัติค่ะ
ในขณะเดียวกันก็ศึกษาธรรมะภาคปริยัติไปด้วยบ้าง แต่ไม่ให้ไปกระตุ้นข้อสงสัยอะไรมากมาย จนมาปิดกั้น ทำให้ใจไม่สงบ เพราะเต็มไปด้วยคำถาม
เป็นจริงค่ะ พอปฎิบัติธรรม ถึงระดับหนึ่งแล้ว ใจใส ใจนิ่ง ใจสว่าง ปัญญาจะเกิดขึ้นเองได้ และถึงตอนนี้ ไปกราบถามปัญหาธรรมะกับครูบาอาจารย์ ท่านจะอธิบายให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีกได้ค่ะ เพราะเหมือนเรา พอมีพื้นฐานอยู่บ้างแล้วค่ะ
สวัสดีครับคุณนายดอกเตอร์
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีครับคุณ naree
ธรรมะคุ้มครองครับ
สวัสดีครับคุณพี่ศศินันท์
ผมเห็นด้วยกับคุณพี่ครับ ว่าเราต้องเน้นการปฏิบัติก่อน แต่ก็ต้องยึดปริยัติเพื่อเป็นไกด์นำทาง
การปฏิบัติโดยไม่มีอาจารย์หรือไม่มีเข็มทิศนำทาง มันก็ต้องหลงแน่นอนครับ เพราะธรรมะที่พระพุทธองค์แสดงไว้นั้นปัญญาอย่างเราๆ มิอาจรู้เองได้
การศึกษาปริยัติมากเกินไปก็ควรระวัง เพราะทำให้เกิดการสงสัยมาก มันก็ต้องสงสัยอยู่แล้วเพราะว่าเราจินตนาการเอาเองไม่ได้ เมื่อจินตนาการเองไม่ได้อาจทำให้เกิดมิจฉาทิฎฐิขึ้นได้ ก็อาจหลงไปอีก
เพียรทำเพียร เช็คเข็มทิศ เพียรปรึกษาครูบาอาจารย์ ผมว่าปลอดภัยที่สุดครับ
ธรรมะสวัสดีครับ