เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2549 เวลา 13.00-17.00 น. ได้มีการจัดเสวนาวิชาการเรื่อง “วิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและแพทย์” ขึ้นที่ห้องประชุม 1 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยมี ศ.นพ.ประเวศ วะสีเป็นประธานในการเสวนา
นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการประชุมครั้งนี้ว่า เพื่อรับทราบปัญหาและหาทางออกร่วมกันในเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งหาประเด็นที่ต้องทำวิจัยต่ออาจารย์ประเวศ วะสี ได้กล่าวเกริ่นนำถึงความสำคัญของปัญหาและแนวทางในการเสวนาดังนี้
เป็นโอกาสดีที่จะมารวมตัวกันแก้ปัญหาที่ก่อตัวมาหลายปี ปัญหานั้นคือการฟ้องร้อง ซึ่งเป็นสภาพที่บีบคั้นทุกฝ่าย ฝ่ายผู้รับบริการก็สูญเสีย ฝ่ายผู้ให้บริการทำงานเหนื่อยแล้วยังถูกฟ้องถูกกล่าวหาอีก ทั้งหมดนำความเศร้าเสียใจมาสู่ทุกฝ่าย ถ้าปล่อยให้ลุกลามต่อไปจนเหมือนอเมริกาซึ่งมีการฟ้องร้องสูงมาก แม้แพทย์ไปช่วยอุบัติเหตุก็อาจจะถูกฟ้องว่าช่วยไม่ถูก แพทย์ต้องมีประกันการถูกฟ้องทุกคน ทำให้ค่าบริการสูงขึ้น ตัวเลขที่ได้รับจากเพื่อนที่อยู่อเมริกาบอกว่าขณะที่ 15% ของค่าบริการทางการแพทย์อยู่ที่เอกสารและกระบวนการทางกฎหมาย แทนที่จะนำมาใช้จ่ายเพื่อช่วยคนไข้ ถ้าเหตุการณ์ของเราลุกลามไปอย่างนี้จะเป็นที่น่าเสียใจ ค่าบริการทางการแพทย์จะสูงขึ้น แพทย์ทุกคนจะประกันการถูกฟ้องพวกเรามองตรงนี้มาหลายปีและรู้สึกว่าต้องเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข ผู้ใหญ่หลายคนมองเรื่องนี้ เป็นโอกาสดีที่ทุกฝ่ายมาที่นี่ ฝ่ายผู้รับบริการและองค์กรที่ดูแลผลประโยชน์ของผู้บริโภค องค์กรวิชาชีพ คนที่ดูแลระบบบริการ กฎหมาย สื่อมวลชน ท่านรัฐมนตรีในฐานะผู้แทนราษฎรเข้ามาใช้อำนาจรัฐเพื่ออำนวยความผาสุกให้เกิดขึ้นกับมหาชน
ปัญหาก่อตัวมาหลายปี แต่คุณพินิจมาแสดงความเดือดร้อน ทำให้ฝีที่กลัดหนองแตกออกมาจะได้รีบรักษา ที่ใช้คำว่าวิกฤติ ที่จริงเป็นโอกาส เพราะปัญหาหลายอย่างมันยาก เช่น เยอรมันและญี่ปุ่นแพ้สงคราม เขาถือเป็นโอกาสแก้ปัญหาต่างๆ แล้วเจริญอย่างรวดเร็ว ภาษาจีนคำว่าวิกฤตมีคำว่าโอกาสอยู่ในนั้นด้วย
เรามีหลักการอย่างนี้ ที่มาคุยกันเรียกว่า dialogue หรือสุนทรียสนทนา ไม่ได้เน้นการทะเลาะ แต่เน้นการฟังอย่างลึก ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพูด อีกฝ่ายหนึ่งก็เน้นการฟังอย่างลึก ไม่เน้นการโต้เถียง เพราะการโต้เถียงมันตื้น ไม่ผ่านกระบวนการทางปัญญา การฟังอย่างลึกเป็นการเคารพอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (transformation)ในโครงการครอบครัวเข้มแข็ง จะมีการตกลงกันว่าวันนี้สามีจะฟังอย่างเดียว ไม่พูด ฟังแล้วเกิดความรู้สึกน้ำตาไหลว่าอยู่ด้วยกันมาตั้งนานแต่ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองทำให้ภรรยาทุกข์ขนาดนี้ พอรู้เข้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ต่อมาอีกวันให้สามีพูด ภรรยาฟัง ก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้ลูกพูดให้พ่อแม่ฟัง พ่อแม่น้ำตาไหลที่ได้รับรู้ หลักการสุนทรียสนทนา ไม่ถือหลักการทะเลาะ ถือการฟังอย่างลึก เอาใจเราไปใส่ใจเขา พวกเรากำลังทำเรื่องนี้กันมาก รวมทั้งไปทำที่ปัตตานีด้วย เอาฝ่ายที่ทะเลาะกัน นักศึกษา ตำรวจ ทหาร ครู มาคุยกัน มันเกิดการรักกันขึ้น ทำอะไรร่วมกัน
ถ้าเราได้ผ่านกระบวนการนี้จะเกิดความเข้าใจแง่มุมของอีกฝ่ายหนึ่ง เกิดความเห็นใจ เกิดความร่วมมือ ซึ่งจะแก้ปัญหาได้ทุกชนิด สิ่งที่เราต้องการแก้ไขคือให้มีบริการที่ดีทั้งทางเทคนิค ทางจิตใจ ความสัมพันธ์ ตัวที่จะลดการฟ้องร้องได้มากที่สุด ถ้ามีการฟ้องร้องจะมีกลไกอะไรรับฟังอย่าให้บานปลาย เราต้องมาร่วมกันคิดให้แฟร์กับทุกฝ่าย ผมหวังว่าการพูดคุยหรือสุนทรียสนทนาในวันนี้จะนำไปสู่การแก้ปัญหา และสร้างกลไกเพื่อป้องกัน ลดการฟ้องร้องแพทย์ และผู้ป่วยได้รับบริการดีขึ้น มีความรักกันมากขึ้นนายพินิจ จารุสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ข้อคิดเห็นเบื้องต้นต่อที่ประชุมดังนี้
สืบเนื่องจากแพทยสภาได้มาพบผมและมีข้อเสนอมาหลายเรื่อง เรื่องนี้มีความสำคัญเร่งด่วนที่ต้องหาข้อสรุป ปัญหานี้เราต้องทำใจให้ว่างเปล่า ผมเป็นรัฐมนตรีต้องวางตัวเป็นกลาง ให้ความเป็นธรรม และต้องพัฒนาในการแก้ไขปัญหา ต้องรับฟังเหตุผลข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย ทุกฝ่ายต้องใจว่างเปล่า ทุกคนต้องใจกว้างและเป็นธรรม ต้องว่างและเอาภาพรวมของทุก รพ. ปัญหาจะแก้ได้ win-win กันหมด ประชาชนได้ประโยชน์ ระบบได้รับการพัฒนา กระทรวงก้าวหน้า หมอมีความสุขปัญหาแพทย์ถูกฟ้องร้องมีมานาน โดยกฎหมาย โดยระบบ โดยวัฒนธรรม สืบเนื่องกันมา ยังไม่มีการทำความเข้าใจ วันนี้สังคมสลับซับซ้อนมากขึ้น นับวันคนในสังคมห่างไกลกันมากขึ้น ที่จะรุ้สึกสนิทชิดเชื้อไม่มีทาง ความสัมพันธ์ห่างไกล
ที่เกิดการประชุมสัมมนาในวันนี้ก็เกิดจากองค์กรของแพทย์ คือแพทยสภา จึงเชิญในระดับกว้างรับฟังทั้งหมด แล้วมาสรุปว่าจะดำเนินการอย่างไร อย่างที่ท่านอาจารย์ประเวศกล่าวว่าวิกฤติคือโอกาสนี้ถูกต้อง เพราะต้องการให้เกิดการแก้ปัญหาให้แพทย์มีความมั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าแพทย์ไม่มั่นใจหรือหมดกำลังใจจะเกิดปัญหามากกับระบบบริการสาธารณสุข ในทางตรงข้าม วันนี้ประชาชนคาดหวังมาก มีความต้องการสูง มีการร้องเรียนต่างๆ มากขึ้น เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญมีการพัฒนาขึ้น ระบบโปร่งใสมากขึ้น ทำอย่างไรให้การพัฒนาทั้งระบบเกิดความมั่นคงมั่นใจ สำหรับแพทย์และประชาชน
การบริหารบริการทางการแพทย์ทุกวันนี้อยู่บนพื้นฐานของปัญหาอุปสรรค หนักมาก ความขาดแคลนบุคลากร เครื่องมือ การพัฒนาระบบ R&D ไม่มีการส่งเสริมงบประมาณด้านนี้ แพทย์แต่ละคนต้องตรวจคนไข้นอกจำนวนมาก และยังต้องดูคนไข้ในอีก วันนี้ยุทธศาสตร์ในการดูแลด้านสาธารณสุขต้องปรับเปลี่ยน แผนและโครงการต่างๆ ต้องสู่การป้องกัน ต้องลดการเจ็บป่วยที่สามารถทำได้ ที่บุ่งคล้าเจ็ดปีไม่มีไข้เลือดออก ต้องให้รางวัลที่นั่น เราจะรณรงค์ลดการติดเชื้อเอดส์ในระดับเยาวชน นักศึกษา ที่พัทยา เกาะสมุย เกาะภูเก็ต ที่กรุงเทพ ที่เป็นจุดล่อแหลมต่อการแพร่เชื้อ ต้องทำงานเชิงรุก เห็นด้วยกับอาจารย์หมอประเวศว่าวิกฤติคือโอกาส โอกาสที่จะบอกกับรัฐบาลและประชาชนว่าระบบบริการสาธารณสุขของเรามีปัญหาอะไรบ้าง
ปัญหาหนึ่งคือการฟ้องร้อง การฟ้องร้องเกิดจากอะไร และจะแก้อย่างไร เรื่องนี้หยิบยกขึ้นมา จะช่วยแก้ปัญหาอื่นอีกมาก วันนี้ ก.พ. สำนักงบประมาณ ก.พ.ร. เริ่มเข้าใจ ว่าโครงสร้างและระบบบริหารจัดการของกระทรวงต้องมีการพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดี
วันนี้ ตัวแทนของประชาชนที่มา ขอให้เสนอแนวความคิดในทางสร้างสรรค์ วันนี้ต้องพูดกันในหลักการเพื่อจะได้เกิดผลบุญกุศล เราจะมาหาแนวทางในการทำให้ทุกคนได้รับประโยชน์ แพทย์มีความมั่นใจ มีขวัญกำลังใจ ประชาชนสังคมมีความเชื่อมั่น การแพทย์เรามีความเจริญ เราจะพูดกันด้วยความเคารพ พูดกันฉันพี่ฉันน้อง บรรยากาศจะได้ประสบความสำเร็จอย่างที่อาจารย์ประเวศเสียสละ เพราะไม่มีใครจะช่วยดับทุกข์ได้เท่าอาจารย์ ในเรื่องกฎหมายถ้าจะมีข้อเสนอก็เสนอมา
เห็นด้วยว่าแพทย์ประสบความสำเร็จมาก รักษาคนไข้หายหมื่นคน แต่พอเกิดปัญหารายเดียวก็น่าเห็นใจ แต่อย่างที่เรียนว่าประชาชนไปหาหมอก็หวังจะรักษาให้หายจากความเจ็บป่วย ปัญหาคุณภาพต่างๆ เป็นปัญหาระบบที่เราต้องมาพัฒนา สิ่งเหล่านี้ แพทย์ กระทรวงสาธารณสุขไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่อาจจะเกิด error ขึ้น โดยรวมเราต้องพัฒนาปรับปรุงระบบ ทำอย่างไรไม่ให้มีการหยิบผิด ไม่ว่าใครจะมาหยิบ ต้องวางระบบให้ดี
นี่คือจุดยืนของผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการ เราต้องสร้างสิ่งที่เป็นคุณ ตรงไหนมีจุดบกพร่องต้องแก้เพื่อประเทศ ไม่ใช่แก้เพื่อใคร ประชากรเราจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง เจ็บป่วยมาได้รับบริการทางการแพทย์ บริการได้รับการพัฒนาให้ประชาชนฝากผีฝากไข้ได้ ถ้าที่ประชุมมีข้อเสนออย่างไร จะได้นำไปแก้ไข ผมรับฟังทุกฝ่าย
จากนั้นทั้งฝ่ายผู้รับบริการและแพทย์ต่างก็นำเสนอทุกข์ของตัวเอง รวมทั้งข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาระบบ
ในส่วนของผู้รับบริการหรือผู้บริโภคได้พูดกันถึงเรื่องกองทุนเยียวยาความเสียหาย ให้คุ้มครองคนที่กำลังมีปัญหามีความทุกข์ในปัจจุบันด้วย การทำให้บริการสาธารณสุขเป็นสินค้ามนุษยธรรม การนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเป็นบทเรียนสอนคนอื่น มาตรฐานของการตรวจวินิจฉัยโรคและความทุกข์ของผู้ป่วยที่เกิดจากการวินิจฉัยผิดพลาดหรือล่าช้า ความสำคัญของข้อมูลในเวชระเบียน จรรยาบรรณของแพทย์ ความล่าช้าในการทำงานของแพทยสภา คำพูดของแพทย์ที่กดดันผู้ป่วยและครอบครัว ความต้องการคำขอโทษซึ่งเป็นเรื่องที่ดีแต่ต้องพิจารณาประเด็นทางกฎหมายด้วยเพื่อไม่ให้การขอโทษเป็นการยอมรับผิด การฟ้องเพราะหมอท้าให้ฟ้อง ความต้องการทราบข้อเท็จจริงถึงสาเหตุการเสียชีวิต
อาจารย์ประสบศรี อึ้งถาวร ได้เล่าให้ฟังถึงงานของแพทยสภา การดูแลมาตรฐานของการผลิตแพทย์ ขั้นตอนการทำงานในการพิจารณาเรื่องร้องเรียน ความเป็นจริงทางการแพทย์เกี่ยวกับความซับซ้อนของโรคซึ่งการเสียชีวิตอาจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ดุลยพินิจในการตัดสินใจในแต่ละสถานการณ์ การทำงานเป็นทีมของบุคลากรทางการแพทย์ ข้อจำกัดของระบบบริการทางการแพทย์ที่ไม่สามารถตอบสนองคาดหวังของประชาชนว่าคุณภาพซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับระบบบริการให้ประชาชนร่วมรับผิดชอบสุขภาพตนเองด้วย ชีวิตการทำงานของแพทย์ในชนบทซึ่งเป็นแพทย์ที่เพิ่งจบ ภาระงานที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการเข้าถึงที่ง่ายขึ้น การที่แพทย์ยึดถือผู้ป่วยทุกคนเป็นครูให้เราได้เรียน
อาจารย์อนงค์ เพียรกิจกรรม ได้นำบทความเรื่อง “ทำอย่างไรจึงไม่ถูกฟ้อง เมื่อถูกฟ้องควรทำอย่างไร” มาแจกที่ประชุม และชี้ให้เห็นความยากลำบากในการวินิจฉัยโรคซึ่งก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจของผู้รับบริการ เช่น โรคไวรัสทุกชนิดแยกไม่ได้เลยในวันแรกว่าเป็นอะไร โรคไข้เลือดออกมีโรคที่ต้องแยกโรคมากกว่า 20 โรค และอาจจะมีอาการเหมือนการตั้งครรภ์นอกมดลูกหรือตับวายก็ได้ คนไข้ที่มีอาการเหมือนไส้ติ่งอักเสบอาจจะเป็นไส้ติ่งแตกหรือเป็นโรคอื่นได้อีกมากกว่า 20 โรค คนไข้ถูกงูกัดอาจจะเสียชีวิตเพราะ compartment syndrome ไม่ได้เกิดจากพิษงู โดยสรุปคือเราขาดทั้งจำนวน ทักษะความสามารถ และการบริหารจัดการ
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ได้กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยว่าบางครั้งเกิดจากความไม่เข้าใจกัน ทำให้การซักประวัติของแพทย์ถูกมองว่าเป็นการดูถูก หลังจากตรวจเสร็จแพทย์ต้องคิดว่าเป็นโรคอะไร อยู่โรงเรียนแพทย์ต้องคิดมา 5 โรค อะไรน่าจะเป็นมากที่สุด อะไรน่าจะเป็นมากที่สุด จะรักษาอย่างไร ต้องลองรักษา ต้องติดตามดูอาการ เพราะฉะนั้นการรักษาของหมอจึงเป็นการใช้ดุลยพินิจ ไม่สามารถฟันธง ในต่างประเทศ รักษาคนไข้เกิน 6 คนต่อหนึ่งชั่วโมงก็ไม่รักษาแล้ว เพราะจะเกิดความผิดพลาด ในระบบสามสิบบาท ดูคนไข้ชั่วโมงละ 30-50 คน ผู้ป่วยเสียชีวิตส่วนหนึ่งมาจากสาเหตุของผู้ป่วยเอง เช่น อาการเกินเยียวยา ไม่ตอบสนองต่อการรักษา แพ้ยา เมื่อเกิดการสูญเสียขึ้นและมีการพูดคุยกันน้อย ญาติก็จะ project ไปที่คนอื่น หมอรักษาไม่ดีเป็นสาเหตุอันแรก ปัญหาที่ทับถมเพราะหมอส่วนหนึ่งทนความกดดันไม่ได้ลาออกจำนวนมาก
นพ.พินิจ หิรัญโชติ ยกตัวอย่างกรณีแพทย์ถูกฟ้องให้ฟังเพื่อให้เห็นความสำคัญว่าแพทย์ต้องรู้กฎหมายและต้องอ่านคำฟ้อง ส่วนใหญ่คนที่ฟ้องมีใครอยากเอาหมอติดคุกหรือไม่ ไม่มี แต่อยากจะเอาคำพิพากษาคดีอาญาไปมัดคดีแพ่ง
ฯลฯ
ในตอนสุดท้าย อาจารย์ประเวศ วะสี ได้กล่าวสรุปว่า
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ทุกฝ่ายมาพูดจากกัน เอาความทุกข์มาพูดกัน พยายามหาวิธีการแก้ไข ในการพบปะกันวันนี้ได้แสดงให้เห็นขันติธรรมของทุกฝ่าย รับฟังความทุกข์จริงของทุกฝ่ายโดยไม่เข้าไปเถียงไม่เข้าไปแก้ ในการแก้ปัญหาต้องเริ่มด้วยความจริง ถ้าเข้าไปสู่การทะเลาะกันมันแก้ไม่ได้ ใครจะคิดว่าแพทย์จะมีความทุกข์ แต่ฟังดูความทุกข์เต็มไปหมด คนไข้นี่แน่นอน พ่อตาย แม่ตาย มันเรื่องใหญ่ จะไปอ้างสถิติไม่ได้ เมื่อเกิดขึ้นกับเขามันคือ 100% ของเขา เรื่องนี้มันซับซ้อนและยาก ไม่มีใครสางออก นอกจากต้องมาเรียนรู้ร่วมกัน ต้องมีเมตตา เปิดเผย จริงใจ เชื่อถือได้ และพยายามแก้ไขออก ฟังดูเป็นทุกข์ทั่วโลก
จะสรุปและจ่ายงานไปทำห้าประการ
1. สร้างความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันระหว่างผู้ป่วย ญาติ และผู้ให้บริการ ไม่มีใครอยากฟ้องหมอ นอกจากมันเจ็บแค้น ถ้ามีความสัมพันธ์ที่ดี เขาก็ไม่อยากเอาเรื่องแม้จะมีความผิดพลาดทางเทคนิค เรื่องการสื่อสาร เมื่อ 30 ปีก่อน มีศาสตรจารย์เยอรมันเข้าไปสังเกตดูการพูดคุยระหว่างหมอกับคนไข้ของเราแล้วบอกว่าไม่มี communication ผมพูดมานานแล้ว ตอนหมอธาดาเป็นคณบดีที่สงขลานครินทร์ ถามว่าน่าจะปรับปรุงหลักสูตรเรื่องอะไร ผมบอกว่าน่าจะปรับปรุงเรื่องการสื่อสาร เราต้องเรียนจากคนเป็นๆ ที่มีชีวิต หลักของการสื่อสารคือการเคารพผู้ป่วย ญาติ ตรงนี้ สปสช. พยายามริเริ่มทำเรื่องความสัมพันธ์ เพื่อนให้เพื่อน มิตรภาพบำบัด มิตรภาพจะช่วยเยียวยา สปสช.กำลังทำอยู่แล้ว ไปสร้างแรงจูงใจให้ รพ.ต่างๆ ทำเรื่องนี้ เรื่องมิตรภาพบำบัด แรงจูงใจ แพทยสภาลองช่วยทบทวนตรงนี้ จะเรียนกับคนเป็นๆ จะสร้างความสัมพันธ์อย่างไร จะสื่อสารอย่างไร รวมทั้ง in-service training สำหรับแพทย์ที่จบไปแล้ว
2. การปฏิรูประบบบริการและกำลังคน มันไปไม่ไหว ภาระมันท่วมท้นก็ไม่มีเวลาไปสนใจอะไรต่างๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ กระทรวงสาธารณสุขเองทำงานวันต่อวัน ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ สวรส.ต้องไปคิดเรื่องนี้มาอย่างเร็ว รัฐมนตรีมอบหมายมาแล้ว รวมทั้งต้องลดการพึ่งพา รพ.และแพทย์ลง คนอเมริกันที่ไปหาแพทย์ตายเพราะไปหาแพทย์ประมาณแสนคน ต้องพยายามอย่าไปหาโดยไม่จำเป็น ต้องดูว่าอะไรที่จำเป็นจึงไปหา เรื่อง emergency กับ non-emergency ซึ่ง emergency ไม่มีทางเลือก แต่ non-emergency มีทางเลือกตั้งเยอะแยะ
3. การเยียวยาและสมานฉันท์ เวลาพ่อแม่เขาตาย อย่าไปต่อสู้ว่าเราทำดีที่สุด ต้องเยียวยาและสมานฉันท์เพราะเขากำลังทุกข์อย่างหนัก เรามีศูนย์สันติวิธีและสมานฉันท์ ซึ่งฝึกอบรมคนไปหลายพันคน กระทรวงต้องให้งบประมาณเขา ผมเห็นว่าหมอบรรพตจริงใจที่จะทำเรื่องนี้ กระทรวงต้องเห็นคุณค่าของศูนย์สันติวิธีตรงนี้มากขึ้น
4. ต้องมีองค์กรกลางเพื่อความโปร่งใสและเป็นธรรม ต้องไปคิดว่าจะประกอบด้วยใครบ้าง กระทรวง แพทยสภา ผู้บริโภค เข้ามาทำงานร่วมกัน กระทรวงน่าจะเข้ามาดูแลตรงนี้
5. เข้าไปร่วมกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ซึ่ง ดร.กิตติพงศ์ กิตติยารักษ์ ขณะเป็นอธิบดีกรมคุมประพฤติ ได้พยายามทำไว้ เพราะกระบวนการธรรมดาทำไม่ไหวแล้ว ทางนี้ต้องร่วมกับ ดร.กิตติพงศ์ มีคนไปร่วมทำตรงนี้ ไม่อย่างนั้นก็จับไปเข้ากระบวนการเกิดเรื่องแล้วจับเข้ากุญแจมือ ส่วนจะเรียกอะไรก็ไปดูรายละเอียดกัน
กระทรวงควรตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยฝ่ายต่างๆ มีตัวแทนเข้ามา เอาสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์เข้ามาด้วย กระทรวงรับเป็นเจ้าภาพ และให้คณะกรรมการรับดูแลเรื่องทั้งหมด เป็น academic social process
เป็นคนนึงที่อยากเรียนแพทย์นะคะ
แต่ว่าก็มีคนพูดเรื่องแพทย์ถูกฟ้องร้องเยอะ
แต่ก็ยังคิดที่จะเรียนอยู่นะคะ
และหวังว่าจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้
แล้วก็เห็นด้วยกับแนวทางแก้ไขทั้ง 5 ข้อนี้ด้วยนะคะ
แพทย์ตามรพ.ตจว.บางคนก้ยังไม่ได้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ยังล้าหลัง ยังเห็นคนไข้เป็นภาระงาน ถ้าไม่มีการปรับตัว การฟ้องร้องก็สูงเป็นเรื่องปกติค่ะ