ก่อนอ่านต้องทำใจก่อนนะครับว่า นี่เป็นบันทึกแบบอัดรวดเดียวจบ ผมนึกอะไรได้ก็ใส่ หากอ่านแล้วรู้สึกแปลกก็อย่าแปลกใจครับ (เริ่มแหลกแล้วใช่มะครับ หึๆ)
เหตุผลทีี่มาเขียนบล็อกอีกครั้ง
สามคำนี้ผมได้จากงาน KM เบาหวานที่ผ่านมาไม่นานนี้ เป็นคำที่ผมยิ่งคิดยิ่งรู้สึกลึกซึ้งมาก เพราะมันสะท้อนให้เห็นสภาวะคนป่วยและไม่ป่วยได้ดีมาก
ความรู้ มันก็เป็นเพียงความรู้หากคนไม่สนใจรับรู้รับฟัง
สิ่งที่ทำให้เขารับฟัง คือ เราต้องมีความรู้สึกไปกับเขาด้วย ยอมรับตัวตนของเขาที่เป็นเช่นนั้น ยอมรับข้อเสียของเขา ไม่มีใครที่สมบูรณ์ การที่คนไข้ไม่ฟังหมอเพราะอะไร คำตอบจากในงานนี้ทำให้ผมหูชาด้านไปชั่วขณะ
"หมอไม่เข้าใจผม (พ่อไม่เข้าใจตุ้ม)"
"หมอไม่เคยเป็นเบาหวานแบบผม (พ่อไม่เคยเป็น....แบบตุ้ม)"
ข้างหลังวงเล็บผมใส่เองครับเพราะได้อารมณ์ดีี งานนี้นอกจาได้ประเด็นนี้แล้วผมยังได้เห็นพัฒนาการของคนไข้ เอ่อ จะว่าไปเรียกว่าประชาชนทั่วไปก็ได้ครับที่สนใจสุขภาพมากขึ้น ซึ่งผมรู้สึกดีใจมากๆ ครับเพราะงบประมาณของประเทศเราไปจมอยู่กับค่ารักษามากโขทีเดียว ยิ่งโครงการ 30 บาทหรือที่ตอนนี้เป็นสุขภาพถ้วนหน้าแล้วก็ตามแต่ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง คือ เงินที่จะมาถมตรงนี้มันไม่มีทางพอหรอกครับ ถ้าคนในประเทศเรายังขยันป่วยอยู่ ซึ่งมันไม่ใช่ความผิดของรัฐหรือของรพ.หรอกที่ไม่สามารถรักษาคนไข้ได้ทั้งประเทศ ลองคิดเล่นๆ ก็ได้ครับ ว่าถ้าคนเราป่วยสักเดือนละครั้ง ปีนึงก็ 10 หน ผมปัดลงให้ครับ รัฐจ่ายให้ค่าหัวผมปัดขึ้นเป็น 2000 บาทต่อปีเลยแสดงว่าค่ารักษาต่อครั้งตกราว 200 บาท ค่ายาก็กินเกือบหมดแล้วครับค่าแรงเจ้าหน้าที่ไม่ต้องเอา ค่าห้องก็ไม่ต้องจ่าย ค่าพยาบาลไม่ต้องคิด แล้วรพ.อยู่รอดได้นี่ก็ปาฏิหารย์ครับ
แต่ถ้าคนในประเทศเราหมั่นดูแลสุขภาพ ปีหนึ่งจะป่วยสักครั้ง งบต่อการรักษาจะเป็น 2000 บาทต่อครั้ง ถามว่าการรักษาดีขึ้นไหม ตอบได้อย่างแน่ใจว่าใช่ครับ ผมไม่ใช่คนหน้าเงินนักแต่ลองเทียบดูนะครับ ถ้าคนในประเทศขยันป่วย เจ้าหน้าที่ต้องทำงานหนักขึ้น ในขณะที่ไม่มีเงินทุนมาให้ ทำผิดพลาด(หัวหมุนจากคนไข้เยอะ)ก็โดนฟ้อง โดนเรียกค่าเสียหายชดใช้ สรุปคือ เจ้าหน้าที่หมดกำลังใจทำงานครับ
พยาบาลถ้าต้องดูแลคนไข้ 10 คนกับ 1 คน ถามว่าจะดูแลได้เท่ากันไหม ถ้าไม่ตอบแบบเข้าข้างตัวเองก็ตอบว่าไม่เท่าหรอกครับ
ผมเองเป้นเภสัชกรจ่ายยา ถามว่าถ้ามีคนไข้เยอะ เราต้องถูกบีบให้จ่ายยาให้ทัน ซึ่งตอนนี้ในชั่วโมงเร่งด่วยจะต้องจ่ายให้เวลาเฉลี่ย 1 นาทีต่อคน เกินกว่านี้คนไข้คนอื่นด่าครับว่า ทำไมจ่ายชักช้า อู้งานหรือไง....สิ่งที่พวกเขา (คนไข้และญาติ) ต้องการในตอนนั้น คือ อยากหนีจากรพ.เต็มแก่ครับ ถ้าคนไข้ลดลงผมมีเวลา 10 นาทีบริการคนไข้แต่ละคนถามว่าบริการจะดีขึ้นไหม ผมแน่ใจว่าดีขึ้นครับ ผมสามารถคุยกับผู้ป่วยได้มากขึ้นได้รับรู้ความรู้สึกของคนไข้มากขึ้นเพราะ 1 นาทีนี่...ผมถามอะไรไม่ได้มากนอกจาก
ผมไม่แน่ใจหรอกครับว่าคนไข้จะรับรู้ได้มากแค่ไหน เพราะสถานการณ์มันไม่อำนวยกับการรับรู้อะไรมากนัก แถมผมต้องก้มหน้าดูใบยาเกือบตลอด ไม่ค่อยสบตามองหน้ากับคนไข้มากเพราะเดี๋ยวจ่ายยาพลาดจะเป็นเรื่อง สิ่งที่ผมสท้อนใจและเป็นแรงบันดาลใจให้ผมหันสนใจสุขภาพมากขึ้นก็คือ เหล่าลูกค้าที่มาใช้บริการกับรพ. นี่ละครับ ผมเห็นคนไข้กินยาหนักขึ้นๆ เรื่อยๆ (กินจริงหรือเปล่านี่อีกเรื่อง) จากยาถุงเล็กๆ พัฒนามาเป็นถุงใหญ่จนล้นตะกร้า ผมจ่ายยาไปก็ปลงไป เกิดคำถามตั้งแต่ผมทำงานแรกๆ ว่า
ทำไมชีวิตคนไข้จึงต้องใช้ยามากมายขนาดนี้ ผมก็ค่อยๆ ได้คำตอบมาว่า ที่เขาต้องใช้ยามากขนาดนี้เพราะไม่ได้ปรับเปลี่ยนชีวิตก่อนที่จะมาถึงขั้นนี้ (อาการหนักแล้ว) พูดให้ง่ายคือ ตอนเป็นน้อยไม่ได้ทำให้มันหายแต่ทิ้งไว้อย่างนั้นจนมันเป็นหนักแล้วมารักษา
ทำไมพวกเขาถึงทำเป็นแบบนี้ละ
ผมได้คำตอบไม่นานมานี้เองว่า เพราะพวกเขาไม่รู้หรือรู้ไม่หมด พวกเขาเชื่อในสิ่งที่พวกเขารู้สึกมากกว่าสิ่งที่หมอบอก กล่าวคือ ขาด ความรู้สึกตัว แต่ต่อให้เขาเห็นหรือรู้แล้วพวกเขาก็ยังไม่ทำเพราะสิ่งที่รู้เห็นมันไม่แรงพอที่จะทำให้พวกเขาได้คิด ประหลาดดีใช่ไหมครับ ตอนแรกผมก็แปลกใจไม่น้อยเหมือนกันแต่ขึ้นว่าเป็นคนแล้ว อย่าเอาอะไรที่เป็นเหตุผลมากนัก สิ่งที่คนทำนั้นมักทำไปตามความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ซึ่งความรู้สึกนั้นไม่ใช่ไม่ไดีนะครับ ที่ทุกวันนี้เรามีความสุขก็เพราะความรู้สึกนี่แหละครับ แต่หากเราปล่อยให้ความรู้สึกเป็นเจ้านายเรา มันอยากได้อะไรเราก็คอยป้อนมันก็ไม่พ้นที่จะโดนทำลายทั้งกายและจิตใจ
ในทางกลับกันหากเราทำอะไรมีเหตุผลเป็นวิชาการมากไป ชีวิตก็คงกลายเป็นหุ่นยนต์ ขาดสีสัน ขาดความสุข (ไม่รู้ว่ามีชีวิีตไปทำไม)
ดังนั้นเราจึงต้องใช้ชีวิตให้สมดุลกันทั้งเหตุผลและความรู้สึก อย่าให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาเป็นเจ้านายเราไป (ข้อคิดได้จากเรื่องปัญญาญาณ ของท่านOsho ท่านกล่าวในแง่การใช้สมองทั้งสองซีกซ้ายขวา ซึ่งผมไม่อยากลงรายละเอียดมากเดี๋ยวจะพิมพ์ไม่ไหว หึๆ)
ดังนั้นผมก็ตกผลึกมาว่า การให้ความรู้กับคนไข้ต้องใส่ความรู้สึกไปด้วย จึงจะบาลานซ์กัน ตรรกะง่ายมากๆ ครับเพราะ ถ้าเราทำอะไรที่ดีกับตัวเราแต่ไม่มีความสุขเราจะทำไม๊ครับ ตอบได้ชัดเลยว่าไม่(อยาก)ทำ
เช่น การออกกำลังกาย เรารู้อยู่แล้วครับว่าออกกำลังกายมันดีแต่คนหลายคนไม่ออกทำไมหรือครับ ข้ออ้างมีเป็นร้อยพันอย่างแต่ที่สำคัญ คือ พวกเขา่คิดหรือทำแล้วไม่มีความสุขนั่นเอง แต่พวกเขารู้ครับว่ามันมีประโยชน์แต่ทำได้ไม่ถึเป้า ถ้าเปรียบกับยาคือ กินยาไม่ถึงขนาดที่รักษา โรคก็ไม่หายก็มานั่งเศร้าเสียใจทีหลัง แต่ทำไมหลายคนถึงออกกำลังกายได้เป็นประจำ เพราะเขาทำแล้วมีความสุขไงครับ การออกกำลังกายไม่ใช่ว่าทุกคนทำแล้วจะได้ผลเหมือนกันนะครับ ต้องหาสิ่งที่เหมาะกับตัวเองและทำได้ พอทำสำเร็จนั่นจะเป็นก้าวแรกของความสุขครับ สุขที่ได้ทำสิ่งทีดีกับตัวเราและสุขทางความรู้สึกที่ว่าเราทำได้
ผมเองก็เปลี่ยนผลัดการออกกำลังมาเยอะเหมือนกันจึงรู้ว่า กว่าจะหาการออกกำลังที่เราทำแล้วสนุกเพลินกับมันนั้นหายากไม่ใช่น้อย กว่าจะมาลงที่ยกน้ำหนักได้นี่ ผมก็เปลี่ยนและลองมาเยอะเหมือนกันครับ
อืม...ผมพิมพ์มายาวแล้วนะเนี่ย ก่อนที่จะเลยเถิดไปไกล ขอวกกลับไปงาน KM เบาหวานอีกทีครับ
สิ่งที่ผมเห็น คือ ความกระตือรือล้นที่พวกเขา(คนไข้เบาหวาน)ได้กระตือรือล้นทำสิ่งที่ช่วยให้เขามีสุขภาพดีขึ้น พวกเขาจับกลุ่มกัน ช่วยเหลือกันโดยไม่ต้องรอใครมาสั่งหรือบอกเขาว่าต้องทำ แต่ทุกอย่างที่เขาทำไปเพราะเขาทำแล้วมีความรู้สึกหรือความสุขนั่นเอง นั่นทำให้ผลการดูแลตัวเองออกมาดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาทำ เรียนรู้ จนเป็นความรู้ที่ได้จากการปฎิบัติ
จากงานครั้งนั้นทำให้ผมคิดว่า คนในประเทศเราเหมือนจะรู้แต่ไม่รู้ว่า การใช้ชีวิตที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร คนจำนวนไม่น้อยคิดว่าตัวเองใช้ชีวิตถูกต้องแล้ว จนกระทั่งโรคภัยถามหาก็เริ่มรู้สึกแต่ยังไม่อยากเปลี่ยนชีวิตเดิม ไม่ว่าจะเพราะติดใจในการใช้ชีวิตแบบเดิมๆหรือไม่อยากปรับเปลี่ยนหวาดกลัวกับการต้องใช้ชีวิตแบบใหม่ก็ตามทำให้สถานการณ์มันค่อยๆ ย่ำแย่ไปเรื่อยๆ
การใช้ยาแสดงว่าร่างกายเราเริ่มไม่ไหวแล้ว ถ้าเปรียบกับการเดินของคน ขาสองข้างคือ การกินอาหาร,การออกกำลัง ส่วนยานั้นจะเป็นไม้เท้าคอยพยุงเวลาที่ขาข้างใดบาดเจ็บหรือใช้การไม่ได้ชั่วขณะ
หากเจ็บหนักหรือถึงขั้นขาหักต้องใช้ไม้พยุงทั้งสองข้าง เพิ่มยาเป็นสองเท่า แต่ยังมีโอกาสหายได้อยู่แม้จะนานก็ตาม
ถ้าหักทั้งสองข้างต้องนั่งรถเข็นแล้วครับ รถเข็นนี่คือต้องเข้ารักษาในรพ.แล้วครับกล่าวคือไม่สามารถใช้ชีวิตที่ขาดยาได้
ขอให้ทุกท่านอ่านอย่างมีความสุขนะขอรับ ข้าน้อยจะพยายามเขียนให้มีความสุขไปด้วย
อย่าซีเรียสมากเพราะเดี๋ยวจะ จน เครียดแล้วกินเหล้า แป๋ว
บันทึกเสร็จด้วยเวลา 1 ชั่วโมงเศษ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ ขอรับ
จันทร์เมามายผู้ประพันธ์และงงงงวยกับกลอนบทนี้
เขียนดี๊ดี ถูกใจค่ะ แต่เหมือนจะเขียนยังไม่จบหรือเปล่าคะ คุณจันทร์เมามายมาเขียนต่อพรุ่งนี้อีกนะคะ จะขอให้นอนไม่หลับอีกก็เกรงใจ เอาเป็นว่าขอให้มาg2kchallenge1 อีกก็แล้วกันนะคะ
เขียนยาวจริงๆด้วยครับ จันทร์เมามาย
แต่อ่านสนุกนะครับ ได้เห็นภาพและนึกถึง เหตุ และผล ไปพร้อมๆกัน(ว่าไปนั่น.....)
สงสัยเพราะเป็นเภสัชกรเหมือนกัน เลยคิดเหมือนๆกัน ผมว่าจริงทุกเรื่องเลยครับทั้งที่เป็นเรื่อง"บ่น" และเรื่องของ "เหตุและผล"
ขอบคุณครับ
ดีใจที่หาคนคิดเหมือนกันได้ขอรับ
คำ "เหตุและผล" ของท่าน ทำให้ข้าน้อยนึกถึงความพอเพียง
คือ เมื่ออาทิตยืที่ผ่านมาข้าน้อยเจอพี่การเงินถามเรื่อง "น้ำตาล" ว่ามันน่ากลัวจริงตามที่พี่เขาอ่านในหนังสือหรือเปล่า (เขาว่าน้ำตาลเป็นตัวต้นเหตุของโรคเรื่อรังต่างๆ มากมาย) ผมเลยตอบกลางๆ ไปว่า ที่เขาว่ามันก็จริงครับถ้าเรากินแบบเกินเลยไป ไม่อยากให้พี่เขาถึงขั้นงดของหวานเลย
ผมพยายามตอบคำถามที่ตัวเองผุดคิดขึ้นตอนนั้นมาว่า
เมื่อ อา. 02 ก.ย. 2550 @ 01:07 [368950] [ลบ]
เขียนดี๊ดี ถูกใจค่ะ แต่เหมือนจะเขียนยังไม่จบหรือเปล่าคะ คุณจันทร์เมามายมาเขียนต่อพรุ่งนี้อีกนะคะ จะขอให้นอนไม่หลับอีกก็เกรงใจ เอาเป็นว่าขอให้มาg2kchallenge1 อีกก็แล้วกันนะคะ
---------------------------------------------------------------------