ในระยะ 2 เดือนที่ผ่านมามีเรื่องราวสุข-ทุกข์สลับกัน อันเป็นจุดดีที่ทำให้เห็นธรรมะมากขึ้น โดยในเดือนแรก ค่อนข้างร่าเริง หรือเบิกบานในธรรม และได้พบกับเรื่องราวที่เป็นปีติสุข จนเกิดอาการติดสุข...แม้จะรู้ว่าเมื่อเกิดขึ้น มีอยู่ และย่อมดับไปเป็นธรรมดา...หนึ่งเดือนถัดมาก็ได้พานพบกับทุกขเวทนา...ซึ่งขั้นต้นอาจเป็นเพราะอยู่ในความประมาท...ด้วยคิดว่าเป็นธรรมดานั้นเอง
จากเหตุการณ์ทั้ง 2 อย่าง ดูเป็นเหตุการณ์คู่เปรียบเทียบตรงข้าม แต่สิ่งที่เป็นผลกับการปฏิบัติธรรมกลับคล้ายกัน คือเมื่อธรรมะเบ่งบาน มีปีติสุข ก็หลงระเริง พลอยเกียจคร้านการปฏิบัติไปบ้าง เพราะจิตคิดฟุ้งซ่านในสัญญาแห่งสุข พอป่วย ก็ปฏิบัติธรรมน้อยลงไปอีก เพราะกำลังจิตที่ไม่แข็งแรงจากผลของการเกียจคร้านในช่วงก่อน ยังผลให้สติตามรู้ยิ่งอ่อนปวกเปียก กวัดแกว่งไม่เป็นท่า แต่ทว่าทั้ง 2 เหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน ก็ได้สิ่งที่เป็นโอกาสอันดีงามกับชีวิตที่ควรค่าแก่การบันทึกเก็บไว้ทบทวนในเส้นทางสู่มรรคผลอันได้แก่
สิ่งดีงามจากมวลมิตร โดยเฉพาะเครือข่าย G2K อันได้แก่ ท่านอาจารย์พิชัย (ที่ช่วยตักเตือนให้ตามรู้ด้วยจิตเป็นกลาง และอย่าลืมแผ่เมตตาให้ตัวเอง) คุณน้องขจิต (ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนบ่อย) คุณธรรมาวุธ (ที่ช่วงนี้ก็มีบันทึกต่างๆ ที่เหมาะมากๆกับช่วงแห่งการเจ็บป่วยป่วย ) คำพรจากป้าเจี๊ยบ น้องซูซาน น้องรักษ์ และคุณเอก (จตุพร) อันเป็นยาใจชั้นยอด ซึ่งรวมแล้วนอกเหนือจากการมอบกำลังใจให้หายป่วยกายและจิต ยังช่วยเตือนสติให้ตามรู้เท่าทันเวทนา และการแผ่เมตตา ซึ่งมักเป็นเรื่องหลงลืม และเผลอไม่ค่อยได้ตามรู้ในระยะแห่งการเจ็บป่วยที่ทำให้กายอ่อนล้าเพราะพิษแห่งพยาธิสภาพของโรค เป็นเหตุให้ตนเองทบทวน ระลึกรู้พร้อมกับได้กำลังใจให้แช่มชื่น และปฏิบัติธรรมด้วยความเบิกบาน อันช่วยประหารอาการป่วยได้อย่างดียิ่ง
เมื่อการเดินทางสู่มรรคผล ถอยหลัง หรือที่คุณเอก (จตุพร) เปรียบว่า “พอเผลอนิดเดียวน้ำแรงทะลุทำนบเราพังหมดเลย” เราจึงต้องเริ่มสร้างทำนบใหม่ ถึงเวลาที่ฉันต้องทบทวนสิ่งที่ผ่านมาและเส้นทางที่จะเป็นปัจจัยต่อการมุ่งสู่มรรคผล อีกครั้ง...ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้ฉันย้อนนึกไปถึงธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ และเพื่อความเพียรจากการอ่านหนังสือพระไตรปิฎกฉบับประชาชนและหนังสือ 7 เดือนบรรลุธรรมของคุณดังตฤณ (ซึ่งมีชื่ออยู่ในหนังสือวิมุตติปฎิปทา ของพระปราโมทย์ โดยสมัยนั้นยังเป็นฆราวาส บางตอนของหนังสือที่คุณปราโมทย์ติดธุระทางธรรม จะให้คุณดังตฤณ ตอบกระทู้ในลานธรรมกับผู้สนใจ สงสัยในการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย) ถึงเวลาที่ฉันต้องเปิดหนังสือทบทวนอีกครั้งในธรรมะสำคัญ ทั้ง 2 คือ
โพชฌงค์ 7 คือธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ (ซึ่งถ้าปฏิบัติไปแล้วจิตมีลักษณะ 7 ประการเป็นองค์ประกอบพร้อมอยู่ก็แปลว่าอาจเกิดมรรคผลขึ้นในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้) ทั้งนี้องค์ธรรม 7 ประการได้แก่
1. สติ คืออาการระลึกรู้ปัจจุบันขณะ ในสติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม)
2. ธัมมวิจัย คืออาการวิจัยธรรมเฉพาะหน้าที่ปรากฏแก่สติ คือเมื่อสติรู้แล้ว ก็รู้ในแบบเห็นเกิดดับ หรือเห็นว่าไม่ใช่ตัวตนในทางใดทางหนึ่ง
3. วิริยะ ความเพียรวิจัยธรรมอย่างต่อเนื่อง เช่นเมื่อเห็นลมหายใจเกิดแล้วดับ ก็ตามเห็นความเกิดดับนั้นไม่ลดละ เท่าที่จะทำได้จนสุดความสามารถ
4. ปีติ ความเบิกบานใจไม่หม่นหมอง อยู่ในจุดสมดุลไม่พยายามเกินกำลังจนเครียดกังวล และไม่มัวแต่หวังผลที่ยังมาไม่ถึงจนท้อแท้ (ไม่เพ่งไม่เผลอ)
5. ปัสสัทธิ ความไม่กวัดแกว่งกายใจ (กายสงบนิ่งไม่อึดอัดอยากเคลื่อนไหว หรือคลื่นความฟุ้งของใจหยุดตัวลง)
6. สมาธิ ความตั้งมั่นแห่งจิต เป็นผลเกิดจากความระงับกายใจ สุขสงบ รวมทั้งไม่มีอาการกำหนดเพ่งคับแคบลงที่จุดใดจุดหนึ่ง
7. อุเบกขา ความวางเฉยในจิตอันตั้งมั่นแล้ว
จากการทบทวนในการปฏิบัติธรรมของฉันในช่วง 2 เดือนแห่งความแตกต่างคือ ปีติสุข และทุกขเวทนา และช่วงที่ผ่านมาพบว่า 7 ข้อที่ยังอยู่ในขั้นอนุบาลของฉัน ผลของปีติ ประกอบกับขาดความเพียรทำให้สติในข้อ 1 และธัมมวิจัยในข้อ 2 ปัสสัทธิในข้อ 5 และสมาธิที่มีอยู่ไม่มากในข้อ 6 ลดลง ซึ่งย่อมชัดเจนอยู่แล้วว่า อุเบกขาในข้อ 7 นั้นแทบจะไม่ได้พานพบ (มีอยู่น้อยมากๆในช่วงปีติสุข และก่อนหน้านั้น
ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องเริ่มใหม่...ถากถางทางสู่มรรคผลด้วยธรรม 7 ข้อนี้รวมกับ พละกำลังที่เอาไว้เดินหน้าประจัญกับกิเลสในทางการปฏิบัติธรรมภาวนาเพื่อมรรคผล (พละ 5) ที่ต้องฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อันได้แก่
1. สัทธา ความมีศรัทธาทั้งในพระพุทธเจ้าและสติปัฏฐาน 4 (ฉันมีอยู่เต็มเปี่ยม)
2. วิริยะ ความมีใจเพียรต่อเนื่องไม่ย่อหย่อน (จุดอ่อนที่ต้องเติมเต็มเพื่อผลของข้อถัดๆ ไป)
3. สติ ความสามารถยกจิตขึ้นรู้ปัจจุบันขณะ
4. สมาธิ ความสามารถตั้งจิตให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว
5. ปัญญา ความสามารถกำหนดรู้วัตถุอันเป็นเป้าหมายโดยความเกิดดับ และไม่มีตัวตน
ขอน้อมจิตเพื่อ...
ขอบคุณกัลยาณมิตรทางธรรมทั้งหลายที่ช่วยเกื้อหนุนให้มีกำลังใจในการ ปฏิบัติธรรมต่อไป
ขอบคุณสภาวะสุข-ทุกข์ให้เรียนรู้ในธรรม
ขอบคุณคุณดังตฤณที่ก่อให้เกิดแรงบันดาลใจให้ศึกษาธรรมะเชิงลึกและทำให้เข้าใจธรรมะได้ง่ายขึ้นเหมาะกับการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
ระลึกรู้และซาบซึ้งในพระมหากรุณาอันประมาณค่ามิได้จากองค์พระศาสดา และครูบาอาจารย์ทางธรรมเช่น พระปราโมทย์ ที่ทำให้ธรรมะกระจ่างชัดมากขึ้น...
และขอบคุณทุกผู้ทุกนามที่เป็นที่มาแห่งการได้รับความสว่างทางธรรม....
ขอน้อมคารวะด้วยจิตระลึกรู้ปัจจุบันอันแสนประเสริฐ
ไวจริงๆเลยคุณน้องชาย.. ขจิต ฝอยทอง
สวัสดีครับคุณแหวว
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีค่ะ..น้องรักษ์
สวัสดียามบ่ายค่ะ..คุณ ธรรมาวุธ
Hello...โคนันคุง
แวะมาเยี่ยมคะ...ดีขึ้นหรือยังคะ
เข้ามาเยี่ยมน้องแหววและอ่านบันทึกธรรม
ตอนนี้ก็กำลังตามดูเวทนาอยู่ครับ
จู่ๆเกิดสิวในโพรงจมูกขึ้นมาตอนแก่ สงสัยหวังดีไม่อยากผุดที่ส่วนที่เห็นได้ชัด เลยหลบมาโผล่ในจมูก
เลยทำให้ปวดร้าวมาตุบๆหน่วงๆตลอดเวลา
บางครั้งขึ้นมาหว่างคิ้ว แล่นไปมากับสันจมูก ไปส่องกระจกดู เห็นสันจมูกที่เคยโด่งเป็นสันหล่ออยู่แล้ว บวมมานิดหน่อย...แต่ยังหายใจพอโล่งอยู่
เลยเอามาเป็นตัวอาศัยให้จิตจับอารมณ์ :)
ส่วนดีของการตามดูเวทนานี้ คือ จับอารมณ์ได้ง่ายและชัดเจน เพราะอารมณ์ชัดมาก จิตสามารถเกาะได้นาน
ไม่เหมือนอารมณ์สุข ที่จิตมักไหลตามอารมณ์ (โดยไม่มีจิตรู้ตัวว่าเป็นผู้ดู) กลายเป็นผู้ร่วมแสดงไป
เวทนาที่เป็นทุกข์ ส่วนใหญ่ก่อให้เกิด โทสะ เพราะเกิดอาการผลักไส ไม่ยินดี ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น(ไม่เอ๊าไม่เอา ไม่น่าเกิดแก่ฉัน)
เวทนาที่เป็นสุข ก่อให้เกิดจิตโลภะ คือความยินดีอยากได้ ติดใจในอารมณ์นั้น(ฉันอยากได้ ได้เท่าไรก็ไม่พอ เอาอีก เอาอีก)
เวทนาที่เป็นกลาง(อทุกขมสุขเวทนา) ก่อให้เกิด โมหะ คือ ความไม่รู้อารมณ์ที่จิตเสพเสวยอยู่
ครูบาอาจารย์จึง นิยมชมชอบให้ศิษย์กำหนดเจริญสติในเวทนา เพราะมีอารมณ์ชัด และก่อให้เกิดตัวรู้ คือสติและไม่เกิดโมหะจิต ข้อสำคัญต้องดูให้เป็นเท่านั้น โดยไม่เกิดโทสะ
ส่วนโพชฌงค์ 7 นั้น เป็นธรรมระดับสูง ที่เกิดขึ้นได้จากการเป็นผู้ฝึกดีแล้วพอควร
สังเกตได้จากคำขยายในองค์ต่างๆที่ลงท้ายว่า สัมโพชฌงค์
เช่น สติสัมโพชฌงค์ หมายถึงสติที่ฝึกมาดีแล้ว
จนเป็นองค์แห่งการตรัสรู้(ธรรม)
ดังนั้น ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงเยี่ยมพระภิกษุและฆราวาสที่ทนทุกข์เวทนาด้วยอาพาธโรคต่างๆ ที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ทั้งบรรลุธรรมในระดับต่างๆกัน
ท่านทรงตรัสถามไถ่ด้วยจิตเมตตาว่า
ดูก่อน ..........เวทนาของเธอเป็นประการใด เธอพอที่จะพิจารณาทุกขเวทนาที่มีอยู่อย่างไรบ้าง
ส่วนใหญ่ ผู้ป่วยก็จะบอกว่า
พระพุทธเจ้าข้า อันทุกขเวทนาของข้าพระองค์นี้ ใหญ่หลวงนัก ข้าพเจ้ามิสามารถทนทุกข์ที่มีอยู่ได้(สติและสัมปชัญญะจะพร่าลืมเลือนไป) ด้วยอำนาจของเวทนานี้กล้ายิ่งนัก
พระพุทธองค์จึงทรงประทานธรรม อันว่าด้วยการเจริญโพชฌงค์ 7 ให้แก่ผู้ป่วยอาพาธทั้งหลายฟัง
ตั้งแต่ สติสัมโพชฌงค์ นั่นคือปลุกสติให้ผู้ป่วยระลึกถึงสติ ที่ตนเคยฝึกมาดีแล้ว ให้มาพิจารณาดูเวทนาตามความเป็นจริง (นั่นคือการเจริญเวทนานุปัสสนา)
แล้วจึงเกิดธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เกิดความรู้ความเข้าใจในอาการที่ตามดูตามรู้นั้นๆ ตามความเป็นจริง ตามที่เคยฝึกมาดีแล้ว
จนครบหมวดทั้งหมด
จิตก็เกิดอาการสงบ รำงับจากอาการทุกขเวทนาที่เบียดเบียน ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย อัศจรรย์ใจยิ่งนัก จึงโจษจรรย์กันและเป็นที่ทราบกันว่า หากมีภิกษุอาพาธ ก็นิยมนิมนต์พระเถระ พระภิกษุสงฆ์หรือครูบาอาจารย์มาเทศน์ โพชฌงค์ 7 ฟังแล้วหาย เกิดปีติ สมาธิ อุเบกขา(ในทุกข์โทษของรูปนาม) ดังนี้
ดังนั้น ผู้ฟังต้องเป็นนักปฏิบัติธรรม เรียกว่าใช้ประสบการณ์ของตน มาเจริญสติ ระลึกได้ถึงแนวปฏิบัติธรรมที่ตนเองเจริญมา โพชฌงค์ 7 จึงมีคุณเกิดขึ้นได้
ผมเคยไปเยี่ยมผู้ป่วยหนัก หลายครั้ง ส่วนใหญ่ที่ลูกศิษย์ปฏิบัติธรรม
พอให้สติว่า "ให้กำหนดดูเวทนา เวทนามิใช่ของเรา ให้ดูตามอาการที่เกิดขึ้น" ผู้ป่วยที่ทุรนทุรายอยู่ ก็จะเกิดสติ ไม่ตามฤทธิ์ของเวทนา หันมาเจริญสติดูเวทนาได้
แต่ถ้าไม่ใช่ผู้ปฏิบัติมาก่อน ก็ไม่กล้าบอก..เพราะจะถูกผู้ป่วยดีดเอาได้ง่ายๆ (นี่แน่ะ! หนอยดันมาบอกว่าเวทนาไม่ใช่ของเรา ก็ตูปวดแทบชักตายอยู่ขณะนี้)
ฮ่าฮ่า ขอโทษที่ยืดยาว ขอจบลงด้วยประการฉะนี้
สวัสดีค่ะ
ได้ข่าวว่าหายป่วย ดีใจด้วยค่ะ
คุณแหววมาเยี่ยมที่บล็อกบ่อยๆ และเขียนบันทึกแลกเปลี่ยนให้สบายใจทุกทีค่ะ
ด้วยจิตใจที่มีแต่ความรู้สึกที่ดีแก่ผู้อื่นตลอดเวลา
ขอให้คุณแหววหายป่วย มีสุขภาพแข็แรงตลอดไปค่ะ
อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณ.. naree suwan
สวัสดีตอนเช้านะคะ...ท่านอาจารย์-ท่านพี่ใหญ่
สวัสดีค่ะ..คุณพี่ sasinanda
สวัสดีครับ คุณแหวว
ผมขอบพระคุณอย่างยิ่งกับการไปมาหาสู่ในบันทึกอย่างส่ำเสมอและเป็นกันเอง ขณะที่ผมช่วงนี้แทบจะไม่มีเวลามาเยี่ยมเบือนใครมากนัก ขนาดบันทึกตนเองก็แทบไม่มีเวลาได้ตอบกัลยาณมิตร
.....
วันนี้แวะมาเป็นกำลังใจต่อวิถีแห่งโลกและชีวิตที่คุณแหววกำลังก้าวเดินนะครับ..
สติ
สมาธิ
และปัญญา
ผมเข้าใจว่าเกิดขึ้นจากดวงใจอันมุ่งมั่นในการเพียรปฏิบัติและรวมถึงการหยั่งทบทวนวิถีแห่งการก้าวไปเป็นระยะ ๆ ....
ซึ่งกระบวนการนี้คุณแหววก้กำลังดำเนินการอย่างชัดเจนแล้ว
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีค่ะ..คุณ แผ่นดิน
สวัสดีค่ะ...คุณ Sirintip
อรุณสวัสดิ์ค่ะ...น้อง Little Jazz \(^o^)/
น้องซูซาน Little Jazz \(^o^)/
สวัสดีค่ะคุณน้อง-อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง
สวัสดีค่ะ..คุณ naree suwan
สวัสดีพร้อมๆกับขออภัยที่ตอบช้ามากๆ นะคะน้องรักษ์ RAK-NA
ดีใจที่ได้พบกันค่ะ..น้องชาย ขจิต ฝอยทอง
ขอบคุณค่ะคุณ HANDY
เมื่อเจริญในธรรมมากขึ้น ความเจ็บป่วยกายและใจก็ลดน้อยลงค่ะ..