ตามเนียมเก่าแก่จริงของบุญข้าวปุ้นนั้น ชาวบ้านจะต้องลงแรงลงใจกันตั้งแต่แช่ข้าว ตำข้าว นวดแป้ง บีบข้าวปุ้น ทำน้ำยา แบบสามัคคีกันทั้งวันจริง ๆ แรงงานจะเป็นหนุ่มสาว คนแก่จะรอชมและรอชิม พร้อมทั้งร่ายกลอนลำและสรภัญสอนลูกหลาน
๓๑ สิงหาคม -
ผมนั่งเคลียร์แฟ้มงานอยู่สำนักงานจวนเจียนจะล่วงเข้า ๒ ทุ่ม พลันได้ยินเสียงโทรศัพท์จากน้องชมรมอาสาพัฒนาเชิญชวนให้ไปร่วมงาน “บุญข้าวปุ้น” (งานข้าวปุ้นบุญอาสา) ที่มีขึ้น ณ อาคารพลศึกษา
อันที่จริงก่อนหน้านี้นิสิตก็มาเรียนเชิญแล้วครั้งหนึ่ง และผมก็ตั้งใจที่จะไปร่วมเป็นเกียรติให้กับพวกเขา หากแต่ยังไม่สามารถถีบตัวลุกออกจากเก้าอี้ได้เสียที ยังผลให้น้องนิสิตต้องกดโทรศัพท์ประสานย้ำมาอีกครั้งในทำนองว่า "มาแท่แม้ ..อีโดน บ่ ?"
ผมและทีมงานที่ประกอบด้วยคนในครอบครัว พร้อมเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่ท่านจึงสัญจรออกไปร่วมงานนั้นตามคำชวนเชิญ
กิจกรรม “งานข้าวปุ้นบุญอาสา” (แต่ส่วนตัวผมเรียกติดปากว่า “บุญข้าวปุ้น”) ของชมรมอาสาพัฒนา ถือเป็นกิจกรรมประเพณีที่จัดขึ้นในทุกปีการศึกษา ซึ่งเป็นเสมือนกิจกรรมการรับน้องใหม่ของชาวอาสาพัฒนา ซึ่งนิยมจัดขึ้นหลังวันเปิดโลกกิจกรรมได้สิ้นสุดลง และที่สำคัญคือ เป็นวัฒนธรรมนิยมที่ต้องจัดขึ้นในเย็นวันก่อนการเดินทางไป “เยี่ยมค่าย…”
ผมไม่ใคร่แน่ใจนักว่า “บุญข้าวปุ้น” เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยใด แต่ที่แน่ชัดก็คือ กิจกรรมนี้จะจัดขึ้นเพื่อรับขวัญน้องใหม่ โดยมี “ข้าวปุ้น” หรือ “ขนมจีน” เป็นอาหารหลักที่นำมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันและกัน
และนอกจากนี้แล้ว บุญข้าวปุ้นยังเป็นกิจกรรมที่เรียบง่าย ไม่มีรูปแบบซับซ้อน ตกแต่งเวทีอย่างธรรมดาสามัญ ที่เห็นได้ชัดในทุกปีก็คือการนำแผ่นป้ายประชาสัมพันธ์โครงการเยี่ยมค่ายที่จะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้นมาเป็นฉากเวที, ภายในงานนำเชือกมาร้อยเป็นอาณาบริเวณ ประดับด้วยลูกโป่งหลากสีและภาพถ่ายกิจกรรมร้อยเรียงอยู่ตามเส้นเชือกเหล่านั้น ..
ขณะที่บางส่วนก็มีอัลบั้มภาพกิจกรรมเก่า ๆ มาวางไว้ให้น้องใหม่ หรือผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมชื่นชมกับสายธารกิจกรรมของชาวอาสาพัฒนา
บริบทวัฒนธรรมการกินข้าวปุ้นในงานนี้ก็จะปูเสื่อ (สาด) นั่งล้อมวงรับประทานอย่างเป็นกันเอง บางปีมีประมวลภาพกิจกรรมมาฉายให้ดู สลับกับการให้โอวาทจากอาจารย์ที่ปรึกษาชมรม รวมถึงการให้คำแนะนำจากรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว
และท้ายที่สุดก็จะเป็นการบอกกล่าวเล่าความถึงโปรแกรมและรายละเอียดของการเดินทางไปเยี่ยมค่ายที่จะมีขึ้นในรุ่งเช้า ซึ่งปีนี้ต้องกลับไปยังโรงเรียนบ้านคำบอน อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร โดยขั้นตอนนี้ก็เป็นเสมือนการปฐมนิเทศการออกเยี่ยมค่ายนั่นเอง !
ในความเรียบง่ายของกิจกรรมนี้ ผมเองก็พยายามเฝ้ามองว่าความเรียบง่ายที่ว่านั้น แท้ที่จริงคือความเรียบง่ายของการสร้างสรรค์รูปแบบและวิธีการของการจัดกิจกรรม หรือเป็นความเรียบง่ายที่เกิดจากมายาคติที่อยากให้ “ง่าย ๆ” แบบ “หลวม ๆ” … ซึ่งหมายถึงการไม่ตกผลึกทางความคิดเท่าที่ควร นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังเฝ้ามองและสังเคราะห์อยู่อย่างต่อเนื่อง
ระยะหลังผมได้รับเชิญมางานบุญข้าวปุ้นอย่างสม่ำเสมอ และทุกครั้งที่มาเยือนก็ต้องพูดอะไรกับน้องนิสิตด้วยเช่นกัน และปีนี้ผมก็สะท้อนความรู้สึกอันเป็นมุมมองส่วนตัวไปสู่นิสิตอยู่หลายประการ อาทิ
๑. งานค่าย ไม่ได้หมายความว่าต้องไปทำเป็น “ค่ายสร้าง” เสมอไป
๒. งานค่าย ไม่จำเป็นต้องใช้เวลายาวนานเป็นสิบ ๆ วัน แต่ต้องบูรณาการให้เหมาะสมกับรูปแบบและเงื่อนไขด้านการเรียน หรือแม้แต่ชุมชน
๓. งานค่าย ไม่จำเป็นต้องรอจัดขึ้นแต่เฉพาะช่วงปิดเทอมเท่านั้น หากแต่สามารถปรับมาจัดกิจกรรมในวันหยุดแต่ละสัปดาห์ได้ โดยปรับรูปลักษณ์กิจกรรมให้เหมาะสมกับพื้นที่และเวลา บนพื้นฐานของความต้องการของชุมชน <
๔. งานค่าย มีองค์ประกอบสำคัญ คือ “อาสา” และ “พัฒนา” คำสองคำนี้นิสิตต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ในทางความหมาย
๕. งานค่าย ควรสอดรับกับวิถีชุมชนและสถานการณ์อันเป็น ปัจจุบันของสังคม ไม่ใช่ตอบสนองกิเลสการอยากทำของนิสิตแต่เพียงฝ่ายเดียว ฯลฯ
และสุดท้าย, ผมก็กล่าวชื่นชมให้กำลังใจแก่ชาวอาสาพัฒนาว่า งานบุญข้าวปุ้นทุกปีมักจะมีรุ่นพี่เก่า ๆ มาร่วมด้วยอย่างไม่ขาดหาย และนั่นคือโอกาสอันดีของการใช้งานนี้เป็นเวทีทางความคิดถ่ายทอดประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น
สำหรับผมแล้ว, บุญข้าวปุ้นถึงแม้จะเป็นงานที่เรียบง่าย สมถะ แต่ก็มีคุณค่าในทางวัฒนธรรมองค์กรเสมอมา ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมาเพื่อ “กิน” .. หรือมาเพื่อ “รับรู้” สิ่งใด …หลายคนที่อยู่ในงานบุญข้าวปุ้นอาจไม่ได้ร่วมเดินทางไปเยี่ยมค่ายในเช้าวันรุ่งขึ้น หลายคนที่ไม่ได้มาร่วมงานบุญข้าวปุ้นอาจเป็นส่วนหนึ่งที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในบริบทของการเยี่ยมค่าย
แน่นอนครับ , ผมเป็นกำลังใจให้กับพวกเขาทุกคนอย่างไม่เปลี่ยนแปลง !
สวัสดีครับคุณ แผ่นดิน
ขอให้อิ่มเอมและมีความสุขกับกิจกรรมดีๆนะครับ
สำหรับผมแล้ว, บุญข้าวปุ้นถึงแม้จะเป็นงานที่เรียบง่าย สมถะ แต่ก็มีคุณค่าในทางวัฒนธรรมองค์กรเสมอมา ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมาเพื่อ “กิน” .. หรือมาเพื่อ “รับรู้” สิ่งใด ...
ใช่ครับ จุดประสงค์ของงานมีอยู่ เพียงแต่ใครจะสามารถรับรู้ นำเอาแก่นสารส่วนที่ดีๆ ไปใช้เท่านั้น
การกินเป็นเปลือกนอก
ชอบคนตัวเล็กๆที่หัวโล้นๆครับ
ท่าทางอร่อยและสนุกจริงๆ
สวัสดีคะอาจารย์แผ่นดิน ชื่นชมทุกครั้งที่เข้าอ่านบันทึกของกิจกรรมนิสิตฯ ไม่ได้ฝากอะไรไว้แต่มาอ่านและชื่นชมนะค่ะ รักษาสุขภาพดีๆนะค่ะ
ป้าหมูฝากความรักความคิดถึงถึงคนของความรักด้วยคะ
บทสนทนาของแผ่นดิน (ตัวจริง)&แดนไท ขณะกิน วุ้นโดเรมอน
แผ่นดิน : แดนอย่ากินคักกินแหน่หลาย
แดนไท : โดเรมอนมันตายแล้ว เดี๋ยวสวดมนต์ให้ กินหลายปานได๋กะได้
คนฟัง : สุ้ดหยอดดดดด
สวัสดีครับ อ.ขจิต
เขียนเรื่องค่ายครั้งใด แน่นอนเลยว่า อ.ขจิตจะต้องมาปรากฏการณ์จับจองพื้นที่เป็นอันดับต้น ๆ
และเห็นบ่นถี่ครั้งแล้วนะว่าอยากกลับไปเป็นนักศึกษา ..
บุญข้าวปุ้นของชาวอาสา... ไม่ถึงกับสนุก แต่ก็อิ่มหนำสำราญกันถ้วนหน้า และเป็นโอกาสอันดีที่น้องได้พบเจอกับรุ่นี่รุ่นต่าง ๆ งานปีนี่, ประธานคนแรกก็มาร่วมงานด้วย
....
มีความสุขมาก ๆ นะครับ
สวัสดีค่ะ...คุณพนัส
คิดถึง น่ากอด และน่าชัง ก็เจ้าตัวเล็กที่อ้าปากหว๋อสองภาพข้างบนครับ :)
พี่แผ่นดิน
สวัสดีค่ะ อาจารย์พนัส
ตามเนียมเก่าแก่จริงของบุญข้าวปุ้นนั้น ชาวบ้านจะต้องลงแรงลงใจกันตั้งแต่แช่ข้าว ตำข้าว นวดแป้ง บีบข้าวปุ้น ทำน้ำยา แบบสามัคคีกันทั้งวันจริง ๆ แรงงานจะเป็นหนุ่มสาว คนแก่จะรอชมและรอชิม พร้อมทั้งร่ายกลอนลำและสรภัญสอนลูกหลาน
แต่ปัจจุบันหาแทบไม่มีแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นแบบจำลองซะมากกว่า เลยไม่ค่อยซึ้ง ถ้าทำได้อย่างในอดีตก็คงดีค่ะ
สวัสดีค่ะ
เพิ่งทราบเรื่องงานข้าวปุ้นที่นี่ค่ะ แต่เจ้าตัวเล็กน่ารักๆค่ะ
สวัสดีครับ พี่สมนึก
เคยไปทางภาคอีสาน ข้าวปุ้น ไม่เหมือน ขนมเส้น ทางภาคเหนือ ลักษณะเส้นแตกต่างกันเล็กน้อย
แต่ก็รสชาดดี ว่าง ๆ ไปทางเหนือ ลองชิมขนมเส้นน้ำเงี้ยว ดูซิครับ
รสชาดเหมือนกันไหมหนอ
ทางเหนือ เปรียบไว้ว่า ขนมเส้นเหมือนสายใยผูกพัน ที่จะทำให้มีความรักใคร่กลมเกลียวกัน ไม่ว่าในเรื่องอะไรก็ตาม ดังนั้น งานมงคล จึงมักจะเลี้ยงขนมเส้น น้ำเงี้ยวเป็นประจำ
ทางภาคอีสาน เป็นอย่างนี้หรือเปล่าครับ อาจารย์
รักษาสุขภาพ
สุข สงบ เย็น
rainalone
สวัสดีครับ
ข้าวปุ้น และขนมจีน เป็นสิ่งเดียวกัน ...
ที่จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อถึงบุญเดือนสี่ (บุญผะเหวด) ขนมจีนก็กลายเป็นวัฒนธรรมอันสำคัญของงานบุญใน "ฮีต" นี้ ครับ !
สวัสดีครับ ป้าแดง
ผมมีความทรงจำที่ดีงามและแน่นเหนียวกับขนมจีนมาอย่างยาวนาน นั่นคือ บุญเดือนสี่ หรือบุญผะเหวด ซึ่งมีขนมจีนเป็นอาหารวัฒนธรรมที่เด่นชัด
สมัยก่อนในหมู่บ้านเลิกทำขนมจีนเอง ชาวบ้านจึงต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 เพื่อเข้าไปในเมืองจัดซื้อขนมจีนมาไว้ในแต่ละครัวเรือน
และตลอดบุญผะเหวด ผมก็อิ่มหนำสำราญกับการทานขนมจีนที่โรยด้วยผักนานาชนิด ... อร่อยมากครับ
สวัสดีครับ ลุงวอ
จริงดังที่ลุงวอกล่าวไว้นั่นแหละครับ การกินเป็นเปลือกนอก
และผมก็เชื่อว่า วัฒนธรรมนี้จะคงอยู่อีกยาวนาน...
ล่าสุดเมื่อวานถามน้องชมรมอาสาพัฒนาทราบว่ามีคนไปร่วมเยี่ยมค่ายมากถึง 90 กว่าคน ...
ผมปลื้มใจร่วมกับพวกเขา ...
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ
สำหรับเจ้าจุกของผมนั้น...
การันตีได้เลยครับ เรื่องกินเรื่องใหญ่มาก ...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ พี่หมู
สวัสดีครับ พี่องุ่น (คนสวย)
"น้องแดน บ่ ยอมขึ้นมาเรียนพิเศษ มีแต่เล่นกับหมู่ ดินเลยต้องนำไปตามอยู่ทุกเทือ..."
นั่นแหละครับ คือ สาเหตุที่พี่ชายเรียนไม่ทันเพื่อน เพราะมัวแต่ไปตามน้องชายมาเข้าชั้นเรียน ส่วนผู้น้องก็ไม่สนใจ "เอาแต่จะเล่นสถานเดียว...."
สวัสดีครับ คุณแหวว
สวัสดีครับ คุณเอก
ถ้าเป็นไปได้ .. งานเฮฮาศาสตร์ที่จะถึงนี้ จะพกพาเจ้าตัวเล็กไปให้กอดนะครับ ส่วนจะกอดได้หรือไม่ อันนี้คุณเอก หรือลุงเอกของพวกเขา ต้องงัดกลยุทธ์ขึ้นมาเองก็แล้วกัน .. !
แล้วเจอกัน ครับ
สวัสดีครับ คุณออต
สวัสดีครับ
ตามเนียมเก่าแก่จริงของบุญข้าวปุ้นนั้น ชาวบ้านจะต้องลงแรงลงใจกันตั้งแต่แช่ข้าว ตำข้าว นวดแป้ง บีบข้าวปุ้น ทำน้ำยา แบบสามัคคีกันทั้งวันจริง ๆ แรงงานจะเป็นหนุ่มสาว คนแก่จะรอชมและรอชิม พร้อมทั้งร่ายกลอนลำและสรภัญสอนลูกหลาน
.....
ผมชอบคำบอกเล่าข้างต้นมาก เพราะสะท้อนภาพวัฒนธรรมในแบบวิถีไทได้อย่างชัดเจน เห็นความสัมพันธ์ของคนในชุมชนในบรรยากาศและบริบทของ "งานบุญ" ที่หลากหลายด้วยคนหลายวันซึ่งก้าวมาอยู่ในวัฒนธรรมเดียวกัน
เราต่างโหยหาอดีตกันทั้งนั้น และนั่นอาจกำลังบอกกับเราว่า ความสุขบางอย่างหล่นหายไปจากชีวิตและสังคม กระนั้น, เราเองก็ไม่สามารถทานทัดต่อห้วงแห่งการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยได้เลย เพียงแต่ทำอย่างไรเล่าเราถึงจะรับรู้และมีความทรงจำที่แจ่มชัดในเรื่องเก่า ๆ
การมีความทรงจำที่แจ่มชัดในเรื่องเก่า ๆ ไม่ได้หมายความว่าเราต้องจมปลักอยู่กับมันจนไม่สามารถอยู่กับ "ปัจจุบัน" ได้ หากแต่หมายถึงการรับรู้ตัวตน - รากเหง้า หรือแม้แต่สายธารแห่งวัฒนธรรมของเราเอง
ผมเชื่อเช่นนั้นนะครับ
และขอบพระคุณที่นำพาวิถีเก่า ๆ มาสะกิดเตือนให้หวนรำลึกอย่างมีความสุข
.....
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ น้องสายลม
สวัสดีครับ พี่ศศินันท์
ตกลงเป็นที่ทราบร่วมกันแล้วนะครับว่า ข้าวปุ้น - กับขนมจีนเป็นชนิดเดียวกัน
ส่วนเจ้าจุกวันนั้น .. ทานขนมจีนกับน้ำปลาไปหลายจานเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้ว ลูกชายทั้งสองคนก็ชอบทานขนมจีนกับน้ำปลามาก ... อยู่บ้านปู่กับย่าก็ทานเช่นนี้มาตลอด
คืนนั้นทานเสร็จก็งอแงให้พี่นิสิตพาไปดู "หนังกลางแปลง" ในมหาวิทยาลัย ทำเอาใครต่อใครหัวปั่นไปตาม ๆ กัน
...
ขอบพระคุณครับ