ความเห็นและความรู้สึกของผู้เข้าร่วมกระบวนการสุนทรียสนทนารุ่น3-4
1. ความรู้สึก ความรู้ที่มีต่อสุนทรียสนทนา ในขณะที่ยังไม่ได้รับการอบรม
ตอนยังไม่ได้เข้ารับการอบรม ก็พอจะมีความรู้บ้างเล็กน้อย เพราะว่าจากการได้อ่านบอร์ดความรู้ที่ทางทีมประสานงานคุณภาพโรงพยาบาล(Fa) ได้จัดไว้
คำว่า Dialouge“สุนทรียสนทนา” คือ กระแสธารของความหมายที่ไหลเลื่อนเคลื่อนที่ ถ่ายเทไปหากัน โดยปราศจากการปิดกั้นของสิ่งสมมุติที่มนุษย์สร้างขึ้น ฐานคติทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ที่สร้างสรรค์ “กาว/ซีเมนต์” เชื่อมโยงคนและสังคมเข้าด้วยกัน
อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทีม Fa อยากจะให้ทุกคนศึกษาเรียนรู้ร่วมกัน มีส่วนในการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล ทุกคนก็จะรู้และทราบความหมายของคำว่าสุนทรียสนทนา รู้และทราบอย่างเดียวถ้าไม่นำมาปรับเปลี่ยนปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อองค์กร ก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไร จริงไหมคะ......
2. ความรู้สึกในขณะที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับการอบรม
สำหรับตัวเองรู้สึกดีใจมาก เพราะเท่าที่ทราบมา ทางทีมFa ได้จัดอบรมให้กับแกนนำระดับหน่วยงานไปแล้ว ที่สวนดอยรีสอร์ท(ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือเปล่า) พอได้รับการคัดเลือกก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสของตนเองแล้ว ที่จะได้รับความรู้ ในเรื่องของสุนทรียสนทนา
อยากจะรู้เหมือนกันว่าสุนทรียสนทนาที่วิทยากรนำมาให้ความรู้กับเราจะเป็นรูปแบบไหน ทำยังไงบ้าง และต้องมีประโยชน์สำหรับเราแน่ ๆ เลย ถ้าไม่มีประโยชน์ทางทีมFa คงจะไม่สรรค์หาสิ่งนี้มาให้กับเราหรอก (ฮิฮิ จริงหรือเปล่า) พอทราบว่าจะได้เข้ารับการอบรม ก็เลยอยากทราบว่าสุนทรียสนทนาทำไมจะต้องอบรมกันเรื่องนี้ ด้วย
ก็เลยเข้าไปอ่านเกี่ยวกับสุนทรียสนทนา ที่ทางทีมFa ได้นำมาลงไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ในห้องทำงาน ได้ไปอ่าน Bohmaian Dialoge “สุนทรียสนทนา เพื่อการคิดร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติ” ของโสฬส ศิริไสย์ สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา และคอลัมน์จับจิต ด้วยใจ โดยนายแพทย์วิธาน ฐานะวุฑฒ์ หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ เชียงราย
เกิดความรู้สึกว่าการอบรมครั้งนี้เราจะต้องเก็บเกี่ยวทุกอย่างที่ได้รับได้เรียนรู้มาให้ได้มากที่สุด เพื่อจะได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป
3. หัวข้อ รายละเอียดที่วิทยากรให้ทำ อบรม ในแต่ละวัน รวมทั้งความคิดความรู้สึก ขณะที่รับการสุนทรียสนทนา
วันแรก ได้รู้จักกับวิทยากรที่ได้มาให้ความรู้ เริ่มการทักทายก็รู้สึกอบอุ่น เริ่มแรกทางวิทยากรให้นั่งสมาธิ ประมาณ 5 นาที รู้สึกปล่อยวางกับทุกอย่าง จิตใจสงบนิ่ง
จากนั้นก็มาแลกเปลี่ยนความคิดซึ่งกันและกันโดยให้แต่ละคนแสดงความคิดหรือความรู้สึกกับคำว่าสุนทรียสนทนา โดยให้พูดทุกคน แต่ละคนก็แสดงความคิดเห็นแตกต่างกันไป
พูดคุยกันไปหัวเราะกันไปมีความสุขมากๆ เลย และให้จับคู่ 2 คน ให้คนหนึ่งฟังอีกคนหนึ่งเป็นคนพูด ในเรื่องของเราตอนวัยเด็ก ประมาณ 20 นาที โดยผู้ฟังไม่ให้โต้แย้ง หรือออกความคิดเห็นใด ๆ อาจมีส่วนร่วมเล็กน้อยได้ และผลัดกันให้คนที่ฟังเป็นคนพูด ให้คนที่พูดเป็นคนฟัง ประมาณ 20 นาที
ทำให้เรารับรู้ถึงวัยเด็กของกันและกัน และรู้สึกว่าเราเมื่อเราเป็นผู้พูด เราก็จะนึกถึงวัยเด็กของเรานึกถึงภาพเก่า ๆ ว่าเราทำอะไรบ้าง และใครบ้างที่ดูแลเรา และลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อที่จะสื่อหรือบอกเล่าให้ผู้ที่ฟังเราได้เห็นภาพ หรือคล้อยตามเรา ไม่โต้แย้ง
อาจสอบถามกันบ้างเล็กน้อย และผู้ที่ฟังเราเขาก็ฟังที่เราบอกเล่าอย่างตั้งใจอาจมีคำถามสอดแทรกมาบ้าง เราก็จะตอบเขาไปตามที่เรานึกถึงเมื่อวัยเด็ก พอเราเป็นผู้ฟัง เราก็จะฟังในเรื่องราวของเขา อย่างตั้งใจซักถามเล็กน้อย การจับคู่ 2 คนทำให้เรารู้สึกว่า พอเราทราบเรื่องราวของกันและกัน ก็จะให้กำลังใจกัน และพูดในสิ่งที่ทำให้แต่ละคนเกิดความสุข
.....บางคนอาจจะมีความทุกข์อยู่ในใจพอได้บอกเล่าหรือรับฟังพูดคุยกัน ก็ทำให้คนคนนั้นมีความสุขไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่ท้อแท้ มีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไปจากนั้นเพิ่มเป็นกลุ่มละ 4 คน เปลี่ยนกันเล่าเรื่องราวในวัยเด็กให้กันฟังพอเพิ่มเป็น 4 คนรู้สึกว่า การพูดคุยก็ใช้เวลามากขึ้นและได้รับฟังเรื่องราวต่าง ๆ มากมายของแต่ละคนมากยิ่งขึ้น จากรู้กันแค่ 2 คนก็จะรู้เรื่องราว 4 คน
การเล่าเรื่องราวต่าง ๆ พอคนที่หนึ่งพูด 3 คน ก็จะต้องเป็นคนฟัง และก็มีคำถามสอดแทรกเล็กน้อย แต่ส่วนมากจะฟังกันมากกว่า และก็สลับกันพูดสลับกันฟัง โดยแต่ละคนก็ยิ้มแย้ม หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน สำหรับตัวเองก็จะนึกถึงว่าถ้าเวลาทุกคนทำงานยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะ มีความสุขกันทุกคน
อย่างวันนี้ ก็คงจะดี จากนั้นก็จะให้ทุกคนในกลุ่มวาดภาพลงในกระดาษของแต่ละกลุ่ม โดยให้ภาพสื่อถึงตอนเรายังอยู่ในวัยเด็ก วาดภาพก็ไม่ค่อยเก่ง ก็เลยวาดเป็นรูปเด็กไว้ผมเปีย และก็เสริมด้วยถนนทางไปโรงเรียนอีกนิดหนึ่ง เพราะทุก ๆ เช้าคุณแม่จะเดินไปส่งที่โรงเรียน และตอนเย็นก็จะไปรับ
บางครั้งก็เดินกลับกับเพื่อน ๆ แวะเล่นกันบ้างก็สนุกสนานดี ทำให้ได้แนวคิดว่าจากกิจกรรมอันนี้ วิทยากรสื่อถึง การเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี ขณะที่เราพูด คนฟังก็จะตั้งใจฟัง พอ เขาพูดเราก็ต้องตั้งใจฟัง แต่ถ้ามีจำนวนคนมากเท่าไร การพูดและการฟังจะไม่ฟังกันมากนัก
กิจกรรมอันนี้ มีประโยชน์มากพอมีการอบรมหรือประชุม ทุกคนที่ผ่านการร่วมกิจกรรมอันนี้ก็จะคิดได้ว่าเวลาฟังก็ต้องตั้งใจฟังอย่างดี ไม่พูดคุยกัน ทำความเข้าใจไปด้วย จดจำในสิ่งที่ได้รับรู้หรือเรียนรู้อย่างตั้งใจ
และหากมีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจก็รอจังหวะให้เขาพูดจบก่อนแล้วเราค่อยสอบถาม ไม่พูดมาก พูดในสิ่งที่สร้างสรรค์ ไม่พูดแต่เพียงฝ่ายเดียว ต้องให้คนอื่นเขาพูดคุยบ้าง แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้การพูดหรือการสนทนาเป็นไปได้อย่างราบรื่น
พักรับประทานอาหารเสร็จก็มาทำ Bodyscan ให้ทุกคนนอนลงและวิทยากรก็จะอ่านบทความและเปิดเพลงเบา ๆ ทำให้เราเคลิบเคลิ้ม จิตใจล่องลอยนึกถึงสิ่งต่าง ๆ ปล่อยวางปลอดโป่ง เพลงบรรเลงเพราะมาก ๆ เลย และก็สอดแทรกด้วยเสียงกรน เป็นระยะ ๆ บางคนก็คงจะฝันหวานไปถึงไหนก็ไม่รู้
บางคนก็คงแอบหัวเราะคนที่กรนอยู่ สำหรับตัวเอง ไม่ได้นอนหลับหรอก แต่คิดถึงตอนอยู่กลางทุ่งนากับครอบครับ 4 คน พ่อ แม่ ลูก กระสอบคนละใบ เก็บขี้วัวขี้ควายแห้ง เพื่อจะเอามาทำปุ๋ยหมัก แข่งขันกันว่าใครเก็บได้มากกว่ากัน ตอนนั้นมีลมพัดมา อากาศเย็นสบายเหมือนกับเราล่องลอยไปกับเสียงเพลงเลย
เป็นความสุขอีกแบบหนึ่งที่เราได้อยู่กับครอบครัว ทำประมาณ 30 นาที จากนั้นวิทยากรก็จะพูดถึงผู้นำ 4 ทิศ มีกระทิง นกอินทรีย์หนู หมี และก็ทุกคนช่วยกันสรุปออกมาว่า ผู้นำแต่ละทิศมีลักษณะอย่างไรบ้าง จากนั้นก็ให้แต่ละคนเลือกว่าตนเองเหมาะกับผู้นำอย่างไหน และวิทยากรก็อ่านให้ฟังว่าลักษณะผู้นำแต่ละอย่างเป็นอย่างไรบ้าง
ตัวเองได้เลือกเข้าทิศหมี เพราะคิดว่าเหมาะสมกับตัวเอง บางข้ออาจจะไม่ใช่ตัวเราแต่ก็ส่วนมากจะเป็นลักษณะของเรา ก็เลยเลือกหมี เอาแต่งาน สร้างอาณาเขตเป็นของตนเอง ไม่เน้นคน เชื่องช้าเป็นบางครั้ง
วันที่สอง
กิจกรรมคุณคือใคร ใครคือคุณ ให้จับคู่ 2 คน ให้คนฟังนอนฟังและให้คนพูดนั่งพูดเริ่มตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันก็เล่าให้ซึ่งกันและกันฟัง และก็สลับให้คนพูดเป็นคนฟังให้คนฟังเป็นคนพูดการทำกิจกรรมนี้ เราสามารถถ่ายทอดให้กับคู่ของเราว่าเราเป็นใคร ทำอะไรบ้าง เล่าเรื่องราวต่าง ๆ นานา
พักรับประทานอาหารเสร็จก็มาทำ Bodyscan ให้ทุกคนนอนลงเหมือนวันแรกวิทยากรก็จะอ่านบทความและเปิดเพลงเบา ๆ วันนี้มีเสียงกรนสอดแทรกเหมือนกับวันแรก
เป็นบรรยากาศที่ดีมากเหมือนกับเราอยู่ที่ที่หนึ่ง ที่ทำให้เราล่องลอยไป วันนี้นึกถึงตอนเด็กๆ พากันไปเล่นน้ำลำน้ำแม่ปิง แม่ไปซักผ้าและก็พาเรากับพี่ ๆ ไปด้วย ไปว่ายน้ำเล่นกันเอาผ้าถุงแม่มาทำเป็นถุงลมและก็ลอยไปตามน้ำ มีคนไปซักผ้าและเล่นน้ำกันเยอะแยะเลย นึกถึงแล้วก็อยากจะกลับไปเล่นอีกสนุกสนานมาก
จากนั้นให้ทุกคนจับกลุ่มโดยให้มีทุกผู้นำ กระทิง นกอินทรีย์ หนู หมีมาอยู่ ด้วยกัน วิทยากรแจกกระดาษและก็ให้พับเป็น 4 ช่อง
ด้านบนช่องที่สอง ให้เขียนว่าคนใกล้ชิดเราที่ทำให้เราจิ๊ดและหงุดหงิดเป็นประจำ ช่องแรกด้านบนให้เขียนว่าเพราะอะไรเขาถึงเป็นอย่างที่เราเขียนโดยเขียนมองเขาในด้านดี
ด้านล่างช่องแรก ให้เขียนว่าส่วนของเราในด้านดีโดยอิงจากที่เราเขียนให้คนใกล้ชิดที่ทำให้เราจิ๊ดหรือหงุดหงิดเป็นประจำ ด้านล่างช่องสอง ให้เขียนมองว่าส่วนของเรา ที่ไม่ดีโดยอิงช่องแรกว่าเป็นอย่างไร
จากกิจกรรมนี้วิทยากรอยากจะให้เราได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ เราอย่าด่วนตัดสิน หรือไม่ตัดสินว่าเขาเป็นคนไม่ดี เรื่องมาก ไม่ยอมรับฟังคนอื่น ต่าง ๆ นานา เราก็ต้องมองตัวเราเองว่าเราดีไปเสียทุกอย่างหรือไม่
คนเราไม่มีใครที่จะดีหรือสมบูรณ์แบบ ไปทุกอย่าง ก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้างเราก็ต้องมองหรือมีความคิดในเรื่องดี ๆ รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดว่าการสนทนาพูดคุยกันเป็นการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างดีที่สุด
และการสนทนานั้นจะต้องสร้างสรรค์ ยอมรับและแก้ปัญหาร่วมกัน มีเหตุมีผล ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แล้วทุกอย่างก็จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี วิทยากรก็จะพูดให้เราฟังว่าระดับแต่ละระดับเป็นอย่างไรบ้าง
สุดท้ายก็ให้ทุกคนเขียนลงในกระดาษว่าโลกใบใหม่ของฉันเป็นยังไงบ้าง ต้องการอะไรให้ทุกคนบรรยายลงในกระดาษ ก็อยากให้ทุกคนมีความรัก ความเข้าใจ ซึ่งกันและกันในองค์กรไม่แบ่งแยก มีเหตุมีผล รับฟังเหตุผลที่เขาพูดมา ไม่ตัดสินใจด้วยอารมณ์ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นก็ต้องช่วยกันแก้ไข ไม่โทษว่าเป็นของคนใดคนหนึ่ง ร่วมมือกันในทุก ๆ ด้าน
ถ้าทุกคนเข้าใจซึ่งกันและกัน เมื่อเกิดปัญหามากน้อยแค่ไหนก็จะต้องแก้ไขได้ (จริงไหมคะ คุณฟา)
4. ความคิด ความรู้สึกหลังอบรม ประโยชน์ มุมมองต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป
5. ข้อเสนอแนะดี ๆ ที่อยากให้เกิดขึ้นในองค์กรแห่งความสุข
อยากให้จัดอบรมแบบนี้อีก ให้ได้อยู่ร่วมกันทั้งกลางวันกลางคืนเลย เพื่อเป็นการกระตุ้นเตื่อนให้เราได้รับรู้รู้สึกตลอดเวลา ว่าเราควรจะทำอย่างไร คิดอย่างไร ให้เรามีความกระตือร้นร้นในการทำงานและงานพัฒนาคุณภาพควบคู่กันไป อย่างมีความสุข คนมีความสุข คนมีกำลังใจมีความคิดสร้างสรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็จะเป็นไปในทางที่ดี
ถึงแม้ว่า สุดแสนจะลำบากมากเพียงใดเราก็ต้องฝ่าฟันร่วมกันให้จงได้ มาถึงขั้นนี้แล้ว ลงเรือลำเดียวกันแล้ว สู้ต่อไปนะคะ ต้องขอขอบพระคุณทางทีมประสานงานคุณภาพโรงพยาบาลปาย ที่สรรหาสิ่งดี ๆ มาให้กับเราและจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
พี่เกษริน สุขแก้ว งานการเงิน
ขอบคุณมากครับที่นำมาแบ่งปัน