สวัสดียามดึกที่เมืองไทยจ๊ะน้องเม้ง ณ เยอรมัน
ขอบคุณครับ
สวัสดียามเย็นครับพี่สะมะนึกะ
สวัสดีน้องเม้ง
สวัสดีครับพี่บางทราย
คุณค่าของการศึกษา อยู่ที่การเปลี่ยนความรู้ไปเป็นการกระทำที่ดี+มีประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่นได้ครับ หากรู้แล้วไม่ได้ทำ การมีที่ผู้รู้ผู้นี้อยู่หรือไม่ ก็ไม่ต่างกันเลยครับ
หลักสูตรการศึกษามาตรฐาน มุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้พื้นฐานเพื่อดำรงชีวิตอยู่ให้ได้ แต่ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นการตอบคำถาม what (เพื่อสอบ เพื่อให้ผ่านหลักสูตร) ไม่ค่อยมีใครก้าวไปที่ how (how ทดลอง = what + action) ยิ่งกว่านั้น การข้ามไปสู่ why ยิ่งน้อยลงไปใหญ่ why เป็นเรื่องของการวิจัย เป็นการสร้างความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และสร้างองค์ความรู้ใหม่
เป็นเรื่องพิลึกเช่นกันที่จะบอกให้ "เด็ก" ที่ยังไม่มีเป้าหมายในชีวิตมาทำวิจัย แต่ว่า inquisitive minds ควรบ่มมาตั้งแต่เด็ก
หากเป็นการเรียนรู้ที่ได้ผล เวลาเรียนควรเข้าใจมากกว่าผู้สอน เวลาอ่านควรเข้าใจมากกว่าผู้เขียน เป็นเรื่องพิสดารมากที่เวลาอ่านหนังสือแล้วเชื่อตามผู้เขียนทั้งดุ้น ทั้งๆ ที่ผู้เขียนไม่ได้รู้จักเราเลย ไม่ได้เข้าใจสภาวะแวดล้อม/ข้อจำกัดของเราเลย
เวลาอ่านหนังสือ เราสามารถอ่านแล้วค้นหาประเด็นที่ดีในสิ่งที่ผู้เขียนพยายามจะสื่อ แล้วนำมาปรับให้เข้ากับสภาวะแวดล้อม/ข้อจำกัดของเราได้ นั่นแหละคือที่ผมหมายความว่ารู้มากกว่าผู้เขียน เป็นความรู้ที่เกิดความความเข้าใจในสิ่งใหม่+สิ่งที่เป็นอยู่ จนนำไปสู่การกระทำที่เกิดประโยชน์ได้
เราควรจะเลิกเรียนเหมือนฟังนิทานเสียทีครับ นอกจากความรู้คู่คุณธรรมแล้ว ความรู้ควรจะคู่กับการกระทำด้วย คุณธรรมกำกับการกระทำ แต่ถ้าคุณธรรมที่ไม่มีการกระทำ ก็จะไม่ช่วยให้ความรู้เป็นสิ่งที่มีค่าสมกับที่ได้ลงทุนร่ำเรียนมา ต่อให้เรียนฟรีก็ต้องลงทุนในเวลาครับ
สวัสดีครับคุณ Conductor
สวัสดีครับคุณ Conductor
หลักสูตรการศึกษามาตรฐาน มุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้พื้นฐานเพื่อดำรงชีวิตอยู่ให้ได้ แต่ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นการตอบคำถาม what (เพื่อสอบ เพื่อให้ผ่านหลักสูตร) ไม่ค่อยมีใครก้าวไปที่ how (how ทดลอง = what + action) ยิ่งกว่านั้น การข้ามไปสู่ why ยิ่งน้อยลงไปใหญ่ why เป็นเรื่องของการวิจัย เป็นการสร้างความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และสร้างองค์ความรู้ใหม่
สวัสดีครับคุณหมู
สวัสดีค่ะ
มีกัลยาณมิตรแนะนำว่าน่าจะมาเยี่ยมบันทึกนี้... ลองอ่านไปทั้งของอาจารย์เม้งและท่านอื่นๆ ก็รู้สึกว่า งั้นๆ ...
ในความว่า งั้นๆ จะต้องขยายความ ... หมายความว่า สำนวนและแนวคิดทำนองนี้ผู้เขียนเคยอ่านเคยเห็นมามาก แต่ยังคงเป็นจริงน้อยในสังคมไทย........
ใน ผลูปมสูตร ได้จำแนกผลไม้ออกเป็น ๔ กลุ่ม กล่าวคือ
บุคคลากร องค์การ และรูปแบบทางการศึกษาของไทย เมื่อมองดูจากภายนอกมักจะคล้ายผิวผลไม้ที่สดใสน่าดูชมควรแก่การรับประทาน... แต่ภายในจะหวานหอมหรือเน่าแฟะ ก็ต้องเข้าไปสัมผัสเองในแต่ละบุคล องค์การ และรูปแบบนั้นๆ...
ก็บ่นแค่นี้ก่อน มีโอกาสอาจจะมาบ่นอีก....
เจริญพร
สวัสดีครับพี่บ่าว
สวัสดีครับคุณครู
กราบนมัสการหลวงพี่