เสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการปฏิบัติ
ต่อจากตอนที่
๕
คุณผดุง
เครือบุปผา :
ตรงนี้นะครับ
ถ้าจะย้อนไปว่าทายาทเกษตรโรงเรียนนี้ละครับสำคัญมากจริง ๆ
แล้วเด็กนักเรียนจะสังเกตง่ายครับว่าเขาสนใจหรือไม่สนใจ
อย่างนี้มันมองออกถ้าเขาสนใจเขาจะถามเรา เออ! ลุงตรงนี้เขาใช้อะไร
มันใช้กี่ซีซี รู้กลุ่มของเขาแล้วก็เริ่มมาทำ
พอทำประสบผลสำเร็จปุ๊บ หนูอยากจะเรียนต่ออะไรไหม
อยากรู้เรื่องเกษตรอะไรต่อ
ก็หารืออาจารย์พอดีอาจารย์บอกว่าเรามีที่อยู่ 3 งาน ทำข้าวดีไหม
พอดีรู้เรื่องข้าวแล้วสอนให้เด็กคัดเมล็ดพันธุ์แล้วก็ประสบผลสำเร็จด้วยการทำกิจกรรมเล็กๆ
ให้เด็กคัดเมล็ดพันธุ์ข้าวแล้วไปเพาะทำกิจกรรม 100 ต้น ต่อ 1 คน
เท่านั้นละครับ
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ให้เด็กเขาประสบผลสำเร็จจากเรื่องเล็ก
ๆ แล้วให้หันมาให้ความสำคัญเรื่องของการเกษตรมากขึ้น
คุณผดุง เครือบุปผา
:
ครับ เหมือนการสร้างฐาน
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
คุณจรัลว่าอย่างไรครับเรื่องเกษตรมันยังเป็นอาชีพของคนรุ่นใหม่ได้ไหมครับ
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
เรื่องอนาคตครับเกี่ยวกับนักเรียนนะครับ
โดยมากพ่อแม่ทุกคนส่งให้ลูกเรียนเพื่อที่จะให้ได้ลูกทำงานดี ๆ
มีเงินเดือนแพง ๆ ไม่อยากให้ลูกไปทำเกี่ยวกับการเกษตร
แต่อนาคตเราไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าสักวันหนึ่งเราจะไปทำอะไร
อยู่ตรงที่ไหน
แต่เรื่องการเกษตรวันข้างหน้าถ้าหากว่าไม่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่เขาวาดไว้หรือหวังไว้
แต่กลับไปอย่างน้อยเขาก็ยังมีฐานความรู้เดิมในสมัยที่เขาทำมากับมือ
มีอาจารย์รุ่นปู่รุ่นย่าสอนไว้เขาก็กลับไปทำได้
และก็ถ้าหากว่าเป็นไปในเชิงชีวภาพทำแบบอินทรีย์ไปรอดแต่ถ้าทำแบบเคมีไปไม่รอด
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
สรุปแล้วก็คือว่าเราจะไปบังคับอนาคตเขาไม่ได้
แต่ว่าทำอย่างไรให้เขามีโอกาสให้เขามาลงไม้ลงมือทำ ให้เขามีความสำเร็จ
สร้างฉันทะ สร้างความพึงพอใจ
อยากให้เน้นกระบวนการที่เรารู้สึกว่าตอนหลังเราทอดทิ้งเขาไปเยอะ
แล้วอนาคตจะเป็นตัวกำหนดเอง แล้วแต่ว่ามันอยู่ที่วิธีการทำใช่ไหม
อย่างที่ทั้งสองท่านบอกว่าถ้าเราทำโดยรู้จักการใช้ความรู้
ถ้าเรารู้จักลักษณะวิธีลดต้นทุนหาความรู้ทดแทนพวกสารเคมีซึ่งต้นทุนสูงต่าง
ๆ เหล่านี้เราก็จะอยู่ได้
และสองท่านเป็นตัวอย่างและบอกได้ว่าตอนนี้หนี้สินของท่านลดลงไปตั้งเยอะถึงจะมีอยู่
จริง ๆ แล้วสิ่งที่ได้มาก็ได้แปลงไปเป็นทรัพย์สินอื่น ๆ
ชีวิตดีขึ้น ฟังดูก็เหมือนว่าตัวเองก็ปลอดภัยขึ้น ต้นทุนลด
หนี้สินลด ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข
ทีนี้ผมถามคำถามสุดท้ายแล้วผมจะเปิดให้ที่ประชุม
ว่าที่เราคิดว่ามีความก้าวหน้าและประสบผลสำเร็จมาตรงจุดนี้ลองถอยกลับไปดูว่าเราคิดว่าอะไรเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เกิดความสำเร็จในวันนี้ได้
ของแต่ละท่านมีเงื่อนไขอะไรบ้าง
เป็นเพราะอะไรที่เราเดินมาจุดนี้ได้เชิญเลยครับ
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
ของผมนะครับมีสั้นๆ ง่ายๆ
คือของผมก็ใฝ่เรียนรู้ศึกษาหาความรู้แล้วไปเน้นทำจริงแล้วจะเกิดผล
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ของพี่ผดุง
คุณผดุง เครือบุปผา
:
ในความรู้สึกของผมนะครับ
ไปเรียนที่ไหนก็แล้วแต่
ยามใดที่ผมว่างผมจะไปศึกษาเรียนรู้มาตลอดคือเอามาทำไมครับเอามาไว้ในคลังสมอง
ทีนี้ตอนตีสี่ตีห้านอนไม่หลับเรานั่งคิดครับตอนนี้ปัญญายังไม่เกิด
เช้ามืดนี่ตีสี่ตีห้าจะทำอะไรจะรู้เป็นช่องมันจะเคลื่อนทำอย่างมีความสุข
เช้าๆ นี่แหละ ดีครับ แล้วใจตัวเองจะมีความสุขเหนื่อยแล้วหยุด
อย่าไปฝืนกำลังอย่าไปฝืนธรรมชาติ
เราทำไม่ว่าจะเป็นแปลงนาหรือในสวนเราจะไม่เครียด
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ผมอยากให้ที่ประชุมช่วยกันถามให้เยอะๆ
เชิญลุงรินทร์ เลยครับ
คุณลุงสุรินทร์ กิจนิตย์ชีว์
:
คือลุงฟังอยู่ด้วยความสนใจเกิดการเรียนรู้เยอะเลย
สิ่งที่จับได้คือว่าในรูปแบบของภาคเกษตรกรรมของท่านทั้งสอง คือคุณผดุง
กับคุณจรัล มันสะท้อนภาพเรื่องการจัดการความรู้ที่ชัดเจนมาก
แล้วก็ตรงกับวิถีชีวิตตรงกับการเนื้องานของเขา
การจัดการความรู้ไม่ได้แยกออกไปจากชีวิตจริงเลย ชัดเจนมาก
ลุงสนใจในสองประเด็น ขอเรียนถามขอเรียนรู้หน่อยได้ไหม
ถามคุณจรัลว่าการลดต้นทุนการผลิตทำให้วิถีชีวิตดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น
รวมถึงครอบครัวด้วยนะครับ
การลดต้นทุนการผลิตมันอย่างเดียวเท่านั้นหรือ
หรือว่ามันมีการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือนในชีวิตประจำวัน
มันลดเฉพาะภาคการผลิตเท่านั้นหรือ หรือว่ามันมีการลดอื่น ๆ ด้วย
ถ้ามีการลดอื่น ๆ ด้วยเราโยงความรู้จากที่ลดค่าการผลิตมาตรงการลดอื่นๆ
ได้อย่างไรนี่คำถามของคุณจรัลนะ
คำถามจากคุณผดุงก็คือว่าปกติมนุษย์มันเห็นระบบนิเวศน์ยากคือความต้องการเงินมันจะบังดวงตาหมด
แต่คุณผดุงบอกว่านี่เห็นเลยว่าระบบนิเวศน์มันดีขึ้น
อะไรทำให้เห็นระบบนิเวศน์แล้วระบบนิเวศน์
ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตหรือส่งผลกระทบต่อไร่นาอย่างไรครับที่มันทำให้ดีขึ้น
คุณผดุง เครือบุปผา
:
ขอบคุณอาจารย์ครับที่เรียนถามตรงนี้ละครับ
คำว่าระบบนิเวศน์ คือสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราหรืออยู่รอบๆ
นาเรา ถ้าเราไม่ใช้สารเคมีในแปลงนาหรือว่ากรณีใดๆ
ก็แล้วแต่ ที่ว่าไม่ทำลายระบบนิเวศน์คือหนึ่ง
ข้าวถ้าข้าวอินทรีย์จริง ๆ สังเกตง่าย ๆ เราไม่ฉีดยาฆ่าหญ้าหัวคันนา
แมลงศัตรูพืชที่มันจะมาทำลายพวกข้าวจะอยู่ที่หัวคันนาทั้งหมด
แต่ชาวนาทั่วๆ
ไปไม่อย่างนั้นครับหัวคันนาจะโล้นหมดพอเสร็จแล้วกลางคืนเพลี้ยกระโดด
เพลี้ยจั๊กจั่นลงหัวดำ
ไม่ได้ลงกับหญ้าหัวคันนาลงที่แปลงเลยแล้วดูดน้ำเลี้ยงช่วงระยะเวลา 15
วัน 20 วันจะก่อเชื้อไวรัสไว้
แล้วอีกอย่างหนึ่งเราสังเกตดูถ้าเราไม่ใช้เคมีทั้งหมดเลยใช้อินทรียวัตถุ
อย่างหว่านปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก 2 เดือน
หญ้าขึ้นแล้วมีแมลงเกิดแมงมุงครับ แมงเมี่ยง แมงห้ำ
พวกนี้ส่องกลางคืนเห็นพวกนี้ไม่ทำลายข้าวของเราไม่ทำลายพืชของเรา
แมลงพวกนี้ดีมากเลยครับ คือจะคอยเก็บกินศัตรูที่จะมาทำลายของเรา
อย่างเพลี้ยกระโดด แมลงสิง มันจะมีหลายตัวประมาณ 8 ตัว
หรือว่าแมลงสีขาวพวกนี้ขยายพันธุ์ได้เร็วกลายเป็นหนอนกอทั้งหมด
ที่จะเข้ามันทำลายพืชของเรา ถ้า15 วันเราฉีดสมุนไพรจะไม่มีอะไรมากวน
20 วัน ถึง 25 วันพยายามหว่านปุ๋ยกระตุ้นเมื่อกำลังจะเจริญเติบโต
แล้วต่อมาอะไรเกิด แมงมุมเกิด พอข้าวได้ หนึ่งเดือน แมงมุมตัวเล็ก ๆ
จนกระทั่งถึงเกี่ยวแมงมุมตัวเบ้อเริ่มเลย
ดักกินแมลงอยู่นี่คือระบบนิเวศน์ช่วงเช้า ๆ หรือว่าตอนเย็น ๆ
สังเกตดูง่าย ๆ
จะมองเห็นตลอดเลยว่าแมลงอะไรบ้างที่ได้ทำลายพืชของเรา
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
เมื่นอกี้ที่ลุงรินทร์ถามยังมีเกษตรกรหลายคนที่ไม่มองเห็นสิ่งเหล่านี้เหมือนอย่างที่พี่ผดุงเห็น
พี่ผดุงพอจะบอกได้ไหมว่าการที่พี่ผดุงกลับหันมาสังเกตและเห็นความสัมพันธ์
เหล่านี้มันมาเชื่อมโยงกันเป็นเพราะการที่เราเข้ากระบวนการเรียนรู้เรื่องแมลงมาด้วยหรือเปล่า
คุณผดุง เครือบุปผา
:
ตรงนี้สังเกตจริง ๆ ครับ
ว่าเราต้องเรียนรู้มาก่อนแล้วมาทำสังเกตที่นาจะเห็นได้ชัดคือเราตอบตัวเองไม่ได้หรอกสิ่งที่มันเกิดในแปลงนาของเรา
เราพูดได้เห็นได้ชัดเห็นด้วยตาตัวเอง
หัวคันไร่คันนาไม่ต้องฉีดยาฆ่าหญ้ามันรก ๆ ไป
ฉีดแล้วมันเพิ่มมันไม่ลด ถ้าเราไม่ใช้เลย เลิก ลด ละ
มันจะรกอย่างไรช่างมันเถอะ ทำแล้วจะรู้เองแล้วมาดูผลผลิต ผมเองอายุ
100 วัน หรือ 90 วัน ดูไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องตกใจว่ามีแมลงอะไรบ้าง
เพลี้ยกระโดดมีเยอะแยะหมดเต็มนาหมดมันก็ฉีดสมุนไพรอย่างเดียวผลผลิตก็ได้
ถ้าอะไรลดได้ทั้งหมด ผมว่าชาวนาเป็นผู้ยิ่งใหญ่มีสตางค์ด้วย
เราจะยืนอยู่บนแผ่นดินด้วยความสง่าผ่าเผยเมื่อหนี้สินเราลดปลดหนี้แล้ว
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ที่เราพูดเราจะเน้นไปที่เรื่องของการลดต้นทุนการทำนา
ทีนี้ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนอื่น ๆ มีไหมที่เราสามารถลดได้
แล้วเราลดอย่างไร
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
มีครับค่าใช้จ่ายในครัวเรือนอื่นๆ
ของแม่บ้านจิปาถะตรงนั้นมันพูดง่ายๆ
มันเกี่ยวกับครอบครัวอาหารการกินคือผมจะเน้นที่ว่าเราปลูกทุกอย่างที่เรากินเราจะกินทุกอย่างที่เราปลูก
เราจะซื้อประเภทเนื้อ หมู ไก่
เป็นผักเราจะปลูกไว้รับประทานเองทั้งหมด
ชาวนาเวลาที่เหลือจากการทำนาไม่ได้ทำทุกวัน
ผมมีรถไถก็ออกรับจ้างเพื่อหารายได้เข้ามาครอบครัว
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ท่านอื่นถ้ามีคำถามทยอยส่งมาได้เลยครับ
ผู้ร่วมประชุมคนที่ 1 :
ผมนายมิ่ง โชติรัส เกษียณอายุงานแล้ว อายุ 71 ปี
เกษียณอายุตั้งแต่ปี 37 ประทับใจมาก
คำว่าเกษตรคือของวิเศษตั้งแต่นั้นมาผมก็ไม่ป่วย ผมอยู่กรุงเทพฯ
นี้เองอยู่หมู่บ้านปัฐวิกรณ์แถวนวมินทร์ใกล้ๆ กิโล 8
เขาเรียกว่าถนนรามอินทรา ไปดูแปลงตัวอย่างเขาทำมาตั้งแต่ปี 41
ทำมาตลอดและไปอบรมสมาคมดินและปุ๋ย
ถูกบอกว่าเป็นไปไม่ได้ลุงทำสวนครัวรั้วอยู่ที่บ้านทำยากจะทำมาเป็นธุรกิจการพาณิชย์เป็นไปไม่ได้
เกษตรเคมีกว่าจะเห็นผลเสีย 40 ปี
เกษตรไม่ต้องถึงอินทรีย์เกษตรไร้สารพิษ 5 ปี จะเห็นพืชดอก
มันเป็นไปไม่ได้เพราะฉะนั้นขอชื่นชมน้อง ๆ เพราะผมทำตั้งแต่ปี 41
ถึงปี 48 รวมแล้ว 7 ปี แล้ว
ปรากฏว่าเป็นแปลงตัวอย่างนักเรียนไปดูแปลงที่บ้าน
ผักก็งามแม้เอาน้ำท่อระบายน้ำมาลด
แม่บ้านไม่ยอมกินแหมน้ำในท่อระบายน้ำมันทั้งทุกอย่าง
เดี๋ยวนี้กินหน้าตาเฉยเลยเมื่อก่อนชะอมยังไม่กิน
เดี๋ยวนี้กินผักกาด ผักคะน้า ผมชื่นชมเกษตรคือของวิเศษ
และชื่นชมหนักเข้าไปอีกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว
หมอบอกว่าคุณเป็นโรคที่มีเชื้อโรค
ไม่ใช่ตัวผมเองลูกชายเขาเป็นโรคอะไรรู้ไหมครับ
โรคโดยไม่มีเชื้อโรคเพราะชอบกินอาหารด่วน
สิ่งนี้เป็นสิ่งอันตรายที่ทำให้เขาเป็นโรคอ้วน โรคความดัน
โรคที่เขาไม่ให้กินน้ำตาล
สำหรับเกษตรอินทรีย์ที่ขึ้นหัวเรื่องไว้ว่าเกษตรปลอดภัยสารพิษ
ที่ผมเรียนมาเกษตรมี 5 อย่าง เกษตรปลอดภัยสารพิษ, เกษตรอนามัย,
เกษตรปลอดสารพิษ
เกษตรปลอดภัยกับเกษตรปลอดสารพิษไม่เหมือนกันนะครับเกษตรไร้สารพิษ
และอันสุดท้ายเกษตรอินทรีย์
เป็นข้อคิดของผมว่าอย่าเรียกว่าอินทรีย์เพราะใน
กทม.อากาศก็เสียแล้วดินก็เสียแล้ว น้ำยิ่งเสียใหญ่แล้ว
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
เมื่อกี้พี่ทิ้งคำถามไว้ว่า
จะถามอะไรนะครับ
ผู้ร่วมประชุมคนที่ 2 :
จะถามน้องว่าจะเป็นไปได้ไหมที่เราทำมาได้ 5 ปี แล้ว
เกษตรไร้สารพิษไม่ต้องเป็นอินทรีย์นะครับ อินทรีย์มันยากมาก
เพราะฉะนั้นที่เรียกเมื่อกี้อินทรีย์ให้ระวังนะครับ
เขาจะหัวเราะเอาเพราะเกษตรอินทรีย์มีข้อแม้สูงมากครับ
ต้องมีกันชนนะครับคำว่ากันชนต้องสร้างเขื่อนต้องปลูกต้นไม้ 3 ระดับ
ทั้งปลูกทั้งตัดกันอากาศเสียจากข้างนอกเข้ามาในแปลงอันนี้คือเงื่อนไขหลัก
ไม่ว่า มกท. หรือ มอกท. เพราะต้องมีเงื่อนไขสองอย่าง
หนึ่งต้องทำจากถนนใหญ่ อันนี้เรื่องใหญ่ผมไม่พูดถึงเพราะว่า
น้องๆ ทำอยู่ไกลสิ่งแวดล้อม ขอฝากไว้ในครั้งนี้
แต่ผมขอยืนยันอยู่ทุกลมหายใจว่าไม่เกิดนายทุนเคมีสารเคมีแม้แต่หยดเดียวตั้งแต่ปี
41 และผมยินดีให้ไปดูตอนเย็นนี้เลยเราไม่พูดราคาคุยนะครับ บ้านเลขที่
56/1 ซอย 1/1 หมู่บ้านปัฐวิกรณ์ ไปถามได้เป็นประชาสัมพันธ์
ยินดีให้โทรศัพท์ไปถาม 0-2510-3093
ใครสนใจโทรศัพท์ไปถามได้ น้ำหมักทำเอง
ปุ๋ยหมักทำเอง แต่ว่าน้องพูดเมื่อกี้นี้สารกำจัดศัตรูพืช
ไม่ได้ทำเพราะมันไม่เคยมีศัตรูพืชมารบกวนขอจบเพียงแค่นี้ครับ
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
เดี๋ยวจะเก็บคำถามไว้ตอบทีเดียว
ท่านจะได้ถามสมาชิก แม่ทองดีเชิญเลยครับ
ผู้ร่วมประชุมคนที่ 3
:
แม่ทองดี
จากเชียงใหม่จะเรียนถามวิทยากรนะคะว่า
การที่เราทำเกี่ยวกับของจุลินทรีย์ หรือว่าชีวภาพ
ข้าวอินทรีย์นั้น เราจะเรียกผักพื้นบ้านคืนมาอย่างไร
เพราะในภาคเหนือผักกุ่มป๋า ผักหิ่น ผักปลอด เต่า
หรือตะไคร้น้ำ ที่คนกินแล้วอายุยืนเป็น 100 ปี
ผักอันนี้เป็นยาอายุวัฒนะเป็นอาหาร
เรียกว่าอาหารปลอดภัยจากสารเคมีทั้งหลาย
อยากจะเรียนถามในฐานะที่พี่น้องเป็นคนพิจิตรว่า
ผักพื้นบ้านที่อยู่ในแปลงนากลับมาหรือว่าสูญพันธุ์ไปแล้วทำไปแล้วหลังจากใช้อินทรีย์
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
พี่ผดุง เชิญเลยครับ
คุณผดุง เครือบุปผา
:
ผมอยากจะเรียนง่าย ๆ ว่า
ผักที่คุณพี่บอกเมื่อกี้ครับเมื่อสมัยก่อนรุ่น ๆ เลยมีครบหมด
แต่ปัจจุบันอยู่แค่มีอยู่หนอง คลอง บึง
แต่ในแปลงนาจะไม่มีแล้วเพราะแปลงนาประสบภัยที่ว่ามันผ่านเคมี
ผ่านปุ๋ยเคมี ผ่านสารเคมีชนิดต่างๆ เป็นร้อยๆ ชนิด เป็นร้อยๆ
ครั้ง เราฉีดยา ระบบน้ำและระบบดินมันไม่เข้ากันแล้วกับ
สิ่งที่มีชีวิตอยู่
พืชคือสิ่งมีชีวิตนะครับมันเจอพวกนี้ไปมันตายหมด
มันไม่เหลือแม้แต่ปลาก็ไม่เหลืออยู่ในแปลงนา
ทั่วทุกหย่อมหญ้าจะไม่มีตรงนี้อย่างที่คุณพี่บอกเมื่อกี้
แต่ถ้าใครหันมา ลด เลิก ละ พวกที่ผมบอกมาที่ผ่านมา เคมีอย่าไปเชื่อ ลด
เลิก ละ ตรงนี้จะเกิดครับมันจะเกิดโดยปริยาย ณ
ตรงนี้มันจะเกิดเห็นได้ชัดผักอะไรก็ได้ที่มันเคยมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้วมันก็จะเกิดของมันเองระบบนิเวศขึ้นใต้น้ำมีนะครับ
ผู้ร่วมประชุมคนที่ 4 :
เพื่อนๆ สมาชิก ที่มางานในปีนี้พอดีมีความสนใจมาก
และเป็นโอกาสดีที่ได้มาฟังในเวทีนี้ ก็มีปัญหาที่อยากจะถามพี่ผดุงว่า
การใส่ปุ๋ยชีวภาพปีนี้ก็ทำนาปีแรกก็ใส่ปุ๋ยชีวภาพจะซื้อที่ ธกส.
ไม่รู้ว่าขั้นตอนการใส่จะใส่ตอนไหน
บางคนแนะนำว่าใส่ก่อนไถเสร็จก็หว่านข้าวอีกทีแต่ว่าอันนี้ใส่ปุ๋ย
ทีหลัง และที่เป็นปัญหามากที่สุดคือที่ดิฉันทำ 30
ไร่ลองทำดูก็การกำจัดวัชพืช การกำจัดวัชพืชตอนแรกทำในครอบครัว
พ่อ แม่ ลูก ทำวันหยุด แต่มันก็จะมีเยอะมาก
ผลผลิตต่อไร่ถ้าเทียบกับนาข้างๆ
ที่เขาทำเคมีเขาก็จะได้เยอะเขาก็จะแนะนำให้ใช้ยากำจัดวัชพืช
ซึ่งตัวเองคิดเราทำข้าวจะไว้รับประทาน
เราก็รู้อยู่ว่ามันเป็นโทษแต่ก็ไม่ได้ใช้
อีกคำหนึ่งตอนที่ได้ฟังไม่เข้าใจคือข้าวดีดหรือข้าวเด้ง
ขอบคุณค่ะ
คุณผดุง เครือบุปผา
:
ถ้าทำแล้ววัชพืชมันเยอะครับ
ใส่ปุ๋ยอินทรียวัตถุตอนไหนไม่ทราบว่าที่บ้านคุณใช้ปั่นหรือใช้ไถ
ถ้าเราจะให้พืชสมบูรณ์เลยถ้าเป็นนาข้าวให้หว่านก่อนแล้วไถกลบก็ได้
หรือปั่นกลบก็ได้แต่ที่บ้านผมใช้ปั่นกลบก็ได้เหมือนกัน
แต่ช่วงขยายข้าว ผู้ถามเริ่มงง ถ้าปั่นไม่เข้าใจ
ครั้งแรกทำตรงนี้
ถ้าไถกลบระหว่างหว่านปุ๋ยอินทรีย์ไปก่อนแล้วไถกลบ
พอเสร็จแล้วคุณจะหมักกี่วันก็ได้ถึงหว่านข้าวอย่างนี้ก็ได้
แต่ช่วงระยะก่อนที่คุณหว่านหรือทำอะไรให้หญ้าขึ้นให้หมดแล้วหญ้าไม่ขึ้น
ขึ้นก็ส่วนน้อย แต่ข้างนาที่เขาบอก ต่อไปเขาอาจจะลดลง
ผลผลิตจะลดลงแต่ของคุณคงจะได้เพิ่ม
ขอให้เรียนรู้ตรงไหนก็ได้ที่มีแหล่งเรื่องข้าว เรื่องปุ๋ย
หรือเรียนรู้เรื่องน้ำหมักชีวภาพ
คุณลองทำไปเถอะครับเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ
ความรู้มันจะกลับมาหาเราเองแล้วเราจะพัฒนาข้าวตรงนี้ได้
ถ้าเรื่องข้าวดีดข้าวเด้ง
ผมบอกเลยว่าผมยอมรับว่านักวิชาการปัจจุบันข้าวพันธุ์ลูกผสมผมนับดูของจังหวัดพิจิตร
ประมาณ 23 สายพันธุ์
ผมบอกได้เลยแต่ไม่ทราบว่านักวิชาการทำมานิ่งหรือไม่นิ่ง
ผมไม่ทราบนะครับแต่ปล่อยให้เกษตรกรปล่อยให้พ่อค้าบ้างนำมาขายกันพี่น้องชาวนาเอามาทำพอทำเสร็จมันเกิดอะไรขึ้น
หนึ่ง ข้าวที่ตกอยู่ในแปลงนา เกี่ยว 2 วัน 3
วันจุดฟางแล้วปั่นต่อข้าวที่ตกอยู่ขึ้น
ซื้อพันธุ์ข้าวมาดีขนาดไหนแพงขนาดไหนนะครับก็เสียพันธุ์ข้าว
เพราะฉะนั้นเราต้องรู้สายพันธุ์ให้แท้จริงว่าเราซื้อมาทำปลูกเนี่ยมันต้องเป็นสายพันธุ์ที่แท้จริงหรือชาวบ้านพัฒนาขึ้นมากันเองนะครับมันถึงจะได้ของแท้
ปัจจุบันไม่ใช่ของแท้มันเป็นของเก๊มากกว่านะครับ
ตรงนี้ผมพยายามดูด้วยและผมศึกษาทางจังหวัดสุพรรณด้วย
ว่าทางนี้ผมยอมรับว่าเทคนิคของอาจารย์เดชาท่านเก่งมาก
เรื่องเทคนิคผมก็ต้องมาอาศัยแกอีกทีนี่แหละเรียนรู้แล้วก็ไม่ต้องซื้อพันธุ์ข้าวไม่จำเป็นต้องไปซื้อพ่อค้าเพราะฉะนั้นพ่อค้าไม่ได้ผลิต
เราเป็นเกษตรกรเราเป็นชาวนาเราเป็นคนผลิตเองดีกว่า
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
พอเข้าใจไหมครับพี่ช่วยอธิบาย
คุณผดุง เครือบุปผา
:
มันเป็นอย่างนี้นะครับ ข้าวดีด ข้าวเด้ง
สมมติว่าข้าวของเรานะครับอายุ 90 วันได้เกี่ยวนะครับ ข้าวดีด
ข้าวเด้งจะอายุ 75 วัน 70 วัน แล้วทีนี้มันจะร่วงในแปลงนา
พอเวลาเราเก็บเกี่ยวมันร่วงไปแล้วมันไม่ได้เกี่ยว เวลาเรามารอบใหม่
ข้าวดีด ข้าวเด้ง
เขาจะขึ้นมาหมักอย่างไรก็ไม่เน่าเพราะข้าวพันธุ์นี้ข้าวแข็งแรงมากต้านทานโรค
ต้านทานเพลี้ย ที่ว่าเขาเอามาผสมกัน ยาฆ่าหญ้า ฉีดไม่ตาย
ลักษณะข้าวดีด
ข้าวเด้งจะอายุเบากว่าข้าวที่เราทำนะครับแล้วการดีดการเด้งของเขาเมื่อนาน
ๆ ไปเขาจะกลายเป็นข้าวเมล็ดแดงครั้งแรกเขาอาจจะแดงไม่มาก
แล้วบางพันธุ์ที่เป็นข้าวดีด ข้าวเด้งจะมีหางแต่มันไม่ตายตัว ข้าวดีด
ข้าวเด้งจะต้องมีหางทุกพันธุ์ไม่ใช่ครับ
ข้าวดีดข้าวเด้งแล้วแต่ข้าวพันธุ์นั้นที่เอามาผสมกับข้าวให้เป็นสายพันธุ์ดีแล้วเขามาขายให้เราแล้วแต่สายพันธุ์ที่เขาเอามาผสม
ข้าวป่า ข้าวนก ข้าวนกมีหาง ข้าวป่าไม่มีหาง หลายคนงง
ๆ
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
พันธุ์มันไม่นิ่งใช่ไหมครับ
ขอบคุณมากเลยครับ มีศัพท์ใหม่ ๆ บางทีผมฟังแล้วงง ๆ คำถามคุณจรัลว่า
เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีก้าวหน้าเร็วมากถ้าอีกหน่อยมีพ่อค้าคิดค้นปุ๋ยเคมีที่สามารถให้ผลผลิตเพิ่มเป็น
200 ถังต่อไร่อีกทั้งราคาปุ๋ยเคมีก็ไม่แพงกว่าเดิม
คุณจรัลจะเพิ่มการปลูกข้าวเคมีเป็นกี่ไร่
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
เรื่องการเพิ่มการปลูกข้าวเคมีผมคงไม่หันกลับไปทำอีกแล้วนะครับ
ถ้าหากเป็นข้าวอินทรีย์หรือข้าวปลอดสารผมยังคงจะทำต่อไป เพราะว่าหนึ่ง
ร่างกายเรายังดียังมีสุขภาพยังมีอายุยืนกว่า ตอนนี้อายุ 30
กว่าเพราะว่าข้าวที่เราทำเราจะเน้นไว้รับประทานเองแล้วก็ในตำบล
เพราะข้าวทุกเมล็ดที่ผมทำมาจะมีขายพันธุ์กับเอาไปสีขายผมไม่ได้ขายกับพ่อค้าคนกลางเลย
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
มีคำถามหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องการจัดการด้านการตลาด
อันนี้ถามพี่ผดุงว่าพอเราหันมาทำเกษตรอินทรีย์เราจัดการเรื่องการตลาดอย่างไร
เริ่มแรกขายกับใคร มีการกดราคาหรือไม่มี
การจัดการกับพ่อค้าผูกขาดอย่างไร
เคยพบว่าบางครั้งเกษตรกรกลัวจะขายผลผลิตไม่ได้ทำให้พ่อค้ากดราคาเราได้
คุณผดุง เครือบุปผา
:
ครับอันนี้เคยทำเวทีกันมาหลายที่ก็มีเกษตรกรเคยถามว่า
ถ้าทำอย่างนี้ปลอดสารพิษมีตลาดไหมมีโรงสีตรงไหนรับซื้อ
ราคาแพงกว่าเขาไหมที่มันไม่มีสารเคมีเจอปนของอย่างนี้ ผมบอกเลยว่า
มันต้องค่อยเป็นค่อยไปแม้กระทั่งรัฐยังช่วยเราไม่ได้
ผมบอกเลยว่าอย่างไรก็ไม่ได้
เราค่อยเรียนรู้ค่อยเป็นค่อยไปถ้าเราทำจริงไม่ฉีดเคมีจริง
เราทำแต่อินทรียวัตถุจริงๆนะครับ อยู่ที่ไร่นาหรือว่าอยู่ในสวนก็แล้ว
แต่เมื่อใดพ่อค้ารู้ว่าของเราปลอดสารเราก็ตั้งราคาได้เขามาซื้อเราเองของเราดีไม่จำเป็นต้องโฆษณาหรือไม่จำเป็นต้องโปรโมท
แต่จริงๆ
ผมสงสารชาวนาว่ามันเสียเปรียบเขาทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการชั่งเป็นการเก็บเกี่ยว
หรือจะเป็นการซื้อปุ๋ย ซื้อยาเคมีทุกอย่างกินราคา 2 ต่อ 3 ต่อ
ทั้งดอกด้วยนะครับดอกมันงามงอกงามมากเลยเสียเปรียบเสียทีเขาทั้งหมด
เพราะฉะนั้นมันมีทางแก้มีทางออกอย่างที่ผมบอกแหละครับอย่างน้ำหมักชีวภาพเราทำของเราดีเขามาซื้อเราไหมครับมา
ฮอร์โมนฉีด 7 วันงามไหมครับ
เขียวใบตั้งมันงามเหมือนท้องตลาดไหมงามถ้าเขาเห็นคุณภาพของเราเขามาซื้อเองเราตั้งราคาได้ไหมได้ลิตรละ
50 บาทถูกกว่าท้องตลาด ลิตรละ 200 – 300 บาทอีก
ตรงนี้ผมขอฝากไว้
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
แล้วตัวข้าวละครับที่เราปลูกข้าวปลอดสาร แล้วขายอย่างไร
คุณผดุง เครือบุปผา
:
ก็ชี้แนะเลยว่าอย่างปัจจุบันนี้ หนึ่ง
ข้าวสารผมสีบริโภคเองไม่ต้องไปซื้อท้องตลาดอันนี้ได้เปรียบชาวนาทั่วไปแล้ว
สอง ผมขายเป็นพันธุ์ข้าวปลูกคือตั้งราคาได้เองขาดต้นเลยคุณเอาไปตากเอง
7,000 บาท เครือข่ายมาซื้อเอง
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
พี่ผดุงขายเป็นข้าวปลูกหมดเลย
คุณผดุง เครือบุปผา
:
ครับ
ขายเป็นข้าวปลูกไม่อย่างนั้นโรงสีชุมชนโทรมาบอกว่า
เออมีข้าวไหมตอนนี้จะเกี่ยวหรือยังก็ขายก็บอกว่ามีแล้วครับ
พอขายแล้วมันเป็นยังไงครับพี่น้องชาวนาพอขายหมดแล้วมีแต่คนมาถามซื้อบอกจะเอาข้าวอะไรไปให้มัน
นามี 15 ไร่ มันก็ได้ไม่มาก
แต่ถ้าเกิดผมพยายามขยายในเครือข่ายในแกนนำทุกที่ที่อยากรู้เรื่องข้าวก็ไปสอนให้แม้กระทั่งเอาลงกระถางก็พยายามทำพยายามฉุดขึ้นมาบัวที่ใกล้จะโผล่ไม่โผล่ฉุดให้พ้นน้ำ
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ของพี่ผดุง เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกไม่มาก ทีนี้ของจรัล 50 - 60 ไร่
ตอนนี้ข้าวเขาขายอย่างไรอยู่
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
เมื่อครั้งแรกก่อนที่ผมจะหันมาใช้อินทรีย์ผมทำนา 50 – 60 ไร่
มันเป็นหนี้เป็นสินเยอะเพราะว่าเป็นหนี้เป็นสินมันเกิดจากภัยธรรมชาติตรงนี้แก้ไขไม่ได้จากน้ำท่วม
น้ำแล้งหรือว่าเพลี้ยกินตรงนั้นผมพอหันหน้ามาตรงนี้ ผมลดนาลงเหลือ 15
ไร่ เพราะนานี้ไม่ใช่นาผมผมเช่าเขาทั้งหมดตอนนี้นาผมเหลือ 15
ไร่
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
แล้วขายเป็นข้าวปลูกเหมือนกันหรือยังไงครับแล้วเก็บไว้กันบางส่วน
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
ถ้าหากว่าเหลือก็จะมีโรงสีชุมชนมาติดต่อแต่ที่จะเหลือให้ถึงโรงสีน้อยครับ
เพราะว่าเขารู้แล้วว่าตรงนี้มีข้าวปลอดสารใครก็อยากรับประทานตรงนี้
คุณผดุง เครือบุปผา
:
วัดง่าย ๆ
นะครับของผมรอบที่เกี่ยวไปเป็นข้าวนาปีต่อ 1 ไร่
ต้นทุนคิดในอัตราจ้างทั้งหมดแม้กระทั่งตัวผมเองก็คิดค่าจ้างเหมือนกัน
2,080 บาท ค่าเช่าด้วยนะครับเพราะว่านาผมเป็นนาเช่า 2,080 บาท
ผมได้ข้าว 83 ถัง ผมขายถังละ 70 บาท 83 ถัง
เป็นเงินเท่าไรครับแล้วก็มาหัก 2,080 บาท
นั่นคือที่เหลือคือกำไรของผมล้วนๆ
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
ทำพื้นที่น้อยลงแต่มีความประณีตมากขึ้นสามารถไปเที่ยวดูแมลง
ดูระบบนิเวศน์ได้ดีขึ้น ตัวนี้กลายเป็นว่าต้นทุนต่อไร่ถูกลง
เพราะฉะนั้นแม้เราจะปลูกน้อยลงตัวเงินเหลือมากกว่าเดิม
อันนี้เป็นวิธีคิดของการจัดการเกษตรในลักษณะที่หลาย ๆ คนพูดอยู่
ตรงนี้มีคำถามอีกไหมครับเรามีเวลาอยู่อีกสักประมาณ 5 นาที
ผู้ร่วมประชุมคนที่ 5 :
ผมธีรชัย กุลชัย สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง
ติดตามเรื่องของเกษตรอินทรีย์มาเรื่อย
ทีนี้ผมเห็นว่าจากการไปเรียนรู้จุดยากของมันมีมาก
วันนี้มันมีขบวนการอะไรที่มาจากการจัดการความรู้หรือเปล่าหรือว่าอะไรต่างๆ
ที่มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตรงนี้
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
พี่ผดุง หรือจะตอบทั้ง 2 คนก็ได้
เชิญเลยครับ
คุณผดุง เครือบุปผา
:
ตรงนี้นะครับมันจะจัดการขบวนการเรียนรู้กันแต่ละอำเภออย่างไปเรียนรู้มาจาก
วปอ. เราจะมีแกนนำระดับอำเภอระดับตำบลอยู่แล้ว
เรามาทำเวทีร่วมกันใครมีความรู้อะไรก็มาแลกเปลี่ยนกัน
พอแลกเปลี่ยนกันแล้วคือเกษตรกรเขาจะเข้าใจเองว่าคนนี้เขายังลดหนี้สินได้ต้นทุนเขาก็น้อยลงตัวเองก็ปลอดภัยตรงนี้แหละครับ
เราจะมีขบวนการเรียนรู้กันตรงนี้ให้เขารู้ให้ชัดเราตอบเขาได้ว่าตรงนี้เกษตรกรอยู่ได้นะเป็นเพราะอะไร
ก็เป็นเพราะพวกเราไปทำเวทีแล้วก็จัดการการเรียนรู้กันตรงนี้แหละครับ
คุณจรัล ติ้งฉิ่น :
ของผมที่จะเปลี่ยนแปลงเราต้องมีสถานที่จริงให้เขาดูเพราะว่าเขาเห็นของเราครั้งแรกเอาอย่างของผมเป็นต้น
ของผมจะอยู่ติดถนนผมทำครั้งแรกมีแต่คนดูถูกว่ามันจะทำได้กันไหม
พอเขาดูไป 2 ครั้ง 3 ครั้ง เราก็ทำซ้ำ ๆ อย่างเดิมข้าวมันดีขึ้นๆ
คือตรงนี้เขาเริ่มหันกลับมามองคนที่จะเปลี่ยนคนที่เขาไม่เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยนคือจิตใจคนมันจะชักจูงกันยากคนที่ไม่เปลี่ยน
ไอ้นั่นมันงมงายมันบ้าอยู่คนเดียวคำนี้ผมโดนประจำ 3 ปีที่ผมทำมานี่
โดนรอบละหลาย ๆ ครั้งที่คนเขาขี่รถผ่านไป
จะต้องมีจุดวิกฤตจุดหนึ่งที่เขาจะต้องหันกลับมานี่คือเขาต้องโดนสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการทำเกษตรแล้วเขาถึงจะหันกลับมา
อย่างพี่ชายผม เขาไม่เคยเชื่อผม
วันหนึ่งเขาเกิดการน็อคยาขึ้นมาแล้วทีนี้เขาไปนาอีกไม่ได้เลย
คือโดนกลิ่นยาไม่ได้เลยเขาจะต้องเป็นลมไปหาหมอเสร็จแล้วเขากลับมาหาผมว่าอะไรบ้างมันดี
สมุนไพรแม้กระทั่งกระเพราคนจะเป็นลมดมก็ชื่นใจ
แล้วตรงนี้มันต้องมีจุดให้เขาดูด้วยเขาถึงจะเชื่อ
ไม่ใช่ทำครั้งเดียวเหมือนกันครับแล้วจะได้ผลเป็นไปไม่ได้ครับ ผม 3
ปี ไม่ใช่ว่าปีละครั้ง ผมปีละ 3 ครั้งครับ 3 ปี นี่ก็ 9
ครั้งถ้าหากเป็นนาปีก็ 9 ปี
แล้วครับที่ผมปรับปรุงดินมาแล้วอย่างของอาจารย์ที่ว่าเกษตรอินทรีย์ใช่ไหมครับที่อาจารย์ถาม
5 อ. ครับมันเป็นอย่างนี้ครับ
นาผมคือรอบนาผมจะเป็นถนนแล้วทีนี้ขอบถนนผมจะปลูกตะไคร้หอมอย่างที่อาจารย์ว่าจะต้องมีพืช
3 ระดับเพื่อปรับปรุงอากาศหรือว่าไม่ให้มลพิษข้างนอกเข้ามารอบคันนา
ผมจะปลูกตะไคร้หอมไว้เลยเพื่อเอาไว้หมักสารไร่แมลง
แล้วอีกอย่างหนึ่งน้ำที่นารอบ ๆ ข้าง ถามว่ามีนาเคมีไหม
มีครับแต่น้ำผมใช้น้ำบาดาลด้วยแต่ถ้าถึงนาปีใช้น้ำฝน
คุณทรงพล เจตนาวณิชย์
:
คือเท่าที่ผมติดตามดูของเครือข่ายหัวใจสำคัญอยู่ที่การเปลี่ยนความคิด
การเปลี่ยนความคิดนั้นคือว่าเราจะเห็นว่าจริง ๆ
แล้วการจะเปลี่ยนความคิดคงมีหลายสาเหตุแต่สาเหตุหนึ่ง
คือวิกฤตใช่ไหมที่เกิดกับชีวิตทำให้จุดเปลี่ยนของชีวิต ผมเคยคุยกับ 2
ท่าน ท่านบอกว่าหนี้สิน
ท่านอัดอั้นตันใจกับหนี้สินกันมานานมีความรู้สึกว่าทำไปแล้วมันไม่มีทางออกมีแต่หนี้สิน
แล้วพอดีมีการให้โอกาสของการเข้าไปเรียนรู้ของหลักสูตร วปอ.
อันนี้คือมีโอกาสแล้ว วปอ. นั้นไปเรียนรู้กับปราชญ์ชาวบ้าน
ปราชญ์ชาวบ้านเขาไม่ได้สอนเทคนิคอย่างเดียวเขาสอนพุทธศาสนาสอนปรัชญาชีวิตตอกย้ำอยู่บ่อยๆ
ที่สำคัญมาทำจริงมีรูปธรรมและมีเพื่อนเรียนรู้ตลอดเวลา
ขบวนการเรียนรู้ไม่ใช่ทำครั้งเดียวตอกย้ำอยู่เรื่อยๆ
แล้วก็มีเครือข่ายมีเพื่อนแล้วก็หมุนเกลียวความรู้ไปเรื่อย ๆ
แต่ฐานจิตฐานใจได้ถูกกล่อมเกลาในขบวนการ
ซึ่งผมเชื่อว่าปราชญ์ชาวบ้านในพื้นที่หรือ
ภูมิปัญญาท้องถิ่นเองที่มองเกษตรกรไม่ได้มองเรื่องเทคนิคอย่างเดียว
แต่มองเป็นวิถีชีวิตมองเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างตัวมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
ท่านสังเกตว่าไม่ว่าคุณจรัล หรือพี่ผดุงก็ตาม จริง ๆ ลึกๆ
มีมุมมองพวกนี้อยู่เยอะเหมือนกัน บังเอิญเวลาเราสั้นถ้าคุยกับท่านจริง
ๆ
ท่านมีอะไรสนใจมากกว่านี้เยอะเลยแต่เวลาเราสั้นถ้าจะโยงมาเกี่ยวกับเรื่องของการจัดการความรู้เราจะเห็นว่าพี่ผดุงได้เล่าให้ฟังว่า
หนึ่งใจใฝ่รู้ต้องมาก่อนเป็นผู้ที่เรียนรู้ใฝ่รู้
พอมีโอกาสก็ไม่เคยทิ้งโอกาสมีการเรียนรู้ที่ไหนท่านไปอยู่ตลอดเวลา
และเรียนรู้ว่าถ้าเรามาทำด้วยอันไหนไม่ชัดเจนยังไม่รู้เรื่องดีพอก็ตามไปไร่นาของอาจารย์เลยตามไปเรียนรู้
แล้วก็เรื่องของเกษตรต้องเรียนหลายเรื่อง เรื่องดิน เรื่องน้ำ
เรื่องแมลง เรื่องอะไรสารพัดอย่าง จนกลายเป็นว่าเกษตรเป็นชีวิต
เพราะฉะนั้นเวลาที่ท่านมองเกษตรในฐานะที่ไปปลูกเยอะๆ
ชอบเอาเงินเยอะๆ
แต่ว่าจัดการให้มันอยู่ในความพอดีพอเพียงของเราแล้วก็เงินเหลือ
มีความสุข ครอบครัวอบอุ่น กินข้าวที่ตัวเองปลูกด้วยความมั่นใจ
หนี้สิน
ก็ลดสารพัดอย่างที่ท่านพย
หมายเลขบันทึก: 12302เขียนเมื่อ 15 มกราคม 2006 19:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 มีนาคม 2012 15:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น