The City of David


The City of David เมืองแห่งเดวิด - ตำนานมีชีวิต แผนที่โบราณแห่งเยรูซาเลม ในสมัยจักรวรรดิโรมัน หลังการเข้าครอบครองและปกครอง ตลอดระยะเวลา กว่า 600 ปี

The City of David  

เมืองแห่งเดวิด  - ตำนานมีชีวิต

   

อ้างอิง - แผนที่ www.ccel.org 

Old map of Jerusalem - The Temple and Zion during Roman Occupation   

เมืองแห่งตำนานและความหมาย ในแหล่งหล้าของศาสนา ภายใต้ตำนานและความยิ่งใหญ่ เมืองแห่งตำนานและจุดกำเนิดแห่ง ZIONISM  

จุดเริ่มต้นแห่งรัฐประชาชาติอิสราเอล ความมุ่งหวังในการกลับคืนสู่แผ่นดินพระเจ้า และแผ่นดินกษัตริย์โซโลมอนผู้ยิ่งใหญ่ เมืองแห่งเดวิด ที่หลอมรวมศรัทธาศาสนา และ ความเชื่อของผู้คน

   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">คือความจริงว่าวันนี้ เมืองแห่งความยิ่งใหญ่นี้ คือตำนานซึ่งยังคงมีชีวิต ของโลกยุคใหม่ที่การเมื่อง ศาสนา และรัฐประชาชาติยังคงต่อสู้กันบนแผ่นดินแห่งประวัติศาสตร์นี้</p>      <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ภาพสะท้อนจากแผนที่ ในนามแห่งราชอาณาจักรโรมันอันยิ่งใหญ่ ถ่ายทอดเรื่องราวความหมายของเมืองบนยอดเขาแห่งนี้ เมืองซึ่งด้านหนึ่งโอบล้อมด้วยขุนเขาแห่งมะกอก ด้านหนึ่งเป็นทุ่งของบุตรผู้ประกาศนามพระเจ้า บนยอดเขาแห่งนั้น ดินแดนซึ่งมีผู้ใฝ่ปองมาหลายพันปี</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ซากศพผู้คนจากศรัทธา ซากแห่งอารยธรรม ซึ่งถูกฟื้นฟูบูรณะ และปฏิสังขรณ์ตำนานให้กลับฟื้นคืนชีวิต ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เกิดขึ้น และครั้งแล้วครั้งเล่าที่ได้ทอดซากไว้ในเรื่องราว</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">นับพันปี เมืองแห่งนี้ ยังคงมนต์เสน่ห์และมนต์ชีวิตไว้ให้เราได้เรียนรู้</p>    <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">จุดกำเนิดและความยิ่งใหญ่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพียงเรื่องราวเหล่าขานในพระคัมภีร์ไบเบิล ในพระคัมภีร์โทราห์ หรือในพระคัมภีร์อัลกุรอาน เท่านั้น แต่คือจุดหมายปลายอันยิ่งใหญ่ของมหาสงครามศาสนา ที่โลกนี้เคยประจักษ์</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เมืองแห่งนี้ คือจุดหมายปลายทาง ของสงครามครูเสด</p>    <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เมืองซึ่งโอบล้อมด้วยขุนเขา ในฐานะเมืองหลวงแห่งรัฐประชาชาติอิสราเอล</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ซึ่งวันนี้ปรากฎนามว่า เยรูซาเลม</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">คือหนึ่งในความหมายของนาม แห่งพระตำนานซึ่งคงมีชีวิต ในฐานะ “แผ่นดินแห่งพันธสัญญา” เมืองซึ่งครั้งหนึ่ง อับบราฮัม ได้กล่าวว่า พระเจ้าได้ตรัสมอบดินแดนแห่งคานาอาน ดินแดนที่นับจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน สู่ทะเลสาบเดดซี ให้แก่ชนชาติยิว</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">แผ่นดินแห่งพันธสัญญา จึงเป็นหนึ่งในนามของแผ่นดิน ซึ่งถูกเปลี่ยนมือเปลี่ยนผู้ปกครอง เปลี่ยนผู้ครองจากศรัทธาศาสนา ทั้งคริสต์ อิสลาม และยิว</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ขุนเขาซึ่งปรากฎความยิ่งใหญ่ของมหาวิหารทอง เมืองซึ่งมีป้อมปราการโบราณ และกำแพงแห่งศรัทธาตั้งตระหง่าน รอคอยการแสวงบุญจากผู้คนทั้ง 3 ศาสนา</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">1225 ปี ก่อนคริสตกาล</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">โมเสส ข้าทาสผู้จงรักภักดีต่อฟาโรห์ ผู้มีศรัทธาแรงกล้าในดินแดนแห่งพันธสัญญา ได้นำชาวยิวข้ามดินแดน จากแผ่นดินข้ามทะเลแดง จากศรัทธาเพื่อแหวกทะเลข้ามสู่ดินแดนแห่งคานาอาน เพื่อประกาศนามแห่งดินแดนพระเจ้า</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ดินแดนซึ่งชนชาวยิว กล่าวว่าพระเจ้าได้มอบไว้ให้พวกเขา</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ดินแดนซึ่งบัญญัติสิบประการ ได้จารึกลงอย่างมั่นคง</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">กษัตริย์แห่งเดวิด บิดาแห่งกษัตริย์โซโลมอน ได้สร้างปราการแห่งศรัทธาบนขุนเขาแห่ง ZION นำหีบแห่งพันธสัญญา ประดิษฐ์ไว้ยังเมืองหลวงแห่งประชาชาติยิว  เมืองซึ่งตระหง่านอยู่บนป้อมปราการเหนือขุนเขา เมืองซึ่งครั้งหนึ่งประการความยิ่งใหญ่ว่าจะไม่มีวันพ่ายแพ้ กระทั่งวันเวลาได้พิสูจน์ตนเองบนหน้าประวัติศาสตร์</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">อำนาจและการเปลี่ยนผ่าน จึงเกิดขึ้น</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">587 ปี ก่อนคริสตกาล แผ่นดินและอาณาจักรยิว พ่ายแพ้แก่อาณาจักรบาบิโลน</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">332 ปี ก่อนคริสตกาล พ่ายแพ้แก่อาณาจักรมาซิโดเนีย แก่กษัตริย์อเลกซานเดอร์</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">62 ปี ก่อนคริสตกาล อาณาจักรโรมันเข้ายึดครองดินแดนแห่งนี้</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ปีที่ 70 แห่งคริสตกาล อาณาจักรโรมันทำลายเมืองแห่งนี้จนสิ้น</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ปีที่ 132 - 135 แห่งคริสตกาล อาณาจักรโรมันได้สร้างเมืองแห่งนี้ขึ้นมาใหม่</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ปีที่ 614 แห่งคริสตกาล อาณาจักรเปอร์เซีย ยึดครองเมืองแห่งนี้</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ปีที่ 636 แห่งคริสตกาล เมืองแห่งนี้ ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งอาณาจักรเปอร์เซีย อย่างสิ้นเชิง</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">600 ปี ต่อมา เมืองแห่งนี้คืออาณาจักรแห่งศาสนาอิสลาม</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">จากสงครามครูเสด สู่ คริสต์จักร และจากสงครามครูเสด สู่ อาณาจักรแห่งซาลาดิน</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">จากยิว สู่ คริสต์ จากคริสต์ สู่ อิสลาม จนกระทั่งวันนี้ เป็นอาณาจักรแห่งยิวซึ่งปกครอง</p>    <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ศรัทธาแห่งศาสนา ลัทธิแห่งจิตวิญญาณ พลังแห่งความเป็นมนุษย์ ล้วนผูกพันไว้ในดินแดนแห่งนี้ เมืองที่มีเรื่องราวเล่าขานเป็นตำนานนับพันปี หลายพันปีที่ผู้คนล้มตาย หลายพันที่อาณาจักรล่มสลาย ก่อร่างสถาปนา และล้มลงไป</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เพียงเพื่อเป็นหนึ่งในวัฎจักรแห่งมหาศรัทธา</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เมืองนี้จึงยังตำรงอยู่</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ตำนานแห่งพระเจ้า ดินแดนแห่งพันธสัญญา ดินหินกรวดทรายแห่งศรัทธาศาสนา เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวร้อยในดินแดนแห่งนี้ ความหมายในหลายหลายความเปลี่ยนแปลง ล้วนอยู่ในทุกหน้า ทุกตารางทรายที่สามารถรับรู้ได้ ล้วนมีเลือดเนื้อจิตวิญญาณผิวหนังของผู้มีศรัทธาต่อศาสนาอาบเคลือบ ฉาบและหล่อหลอมไว้จนไม่อาจแยกแยะได้</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ผู้คนมากกว่าร้อยล้านคน ล้มตายเพื่อเมืองแห่งนี้</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">และวันนี้ผู้คนมากมายได้ตายลงในเมืองแห่งนี้</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">The City of David</p>     <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ไซออนนิสม์</p><p>จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี</p><p>(เปลี่ยนทางมาจาก Zionism </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ไซออนนิสม์ (อังกฤษ: Zionism) เป็นชื่อเรียกขบวนการกลับสู่มาตุภูมิประวัติศาสตร์ในดินแดนปาเลสไตน์ดั้งเดิม (The Eretz Israel) หลังจากการถูกชาวอีจิปต์ขับกระจัดกระจายออกไปอยู่ที่อื่นนานนับศควรรษ ชาวยิวมีความเชื่อว่า เมื่อใดที่ชาวยิวย้ายกลับมาครอบครองถิ่นเดิม ความเจริญรุ่งเรืองจะเกิดขึ้นดังที่เกิดขึ้นมาแล้วในสมัยกษัตริย์เดวิด ความเชื่อนี้ทำให้เกิดการรณรงค์เผยแพร่ความคิดที่เรียกกันว่า ไซออนนิสม์ขบวนการลัทธิไซออนยุคใหม่นี้เริ่มต้นเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ประมาณ พ.ศ. 2400-2443) โดยธีโอดอร์ เฮิร์ซล์ (Theodore Herzl) ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแผนการทางการเมืองเพื่อให้บรรลุถึงความเป็นรัฐอิสระเหนืออาณาเขตที่ครองครองโดยชาวปาเลสไตน์ ความคิดนี้ได้รับการสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา วัตถุประสงค์และเป้าหมายนี้ได้รับการสนับสนุนโดยปฏิญญาบอลโฟร์ (Balfour Declaration) ของประเทศอังกฤษในปี พ.ศ. 2460 โดยเงื่อนไขว่าต้องไม่ทำให้ประชาชนที่ไม่ใช่ชาวยิวในอาณาบริเวณนั้นเสียสิทธิ์</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>    <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2491 การจัดตั้งรัฐอิสระของชาวยิวได้รับการสันสนุนเป็นทางการโดยองค์การสหประชาชาติ จนถึงบัดนี้ขบวนการรวบรวมชาวยิวที่ถูกขับไล่กระจัดกระจายพลัดถิ่นแต่โบราณให้กลับถิ่นเดิมก็ยังคงดำเนินการไปอย่างเดิม มีชาวยิวที่ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกอพยพกลับสู่ดินแดนปาเลสไตน์อย่างไม่ขาดสายอยู่เช่นเดิม ลัทธิไซออนได้รับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากชาวปาเลสไตน์และประเทศอาหรับ</p><p>  </p><p></p><p>ดึงข้อมูลจาก </p><p>http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B9%8C    </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">อ้างอิง - ข้อมูล วิกิพิเดีย</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ประวัติศาสตร์</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เยรูซาเลมเก่าและเยรูซาเลมใหม่รวมเป็นเมืองเดียวกันหลังสงคราม 6 วัน ใน ค.ศ. 1967 สถิติปี ค.ศ. 1993 มีประชากร 556,000 คน ในจำนวนนี้ 401,000 คน เป็นชาวยิว อาศัยในเยรูซาเลมใหม่ และอีก 139,000 คน อาศัยทางตะวันออกและเยรูซาเลมเก่า จำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม มีเพียง 16,000 คน นับถือศาสนาคริสต์</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">กรุงเยรูซาเลมเป็นเมืองที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรไว้ให้เป็นป้อมแห่ง ความเชื่อถึงพระเป็นเจ้าแต่เพียงองค์เดียว จากเนินเขาที่โล่งแจ้งนี้ บรรดาประกาศกและพระคริสตเจ้าเองทรงประกาศคำสั่งสอนของพระเป็นเจ้า และบท บัญญัติแห่งความรัก จากดินแดนนี้ไฟแห่งความเชื่อได้แพร่ไป พร้อมกับมุ่งขจัดความมืดมนแห่งการหลงผิด และการนับถือพระเท็จเทียมต่างๆ ให้หมด สิ้นไป “บทบัญญัติของพระเป็นเจ้าจะแพร่ไปจากศิโยน และพระวาจาของพระองค์จากกรุงเยรูซาเลม”</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">เมืองนี้เป็นเมืองหลวงทางศาสนาของประชากรราวครึ่งหนึ่งของมนุษยชาติ สำหรับชาวยิวเป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคลดั้งเดิม และแห่งความหวังในอนาคต</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">สำหรับชาวคริสต์เป็นเมืองที่พระเยซูเจ้าทรงประกอบภารกิจในช่วงระยะเวลาสุดท้าย แห่งพระชนมชีพของพระองค์ เมืองที่ได้เป็นพยานถึงการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนชีพของพระองค์</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">สำหรับชาวมุสลิมเป็นเมืองที่พวกเขาเชื่อกันว่าศาสดามุฮัมมัดได้เสด็จสู่ฟากฟ้า</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">กรุงเยรูซาเลมแหล่งกำเนิดความเชื่อและสันติ เมืองที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก ยังได้เป็นเมืองแห่งความทารุณโหดร้าย แห่งสงคราม และการหลั่งเลือด ณ ประตูเมืองแห่งนี้มีการสู้รบมากกว่าที่เมืองอื่นใด ในโลก กรุงเยรูซาเลมถูกล้อมมากกว่า 50 ครั้ง ถูกยึดถึง 36 ครั้ง และถูกทำลายมากกว่า 10 ครั้ง</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ไม่มีผู้ใดทราบว่ากรุงเยรูซาเลมเริ่มมีตัวตนขึ้นมาเมื่อใด ครั้งแรกที่พระคัมภีร์พูดถึง คือ สมัยของอับราฮัม โดยมีชื่อว่า “ซาเล็ม” ซึ่งแปลว่า สันติสุข</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">“ท่านเมลคีเซเดคผู้เป็นทั้งกษัตริย์เมืองซาเลม และปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ก็นำขนมปังกับเหล้าองุ่นมาให้ (ปฐก 14:18)</p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">“ข้าพเจ้ายกมือสาบานตัวต่อพระพักตร์ผู้เป็นเจ้าพระเจ้าสูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน” (ปฐก 14:22) ในศตวรรษ ที่ 10 ก่อนคริสตกาล กษัตริย์ดาวิดได้ยึดเมืองนี้และตั้งเป็นเมืองหลวง โดยนำหีบแห่งพันธสัญญามาประดิษฐาน</p><p>   </p><p>[แก้] ช่วงเวลาปี 965-922ก่อนคริสตกาล กษัตริย์โซโลมอนได้ปรับปรุงเมืองนี้และสร้างพระวิหาร ปี 587 ก่อนคริสตกาล ชาวบาบิโลนได้ยึดกรุงเยรูซาเลม ทำลายพระวิหารและนำ ชาวยิวไปเป็นทาสในบาบิโลน</p><p>  </p><p>ปี 538 ก่อนคริสตกาล ชาวยิวได้กลับสู่กรุงเยรูซาเลมและสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ ปี 332ก่อนคริสตกาล พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยึดกรุงเยรูซาเลม ปี 168ก่อนคริสตกาล กษัตริย์อันติโอกุส เอปีฟาเนส ได้ทำลายกำแพงกรุงเยรูซาเลม ปี 63ก่อนคริสตกาล ชาวโรมยึดเมือง ปี 37 ก่อนคริสตกาล เฮโรดได้แต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ของชาวยิว พระองค์เป็นนักก่อสร้างและปรับปรุงกรุงเยรูซาเลมให้สวยงาม ได้สร้างกำแพงและพระวิหาร ขึ้นมาใหม่ให้สวยงามกว่าในสมัยของกษัตริย์ของเฮโรดนี้เป็นกรุงเยรูซาเลมที่พระเยซูเจ้าทรงรู้จัก ปี ค.ศ.70 กรุงเยรูซาเลมถูกทำลายโดยจักรพรรดิตีตัส ปี ค.ศ.132-135 จักรพรรดิเอเดรียนได้สร้างกรุงเยรูซาเลมขึ้นใหม่ </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ตามแบบของเมืองโรมัน ตั้งชื่อว่า “เอลีอา กาปีโตลียา” และสร้างสักการสถานแด่พระเท็จเทียมบนซากของสักการสถานของชาวยิว และของชาวคริสต์ และพวกยิวถูกห้ามเข้าเมืองเด็ดขาด หากจับได้จะมีโทษมีประหารชีวิต</p>  ปี พ.ศ. 873(ค.ศ.330) จักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 มหาราชผู้กลับใจ <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ได้เปลี่ยนกรุงเยรูซาเลมให้เป็นเมืองคริสต์</p>  ปี พ.ศ. 1157(ค.ศ.614) ชาวเปอร์เซียยึดกรุงเยรูซาเลมและทำลายวัดวาอารามต่างๆ ปี พ.ศ. 1179(ค.ศ.636) กรุงเยรูซาเลมตกอยู่ภายในอำนาจของชาวอาหรับ <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ซึ่งได้รักษาอำนาจนี้ตลอดมาเป็นเวลา 500 ปี</p>  ปี พ.ศ. 1642(ค.ศ.1099) กรุงเยรูซาเลมถูกยึดโดยครูเสดและกลับเป็นที่ตั้งของอาณาจักรละติน ปี พ.ศ. 1730 (ค.ศ.1187) กรุงเยรูซาเลมถูกยึดโดยชาวมุสลิมภายใต้การนำของซาลาดิน ปี พ.ศ. 2060 (ค.ศ.1517) เมืองตกอยู่ในเงื้อมมือของชาวเติร์ก และอยู่ในการปกครองของพวกเขาตลอด 400 ปี ปี พ.ศ. 2460 (ค.ศ.1917) พันธมิตรได้ยึดกรุงเยรูซาเลมและให้อยู่ใต้การปกครองของทหารอังกฤษ ปี พ.ศ. 2491(ค.ศ.1948) สงครามระหว่างยิวและชาวอาหรับ กรุงเยรูซาเลมถูกแบ่งดินแดน ส่วนหนึ่งเป็นของรัฐอิสราเอล อีกส่วนเป็นของจอร์แดน ปี พ.ศ. 2500 (ค.ศ.1967) ระหว่างสงคราม 6 วัน ชาวอิสราเอลได้ยึดกรุงเยรูซาเลมเก่า <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจอร์แดน สถานการณ์ปัจจุบันยังยืดเยื้ออยู่ และชาวอาหรับรับไม่ค่อยได้ด้านประวัติศาสตร์ของคริสตชน เริ่มตั้งแต่ปีที่ 33 ของสมัยปกครองของกษัตริย์เฮโรด ประมาณศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล (5 B.C.) เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาบังเกิด ประมาณ 8 กิโลเมตรห่างจากกรุงเยรูซาเลม เหตุการณ์ที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินชีวิตในกรุงเยรูซาเลมตามบันทึกในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เมื่อแม่พระและนักบุญยอแซฟ ถวายพระเยซูในพระวิหาร</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">พวกนักรบครูเสด (Crusader) ตามความเชื่อเป็นอัศวินของพระเจ้า ตามความเชื่อนี้ พวกนี้ไม่ใช่ คาทอลิก แต่เป็น โปร์แลด์น บางชื่อเรียกว่า อัศวินแทมพรา การแต่งกายตามแบบอัศวิน แต่จะแตกต่างตรงที่ ตามโล่ จะมีรูปไม้กางเขน</p><p>  </p><p>อ้างอิง - ข้อมูล</p><p> http://www.snunit.k12.il/njeru/eb21s.html</p><p> </p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">The biblical City of David was situated on the southern slope of Mount Moriah, outside today’s Old City wall. Under King Solomon the city was extended northward and included Mount Moriah. David chose Jerusalem as his capital primarily for geopolitical reasons. The bringing of the Ark of the Covenant to the city made it the Israelites’ exclusive national, religious, and administrative center. Solomon had the lateral valley separating the city from Mount Moriah filled in. This “miloh” (infill) area, as it was known, became the site of many new palaces, while the Temple was built on the summit of Mount Moriah. The city’s major point of vulnerability the fact that its water sources lay outside was removed on the eve of the Assyrian siege of 701 BCE by the digging of Hezekiah’s Tunnel.</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>   <p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal">Jerusalem of the First Temple period reached the zenith of its development under King Hezekiah, expanding westward to the slopes of Mount Zion. In 586 BCE Jerusalem was captured and put to the torch by the Babylonians under King Nebuchadnezzar. The flames literally baked about 50 royal seals (“bullae”), which thus survived intact to our own time. It was in the small area of the City of David that the prophets uttered their resounding perorations during the period of the First Temple, articulating spiritual and ethical values which became the pillars of human civilization. Taking solace from the consolation offered by the prophet Jeremiah, who told them that they would return, the people of Jerusalem were led into a Babylonian exile which would last for 50 years.</p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p><p style="margin: 0cm 0cm 0pt" class="MsoNormal"></p>

หมายเลขบันทึก: 122822เขียนเมื่อ 28 สิงหาคม 2007 21:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:17 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท