เมื่อวานนี้
ที่โรงเรียนของผู้เขียนมีทีมงานจากกรมตำรวจเข้ามาจัดโครงการเยาวชนสัมพันธ์
ให้กับเด็กนักเรียนในชั้นมัธยมต้นทั้งหมด
ผู้เขียนเลยไม่ได้สอนกันหรอกค่ะ
ไปทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยครูฝึกในกลุ่มสีที่ทีมงานได้แบ่งไว้แล้ว
ความจริงแล้ว
ทีมงานชุดตำรวจโครงการเยาวชนสัมพันธ์เข้ามาเตรียมงานและสถานที่ตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์แล้วล่ะค่ะ
วันแรกของการฝึก
(ซึ่งเป็นวันจันทร์เมื่อวานนี้) เริ่มด้วยการละลายกลุ่ม
คละกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มสีมีทั้งน้อง ม.1, 2 และพี่ๆ ม.3
ทีมงานซึ่งมีวิทยากรที่ถือไมโครโฟนพูดอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
( เขามีชื่อที่ให้นักเรียนเรียกคือ "พี่จิ้มลิ้ม"
(แหม....ไม่อยากนินทาลับหลังเลยค่ะว่า
ร่างพี่แกไม่ได้จิ้มลิ้มเลย)
แถมคุณสมบัติการเป็นวิทยากรหลัก ที่พูดอยู่คนเดียวตลอดวัน
ก็....ไม่จิ้มลิ้ม...เหมือนชื่ออีกต่างหาก เขาเก่งมากๆๆ
ที่เดียวล่ะค่ะ ทราบว่าเดินทางมาจากกรุงเทพฯ)
พี่จิ้มลิ้มของเราจะยืนพูดอยู่บนรถกระบะ 6 ล้อ
ที่มีเครื่องขยายเสียงดังกระหึ่ม
บวกกับพลังเสียงที่มีอย่างท่วมท้นของพี่จิ้มลิ้มเข้าไปด้วยแล้ว
โอ้โฮ....สามารถสะกดเด็กเกเรที่ไม่ค่อยจะอยู่ในระเบียบวินัย
กลับกลายมาเป็นเด็กที่เชื่อฟัง ว่านอนสอนง่ายขึ้นตั้งแยะ
ผู้เขียนเลยแอบเฝ้าสังเกตการณ์เพื่อดูว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นได้
เค้าทำได้อย่างไรนะ
ก็ได้คำตอบจากการเฝ้าสังเกตและคำตอบจากครูฝึกประจำกลุ่มสี
ว่า คือ
การสร้างความกดดันให้เกิดร่วมกัน
จนมีความรู้สึกร่วมกัน
แล้วพลังแห่งความสามัคคีก็จะเกิดกับกลุ่มสีนั้นๆ
อาจจะมีการลงโทษตามกฎกติกาที่วางไว้ตั้งแต่ต้น
(เหมือนกับการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญในสังคมของผู้ใหญ่)
แต่เด็กๆ เค้าก็ยอมรับกันได้โดยดี
มีการลงโทษกันสนุกสนานไปเลย แบบที่เด็กๆ ฮาไปด้วย
คือทำผิดแล้วต้องลงไปในถังน้ำใบใหญ่ที่จุคนได้ถึง 10
คน แล้วก็มีการฝึกระเบียบแถวต่างๆ ให้ด้วยความทมัดทะแมง
แต่ไม่เท่านั้นพี่จิ้มลิ้มกลับมีเพลงสนุกๆ เยอะแยะมากมาย ให้เด็กๆ
ร้องกันตลอดทั้งวันด้วยเช่นกัน
จนมาถึงวินาทีที่เด็กๆ
จะไม่มีวันลืมจนชั่วชีวิตของเค้าเลย นั่นคือ
การรับประทานอาหารมื้อเที่ยงร่วมกัน
ซึ่งพี่จิ้มลิ้มบอกกับเด็กๆ ว่า
....เป็นโต๊ะจีนแบบจิ้มลิ้ม..... นั่นคือ
ให้ทานอาหารกับถาดใบใหญ่มากๆๆ ตักข้าวและกับข้าวต่างๆ
ลงไปในถาดใบเดียวกันเพื่อให้พอกับคนราวๆ 7-8
คน โดยมีเงื่อนไขว่าทุกคนที่นั่งร่วมวงถาดเดียวกันต้องช่วยกันรับประทานให้หมด
ไม่ให้เหลือแม้แต่เมล็ดข้าวเพียงเมล็ดเดียว
แต่ละกลุ่มก็ช่วยกันทานจนหมด
สุดท้ายครูฝึกพี่เลี้ยงตำรวจประจำกลุ่มสีซึ่งมี 2
ท่าน ก็จะมาช่วยตรวจความเรียบร้อยว่าหมดหรือไม่
พอเจอถาดไหนไม่หมดครูฝึกพี่เลี้ยงตำรวจก็จะเอาช้อนของตนเองกวาดเศษข้าวที่น้องๆ
ทานไม่หมดใส่เข้าปากตัวเองกินแทนน้อง เพื่อน้องๆ
ในวงข้าวนั้นจะได้ไม่โดนทำโทษ ผู้เขียนแอบหันไปเจอสายตาของเด็กๆ
ม.3 ผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่ค่อนไปทางเกเรหน่อยๆ เค้ามองพี่เลี้ยงคนนั้นด้วยความทึ่ง...
นึกไม่ถึงว่าจะมีคนทำแบบนั้นเพื่อกลุ่มเค้า (คงจะเป็นวิธีการใจแลกใจ
ใจวัดใจของครูพี่เลี้ยงประจำกลุ่ม)
และในช่วงบ่ายก็มีการซ้อมเพลงเชียร์ของกลุ่มสี
ที่พบว่าเด็กๆ
ร่วมใจกันเชียร์ด้วยเสียงดังและเฮฮามากกว่าตอนกีฬาสีโรงเรียนซะอีก
มาถึงตอนเย็นก่อนเลิกเรียน มี surprise!!
ให้กับคนที่มีวันเกิดในวันนั้น
เจ้าของวันเกิดถึงกับร้องไห้และบอกว่าไม่เคยได้รับของขวัญแบบนี้มาก่อน
แถมท้ายด้วยพี่จิ้มลิ้มจะเตือนให้เด็กๆ
ไม่ลืมที่จะกลับไปไหว้พ่อและแม่ผู้มีพระคุณของตนเอง
ไม่เฉพาะแต่เจ้าของวันเกิดก็ตาม
มาในวันนี้
ตอนเช้าที่เจอกัน พี่จิ้มลิ้มก็ถามว่า
มีใครไปไหว้พ่อแม่ตนเองแล้วหรือยัง
แน่นอน....มีเด็กบางคนยกมือตอบว่ายัง ด้วยเหตุผลที่ว่า
....ลืม....หรือ...ไม่ได้เจอกัน....(แต่ลึกๆ
แล้วสำหรับเด็กบางคน เค้าไม่เคยที่จะทำเช่นนั้นเลย
แต่เป็นเพราะเหตุผลว่า ...อาย...ที่จะทำ)
พี่จิ้มลิ้มก็เลยมีคำสอนดีๆ ที่เด็กนั่งฟังกันเงียบจากคนตัวอ้วนๆ
พุงใหญ่ๆ
และน้ำเสียงที่มีพลังสะกดให้ทุกคนที่ผ่านไปมาต้องหยุด...เพื่อที่จะฟัง....
และหลังจากนั้นไม่นานนักก็มีพิธีเปิดการอบรมเยาวชนสัมพันธ์แบบเป็นรูปเป็นร่าง
แน่นอนที่สุดเด็กๆ นั่งในพิธีเปิดแบบเงียบมาก
ว่าไงก็ว่าตามกันหมด
(ทั้งที่ปกติเค้าจะส่งเสียงดังมากเมื่อเข้าหอประชุมในกิจกรรมของโรงเรียน)
หลังจากนั้นพี่จิ้มลิ้มคนเดิมก็สอนเด็กๆ
ให้รู้จักกับยาเสพติดตัวร้าย ที่ดูกลายๆ ว่าเด็กๆ
ชักจะขยาดตามที่พี่จิ้มลิ้มบอกซะแล้วล่ะค่ะ
ดีเหมือนกันนะคะ.....ปัญหาเด็กติดยาเสพติดจะได้ลดลงบ้าง....
สำหรับเที่ยงวันนี้ก็เป็นโต๊ะจีนเหมือนเมื่อวานที่เด็กๆ
เค้าเริ่มปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้แล้ว
(คุณครูเองก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน
จากที่เมื่อวานตักข้าวให้นักเรียนหนักมือไปหน่อย
เพราะกลัวเค้าจะทานกันไม่อิ่ม แต่ที่ไหนได้
กลายเป็นภาระให้เค้าต้องทานกันให้หมดมิฉะนั้นจะถูกลงโทษ
มาวันนี้เลยต้องเบามือหน่อยนึง.....แล้วค่อยเดินเติมข้าวและกับข้าวให้เค้าเพิ่มได้
หากเค้าทานไม่อิ่ม)
จนกระทั่งตอนบ่ายวันนี้ก็มีการแข่งขันกีฬาประจำกลุ่มสี
ที่ฮามาก......คือการแข่งขันฟุตบอลที่เด็กๆ เอง ตลกกันเป็นแถวๆ
เพราะไม่มีการเตะลูกบอล แต่เตะด้วยลูกมะพร้าวแทน
เด็กก็เล่นกันตามกติกาฟุตบอล
แต่ถนอมแรงไว้ไม่เหมือนกับเตะลูกบอล
เพราะนั่นหมายถึงลูกมะพร้าวแข็งๆ
เห็นภาพครูฝึกกับเด็กร่วมกันแข่งกีฬาแล้วร่วมกันฮาหลุดโลก
คงเป็นภาพประทับใจเด็กๆ
ไปอีกนานแม้ว่าขณะเล่นกีฬาพวกเค้าจะเปียกปอนกันเพราะสายฝนก็ตาม
เค้าก็ยังสู้ไม่ถอย
สุดท้ายบทเรียนจากการเล่นกิจกรรมกีฬาก็เป็นการสอนให้เด็กๆ
เห็นคุณค่าของกีฬา และที่เกิดเป็นโทษจากกีฬา(ได้ยินแว่วๆ
มาจากไมโครโฟนตัวนั้นว่า "กาลี")ขึ้นมาได้ก็เพราะมนุษย์เราที่เอากีฬาไปเล่นเป็นการพนัน
เด็กที่เกิดในวันนี้และกลายเป็นผู้โชคดีของวันมีถึง 2
คน ที่ยิ้มไม่ยอมหุบซักที
ด้วยความสุขที่มีคนอวยพรวันเกิดให้เค้ามากมายเกือบทั้งโรงเรียน
เค้าคงไปเล่าให้พ่อแม่ฟังแบบไม่ให้พลาดแม้แต่ตอนเดียว...เชียวล่ะค่ะ