แบบของการจดจำของมนุษย์กับกระบวนการเรียนรู้
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในธรรมชาตินั้น
ไม่ให้โอกาสใครเลยที่จะหยุดการติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลกและอวกาศ
ยิ่งเมื่อตามสืบสอบค้นหาความจริงของการเปลี่ยนแปลงเป็นวงกว้างมากเท่าใด
ก็จะพบว่าไม่มีที่ใดเวลาใดที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
การเปลี่ยนแปลงกับการรับรู้ของมนุษย์ที่เฝ้าติดตามเกี่ยวพันกันด้วยคำว่าวิทยาศาสตร์
จึงเป็นภาพเหตุการณ์อันต่อเนื่องยิ่งเสริมสร้างให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าการเรียนรู้
มีการสืบสอบ ค้นคว้า ทดลองแล้วก็จดจำ บันทึก
พร้อมทั้งการสื่อสารในทุกรูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
แต่อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่าความเข้าใจของมนุษย์ที่ได้รับฟังข้อมูลสิ่งเดียวกันในเวลาเดียวกันและจากบุคคลเดียวกัน
ทำไมมนุษย์แต่ละบุคคลจึงมีความเข้าใจไม่เหมือนกัน
และเมื่อเวลาผ่านไปเนิ่นนานมากขึ้นเท่าใดยิ่งเห็นความแตกต่างของการจดจำของบุคคลเหล่านั้น
หรือในเวลาหนึ่งความจำเหล่านั้นอาจเลือนหายไปจนหมดสิ้น
ตรงกันข้ามกับการจดจำแบบหนึ่งที่มนุษย์เก็บเอาการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ที่ใกล้ตัว
โดยที่กระทบต่อความเป็นตัวตนของตนอย่างมากหรือมากที่สุดตามเส้นทางการดำเนินชีวิต
และรวบเอาอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดผนวกเข้ากับเหตุการณ์นั้นแล้วจัดเก็บไว้เป็น
..ความทรงจำ....สิ่งที่เรียกว่าความทรงจำนี้มีความพิเศษที่น่าสนใจคือข้อมูลนี้เก็บไว้ในสมองหรือที่ใดที่หนึ่งก็ตาม
มนุษย์จะไม่มีการลืมเลือนของข้อมูลเลยแม้เวลาจะผ่านเนิ่นนานเพียงใด
เมื่อมีการสื่อสารนำข้อมูลออกมาแสดงภายนอกให้ผู้อื่นรับรู้ยิ่งบ่งบอกถึงความพิเศษมากยิ่งขึ้น
นั่นหมายถึงเพียงแต่นึกชื่อของเหตุการณ์นั้นด้วยข้อความสั้นๆ
ข้อมูลที่เก็บไว้ทั้งหมดก็ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเป็นระเบียบไม่มีการตกหล่นของข้อมูลแม้แต่น้อย
ข้อมูลที่ถูกจัดแสดงออกมาเป็นบรรยากาศที่มีความรู้สึกถึงอารมณ์
ภาพเคลื่อนไหวเปรียบได้ดั่งภาพยนตร์ที่มนุษย์เรียกกันทีเดียว
คำถามจึงเกิดขึ้นในใจของผู้สอนผู้วิจัยงานทางนักวิทยาศาสตร์ว่า
ถ้ามนุษย์สร้างการจดจำจากการเรียนรู้เสมือนการจดจำด้วยความทรงจำจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของสมองหรืออย่างน้อยก็ทำให้การบันทึกของสมองมีระเบียบมากยิ่งขึ้นหรือไม่
และถ้าเป็นอย่างที่คาดหวังไว้มนุษย์จะสร้างรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลอย่างไรให้เหมาะต่อการเก็บเหมือนข้อมูลความทรงจำ
ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าพิศวงกับการเก็บข้อมูลแบบความทรงจำนี้
และพาให้คิดถึงคำพูดที่ว่าสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากเท่าใดยิ่งเสมือนอยู่ไกลจากความเข้าใจของมนุษย์มากเท่านั้น
เหตุผลก็คือวิทยาศาสตร์ที่อธิบายสิ่งที่ใกล้ตัวนั้นละเอียดมากขึ้นๆทุกขณะ
ดังนั้นการค้นหาสิ่งใหม่ที่ใกล้ตัวจึงเป็นการค้นพบที่ยากมากเช่นกัน
ในเบื้องต้นชวนให้คิดประเด็นการสืบค้นเสาะหา
ประเด็นแรกคือมนุษย์มีการจดจำเป็นแบบใดบ้างและมีลักษณะอย่างไร
ประเด็นที่สองว่าด้วยการสร้างรูปแบบหรือจัดลักษณะข้อมูลเป็นแบบใด
จึงจดจำอย่างมีระเบียบได้ข้อมูลมากและจดจำนานที่สุด
ทั้งสองประเด็นนี้ว่าด้วยการเลียนแบบความจำแบบความทรงจำเป็นเอก
ตามด้วยการเชื่อมต่อของการทำงานของสมองประสานงานกันกับการเรียนรู้ของมนุษย์ต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่ไม่หยุดนิ่ง
โดยทั่วไปคล้ายกับว่ามนุษย์กำลังค้นหาคำตอบที่อยู่ในตนเองให้เห็นความเป็นจริงแห่งการจดจำสิ่งที่ได้เรียนรู้มานั่นเอง
การจดจำของสมองมนุษย์ตามการประมวลและลักษณะของข้อมูลที่จัดเก็บพอจัดแบ่งออกได้เป็น
4 แบบด้วยกันคือ
1.
การจดจำแบบเข้าใจจากจิต (แบบซึมติดยึดแน่นในสมอง)
การเก็บข้อมูลและจดจำแบบนี้เรียกให้เข้าใจง่ายก็คือ ความทรงจำนั่นเอง
จะเห็นว่ามีความเข้าใจมาเกี่ยวข้อง
ดังนั้นการอธิบายให้เข้าใจนั้นไม่ง่ายนัก
เพราะลักษณะของข้อมูลที่จัดเก็บไม่ได้เป็นตัวเลขหรือตัวอักษรแต่ข้อมูลถูกจัดเก็บเป็นแฟ้มข้อมูลเสมือนภาพยนตร์และรวมกับความรู้สึกนึกคิดอารมณ์ไว้เป็นหนึ่งเดียว
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นจึงอธิบายแบบฟิล์มของภาพยนตร์ถ้าเรียกชื่อแฟ้มของมูลดังกล่าวเช่น
เรียกเหตุการณ์ประทับใจมาสักหนึ่งเรื่อง
จะเห็นการฉายภาพเคลื่อนไหวในหัวสมองทันทีและต่อเนื่องจนกระทั่งจบเหตุการณ์นั้นลงอย่างสมบูรณ์
ดังนี้จะเกิดความเข้าใจได้ทันทีว่าการเก็บและแสดงข้อมูลแบบเข้าใจจากจิตนั้นเป็นอย่างไร
ถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่าถ้าอธิบายด้วยคำพูดจะไม่เห็นจริง
คงได้แต่อ้างถึงฟิล์มของภาพยนตร์ให้เข้าใกล้ถึงความเข้าใจอันนี้
มีสิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือลักษณะของข้อมูลความจำแบบนี้มี
ความเป็นระเบียบ
มีการเคลื่อนไหวและแสดงอย่างต่อเนื่อง
ถ้าจะสร้างข้อมูลขึ้นต้องมีลักษณะดังกล่าวแน่นอน
ตัวอย่างของความทรงจำที่นำมาแสดงนี้
เป็นการเก็บข้อมูลภาพยนตร์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งไม่ได้เกิดจากการสร้างด้วยตัวตนของมนุษย์เอง
สิ่งที่จะนำมาเป็นเครื่องมือในการสร้างข้อมูลแบบเข้าใจจากจิตนี้
ที่ดีที่สุดคือ .กระบวนการเรียนรู้
ความเข้าใจคำว่ากระบวนการเรียนรู้ก็มีความแตกต่างกันอยู่มากเช่นกัน
ในที่นี้กระบวนการเรียนรู้ก็มีลักษณะสำคัญเหมือนคุณลักษณะของข้อมูลที่เก็บแบบเข้าใจจากจิตนั่นเอง
มีลักษณะดังนี้ 1.จัดเป็นระเบียบคือ
การเรียงร้อยต่อกันของขบวนการอย่างอนุกรมไม่สามารถสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งได้(แผนการเรียนรู้),
2.มีการเคลื่อนไหวคือ
บันทึกความเป็นไปทั้งหมดของกลไกและ/หรือกระบวนการที่เกิดขึ้นตามข้อมูลที่จัดระเบียบ,
3.แสดงอย่างต่อเนื่องคือ
การนำเสนอข้อมูลที่จัดระเบียบไว้ด้วยกับกลไกและ/หรือกระบวนการบันทึกข้อมูลจากเริ่มต้นจนจบสมบูรณ์ด้วยความร้อยเรียงเป็นหนึ่งเดียว
ทั้งสามประการนี้รวมเรียกว่า
กระบวนการเรียนรู้
ความแตกต่างของความเข้าใจก็คือการเข้าใจเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของทั้งสามประการนี้จะเกิดความเข้าใจแบบไม่ครบถ้วน
ดังนั้นการจดจำจึงไม่สามารถกระทำได้ครบถ้วนเนื่องจากการเก็บข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์นั่นเอง
ข้อมูลที่มนุษย์จัดเก็บด้วยแบบความจำนี้เช่น
กลไกและกระบวนการคิดค้นสร้างสิ่งประดิษฐ์ เป็นต้น
2. การจดจำแบบประทับบนจิต
(แบบภาพปะติดสนิทบนเนื้อของสมอง)
ความจำแบบนี้มีการใช้ในมนุษย์เนื่องจากลักษณะของข้อมูลนั้นมีข้อกำหนดน้อยกว่าแบบแรก
ข้อมูลแบบนี้มีลักษณะเหมือนภาพหรือแผนผังนั่นเอง การจดจำจึงจำแบบภาพ
ถ้าข้อมูลที่เป็นตัวอักษรจะถูกรวบรวมจัดเรียงเป็นแผนผังหรือโมเดลแล้วส่งเก็บจดจำไว้
จะเห็นได้ว่าการเก็บข้อมูลของสมองจะเก็บเสมือนฟิล์มของกล้องถ่ายรูปซึ่งไม่มีการเคลื่อนไหว
ตัวอย่างที่มนุษย์จดจำข้อมูลจากภายนอกตนเองเช่น
ถ้าเรียกชื่อแฟ้มข้อมูลชื่อ...นิมิต (เพื่อนสนิท)...
ข้อมูลที่ปรากฏขึ้นจะเป็นภาพของเพื่อนชื่อนิมิตที่จัดเก็บไว้ในสมองแสดงขึ้นมาทันที
ภาพนี้จะมีอายุเท่ากับเวลาที่จัดเก็บ
ถ้าเรียกชื่อแฟ้มเป็นภาพของนิมิตขึ้นมาบางครั้งจะนึกชื่อนิมิตไม่ออก
จะเห็นได้ว่าข้อมูลที่เก็บแบบภาพจะมีระยะเวลาการจัดเก็บนานกว่าการเก็บแบบตัวอักษร
อีกตัวอย่างหนึ่งที่มนุษย์นำเอาภาพจากธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ในการสื่อสารและใช้การจดจำแบบประทับบนจิตในการเก็บข้อมูลได้แก่
ชาวจีนที่พัฒนาอักษรจีนมาจากธรรมชาติโดยวาดภาพ สิ่งของ
หรือธรรมชาติมาใช้เป็นอุปกรณ์ในการประดิษฐ์ตัวอักษรจีน
ในการจัดเก็บบันทึกตัวอักษรเหล่านี้จะจดจำแบบภาพไม่จดด้วยการประมวลของสมอง(ตัวอักษร)
ถ้าประมวลด้วยสมองจะจำการขีดเส้นครั้งละหนึ่งเส้นต่อกันและขีดจนครบ
แต่การจดจำแบบภาพจะเห็นตัวอักษรทั้งตัวปรากฏขึ้น
แล้ววาดภาพนั้นออกมาเป็นตัวอักษรดังกล่าว
ลักษณะข้อมูลที่สร้างขึ้นนั้นจะเป็นการจัดเป็นระเบียบ
คือการเรียงร้อยต่อกันของขบวนการอย่างอนุกรมไม่สามารถสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งได้
ได้แก่การจัดข้อมูลที่เรียกว่า ...แผนการเรียนรู้...
ตัวอย่างเช่น วิธีการสร้างผลผลิตหรือสิ่งประดิษฐ์ เป็นต้น
การจดจำแบบนี้จะสามารถจดจำขั้นตอน วิธีการหรือภาพ
แต่ไม่สามารถจดจำกลไก(Mechanism)ทั้งหมดได้
แต่อย่างไรก็ตามการจดจำทั้งแบบเข้าใจจากจิตและแบบประทับบนจิตสามารถเชื่อมต่อและแสดงร่วมกันได้
3. การจดจำแบบประมวลโดยสมอง
เป็นการเก็บข้อมูลโดยการบันทึกตัวอักษรที่ร้อยเรียงเป็นประโยคหรือวลี
ด้วยการท่องจำหรือเข้าใจความหมายของกลุ่มอักษรนั้นๆ
ซึ่งโดยปกติมนุษย์จะจดจำแบบนี้อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว
ลักษณะข้อมูลที่จัดเก็บเป็นแฟ้มข้อมูลของกลุ่มตัวอักษรจะมีขนาดแฟ้มข้อมูลเล็กกว่าแบบเข้าใจจากจิตและแบบประทับบนจิตอยู่มาก
ในทางตรงกันข้ามแฟ้มข้อมูลขนาดเล็กจะถูกลืมหรือตัดทิ้งได้ง่ายกว่าและระยะเวลาในการจดจำจะสั้นกว่าทั้งสองแบบที่กล่าวข้างต้น
เมื่อสมองบันทึกแฟ้มข้อมูลแบบนี้มากขึ้นๆก็จะมีการกำจัดแฟ้มข้อมูลที่ไม่ได้นำมาใช้ทิ้งไป
เพื่อจดจำบันทึกแฟ้มข้อมูลใหม่แทนที่
จึงมีการหลงลืมข้อมูลอยู่ตลอดเวลา
ลักษณะของข้อมูลแต่ละประโยคหรือแต่ละวลีไม่เรียงร้อยต่อกัน
จึงมีความหมายเฉพาะภายในประโยคหรือวลีนั้นๆ
ดังนั้นเวลาจัดเก็บหรือเรียกออกมาใช้จึงสลับกันไปมาได้
ลักษณะข้อมูลที่สร้างขึ้นจะเรียกว่า...แผนกิจกรรม...
เช่นการเตรียมการดำเนินกิจกรรม, การจัดเตรียมอุปกรณ์การสร้างผลผลิต
เป็นต้น
4. การจดจำแบบไม่มีระบบ
(แบบไม่ใช้จิตและประมวลจากสมอง)
เป็นการเก็บบันทึกข้อมูลโดยไม่มีการจัดเรียงคือไม่มีแผนในการจัดเก็บ
ดังนั้นข้อมูลถูกส่งไปจัดเก็บเป็นประโยคหรือวลีเดี่ยวๆ
ไม่สัมพันธ์กับข้อมูลอื่นๆเลยและที่น่าสังเกตข้อมูลแบบนี้ไม่สร้างให้เกิดความเข้าใจได้เลย
เป็นเพียงการจดจำตัวอักษรเท่านั้น
ข้อมูลที่เก็บไว้จะถูกกำจัดทิ้งไปได้ง่ายมาก
หรือเป็นเพียงข้อมูลที่ถูกส่งผ่านไปยังสมองแล้วไม่เกิดการจดจำคือข้อมูลนั้นถูกส่งผ่านออกไป
เพราะเป็นเพียงการรับรู้ของการได้ยินเท่านั้น
หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่มีความสนใจในการรับรู้นั่นเอง เช่น
นักเรียนที่ไม่สนใจเรียน
ในขณะที่คุณครูสอนนักเรียนจะนึกถึงของเล่นและสมองพิจารณาถึงของเล่นชิ้นนั้น
ขณะที่หูได้ยินเสียงคุณครูบ้างไม่ได้ยินบ้าง
จึงไม่มีการเก็บบันทึกข้อมูลที่ได้ยิน
ลักษณะข้อมูลแบบนี้เรียกว่า...กิจกรรม....
โดยสรุปคือไม่มีแบบแผนและไม่มีระบบในการจัดเก็บข้อมูลนั่นเอง
แผนผังแสดงถึงความสัมพันธ์กิจกรรมการเรียนรู้
สามารถจัดให้เป็นแผนกิจกรรมซึ่งอาจจะมีแผนการเรียนรู้ซ่อนอยู่ภายใน
และมีกระบวนการเรียนรู้ซ่อนอยู่ในแผนการเรียนรู้ซึ่งเป็นแกนกลางในการจัดการความรู้ที่มีความสำคัญที่สุด
กระบวนการเรียนรู้เป็นเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์สร้างผลผลิตและองค์ความรู้ใหม่
รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆได้ด้วยความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงสถานะและกลไก
ในขณะที่แผนการเรียนรู้หรือขบวนการเรียนรู้เป็นเพียงอุปกรณ์ให้มนุษย์เข้าใจสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่แล้วเช่นการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ
หรือติดตามสิ่งที่ผู้อื่นได้สร้างขึ้นมาแล้วด้วยการลอกเลียนแบบ
ส่วนแผนกิจกรรมเป็นการเตรียมการเพื่อดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้
และกิจกรรมเป็นแค่การชื่นชมผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ
ซึ่งได้แต่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นและใช้ประโยชน์ในนามผู้บริโภคเทคโนโลยี
การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ด้วยกระบวนการเรียนรู้จะนำไปสู่ความเข้าใจซึ้งการเปลี่ยนแปลงแห่งธรรมชาติ
สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุดต่อการสร้างเทคโนโลยีในโลกแห่งอนาคต
โครงการวิทยาศาสตร์ท้องถิ่น สกว.
สวัดดีครับ...ผมเป็นนักศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคแพร่ สาขางานเทคนิคคอมพิวเตอร์ครับ คือว่าผมมีเรื่องลำบากใจว่าคือครูของผมท่านสอนวิชาเครื่องมือวัดอิเล็กทรอนิกส์คอมฯ ท่านได้ให้ไปหามาว่า "หน่วยความจำของมนุษย์มีเท่าไหร่" ให้หาเป็น GB ครับ ผมหาทั่วแล้ว(คิดว่าน่าจะทั่ว)ก็ยังไม่พบ ผมจึงขอความช่วยเหลือมาทางนี้อะครับ...ขอบคุณครับ
พันล้านๆ GB
Найти лучшее: <a href=http://downfast.ugu.pl/qncz.html>скачать transnavicom электронные карты днепропетровска и области</a>
Найти лучшее: <a href=http://fileop.ugu.pl/zakn.html>скачать картинки на рабочий стол</a>
Найти лучшее: <a href=http://downfast.ugu.pl/mlnb.html>скачать photostage slideshow producer</a>