ตลอดระยะเวลา30ปี ที่ผมง่วนอยู่กับยกเหล็กชะแลงไปงัดหาความรู้ โดยเฉพาะความรู้ในตัวคน รู้ทั้งรู้ว่าในตัวผู้รู้มีความรู้ที่เราต้องการมากมาย แต่ก็ติดขัดด้วยระบบและวิธีที่จะต่อท่อความรู้มาใช้ ปัญหาอยู่ที่ส่วนต่างของความรู้ ศักยภาพของการรับรู้ฯลฯ ซึ่งจะต้องมีการเตรียมความพร้อมทั้ง2ฝ่าย ความพร้อมนี้ยังทำไม่ได้จึงเป็นปัญหาเรื่อยมา ความรู้จึงขยักขย่อน ทำให้การรับความรู้เป็นไปด้วยความยากลำบาก
ในช่วงที่ ศ.เสน่ห์ จามริก ลงพื้นที่บุรีรัมย์เมื่อ10ปีที่แล้ว ท่านพยายามนำนักวิชาการชั้นหัวกะทิของประเทศ ในหลายสาขาลงมาหลายครั้งหลายครา ได้จัดบรรยากาศพูดคุยกันทั้งที่เป็นแบบห้องประชุมและกลางท้องทุ่ง เพื่อให้เห็นมุมมองขอบข่ายความรู้ของแต่ละฝ่าย ยกตัวอย่างเช่น ความรู้เรื่องการเลี้ยงไก่ของชาวบ้าน กับความรู้เรื่องการเลี้ยงไก่ของนักวิชาการอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ลองมาคุยกันดูสิว่าจะจูนกันได้ไหม ถ้าชาวบ้านเห็นภาพความรู้ทั้ง2ส่วนนี้จะไปก่อให้เกิดอะไรบ้าง จะกระตุ้นให้ความสนใจใคร่เรียนรู้กลับคืนมาได้หรือไม่
ในระยะต่อมาสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม โดยศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ได้จัดในลักษณะคล้ายกัน พยายามชักชวนอาจารย์นักวิชาการในมหาวิทยาลัยลงพื้นที่ เพื่อให้ไปเห็นสภาพจริงว่าเพื่อนร่วมแผ่นดินมีความเป็นอยู่อย่างไร เมื่อเห็นแล้วในฐานะนักวิชาการนักวิจัย คิดโจทย์อะไรที่จะไปตั้งฐานการค้นคว้าของตนเองได้บ้าง
แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้น้ำได้เนื้ออะไรนัก เพราะมาเห็นแล้วก็เอาตัวเองเป็นตัวตั้ง ยกเรื่องเวลา หน้าที่การงาน ความกระหายใคร่ทำ ไม่มีพลังใจพอที่จะเดินหน้าได้ สิ่งที่ท่านอาวุโสต้องการให้เห็นให้เกิดจึงยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ทั้งๆที่อาจารย์ที่ลงมาต่างก็มีใจที่จะคิดจะทำ แต่มันมีเยื้อใยอะไรบางอย่างรัดรุมเอาไว้ ทำให้กระบวนการเชื่อมโยงวิชาการลงสู่ภาคชุมชนยังไม่เกิดขึ้น
สุดท้ายก็ไปหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาค้นคว้าในแบบเดิม ซึ่งสะดวกกว่า เหมาะกว่า ถนัดและเคยชินกว่า สร้างโลกวิชาการเฉพาะส่วนของตนเอง สังคมแห่งการเรียนรู้ที่ใครๆพูดถึง จึงมีสภาพสมัยพ่อขุนรามคำแหง ใครใคร่วิจัย ก็ทำวิจัย แต่ไม่ได้เชื่อมโยงกับใคร ต่างคนต่างเรียน พลังความรู้ที่จะนำมากู้ชาติมันจึงไม่เกิดขึ้น ต่างคนต่างห่างเหินกันออกไปเรื่อยๆ นักวิชาการไปทาง ชาวบ้านไปทาง ถ้าถูกบีบบังคับ ก็ทำไปแบบแกนๆ จนกระทั้งอาจารย์ประพนธ์ ผาสุกยืด ตบะแตก ประกาศกลางวงในการอบรมโครงการ กพร.ครั้งที่ 3
ถามว่าแล้วจะทำดีละ
คนที่ตอบปัญหานี้ มี 2 ท่าน
คืออาจารย์ กฤษณา สำเร็จ กับ อาจารย์ประพนธ์ ผาสุกยืด
อาจารย์ติ๋ว ได้ชี้ทางสว่างไสวให้ผมมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยคำว่า..
นาง กฤษณา สำเร็จ
โอ...แม่เจ้า
นึกภาพออกเลยใช่ไหมครับ ว่าเรื่องที่ตั้งใจจะไปจะทำมันอภิปัญหาแค่ไหนสำหรับเธอ แต่ก็ยังไม่ถอดใจ ยังคิดๆๆจนวินาทีสุดท้าย
อีกท่านหนึ่ง ขออนุญาตเอามาขยายความ ท่านเป็นนักวิชาการที่จุดยืน จุดนั่ง จุดนอน ของตนเอง ไม่ยอมลอยไปตามกระแสน้ำเน่า ท่านเล่าไว้ได้ดีเหลือเกิน ดังนี้ครับ..
เวทีในวันนี้ถึงหลายคนจะบอกว่าดี แต่จากคำถามที่ได้รับจากผู้เข้าร่วม ผมมองว่าค่อนข้างจะออกมาในแนวการสอบถามข้อมูลข่าวสาร (Information) มากกว่าที่จะเป็นการจัดการความรู้ นอกจากนั้นก็ยังมีการบ่นบ้าง แชร์ความอึดอัดบ้างกันตามธรรมเนียม ฟังไปๆ ผมเองก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า “. . .แล้วมันเป็นการจัดการความรู้ตรงไหนกันเนี้ย?”
ตอนก่อนจบผมเลยตัดสินใจประกาศไปกลางเวทีว่าผมคงจะทำหน้าที่ดำเนินรายการครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะผมไม่เชื่อในวิธีการเชิญผู้เข้าร่วมอย่างสามครั้งที่ผ่านมา ตลอดจนเห็นว่าสิ่งที่ สคส. เสนอแนะไป เช่น ให้ผู้ที่เข้าร่วมเขียนตอบแบบสอบถามระบุสิ่งที่หน่วยงานของเขาทำได้ดีมาก่อน เพื่อที่ทางเราจะได้รู้ว่า “ทุนเดิม” ของแต่ละที่นั้นอยู่ตรงไหน จะได้ดึงให้เข้ามามีส่วนร่วมได้ดียิ่งขึ้น แต่ข้อแนะนำเหล่านี้ก็ไม่มีการตอบรับแต่ประการใด ก็เลยต้องถอดใจ say บ๊ายบาย แค่ครั้งที่ 3 นี้นะครับ
จุดประกายตรงนี้ละครับ ที่เป็นจุดคลื๊กให้เห็นว่าจะเดินหน้าในการเอาตัวตนคนที่เป็นนักวิชาการทำงานกันอย่างจริงจังอย่างไร ซึ่งก็คงไม่ใช่จะทำแบบทื่อๆตรงๆได้เลย คงจะไม่หนีการทำแบบอิงระบบที่ชาวBloggerกำลังทำกันอยู่ กลุ่มอื่นถ้าจะพัฒนาเรื่องนี้คงจะต้องร่วมกันคิดร่วมกันทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติและเปี่ยมสุข ทั้งคนให้และคนรับ ลองดูนะครับ
ท่านละครับมีความคิดเห็นเช่นไร ช่วยแย้มบอกสักหน่อยได้ไหมคนดี
สวัสดีค่ะ....พ่อครูขา...
มีทางเดียวค่ะ... "ให้นักวิชาการเลิกคิดว่าตนเองเป็นนักวิชาการ"... เท่านี่เองค่ะ...แลวความรู้ที่ฝังลึกอยู่จะตื้นขึ้นมาและนำออกมาใช้ได้มากๆ...เลยค่ะ
(^_____^)
ขอตอบแบบกำปั้นทุบดิน...เพื่อให้ดินนี้นุ่มขึ้นและอ่อนลงค่ะ...
กะปุ๋มค่ะ
ทุบดิน ได้ดิน ทุบอะไรได้อันนั้น
ขอบคุณที่ช่วยให้ความเห็น
แต่จะให้นักวิชาการเลิกคิดว่าตนเองป็นนักวิชการนี่เขาจะยอมรึครับ
ขออีก ขอความเห็นอีก อิอิ ชอบจังเลย
นั่นสิคะ...พ่อครูขา...
แค่ให้เลิกคิดว่า "เราเป็นเรา" นั้นยากหยั่งแท้...
แต่เร้า...ก็ชอบนักชอบหนา...ชอบแบกความเป็นเราเอาไว้...ท้ายสุดจะทำอะไรสักอย่าง...จึงต้องแบกความเป็นเราไปด้วย...
....
(^______^)
กะปุ๋ม
ท่านท่านพี่สุทธินันท์
ข้อสรุป ครึ่งแรก
กราบสวัสดีครับท่านครูและญาติมิตรทุกท่านครับ
พ่อครูขา...กะปุ๋มมาขานรับค่ะ
ณ ตอนนี้...คงต้องเร่ง...ต่อจิ๊กซอร์...ให้เร็วขึ้น
ตอนนี้พอมองเห็นภาพรางๆ...ของบางสิ่งบางอย่าง...
อยากให้พ่อรักษาสุขภาพ...เพื่อ...เป้าหมาย...บางสิ่งบางอย่างอันก่อคุณประโยชน์ต่อ "โลกมนุษย์เรา" นะคะ...
(^____^)
ด้วยความนับถือค่ะ
กะปุ๋ม
กราบพ่อครูบาฯ.....ด้วยความเคารพรักยิ่งค่ะ
(ไม่ทราบว่าความคิดเห็นของหนูจะช่วยพ่อครูได้บ้างไหม๊ค่ะ)
......ด้วยความเคารพรักยิ่งอย่างจริงใจค่ะ.....ลูกติ๋ว.
ไม่ได้ทุกข์อะไรหรอก เข้ใจดีว่าอาจารย์ติ๋วเขียนแบบมีลูกเล่นแบบช็อกฮาไง ชอบมาก จึงขออนญาตเอามาเอยถึงด้วยความปลื้ม ที่ทีมเราฝีมือร้ายมากในการหักมุมเสนอ นึกภาพออกเลยว่าไม่ฮาไม่ได้แล้ว
ความเห็นที่ให้มาน่าสนใจมาก รับพิจาณาป็นพิเศษ มีอะไรเพิ่เติมก็ส่มอีกนะครับ อ่านยังไม่อิ่ม เป็นโรคหิวความคิดความรู้อย่างแรง
ขออีก ขออีก มากรุงเทพเที่ยวนี้มีอะไรไปฝากหวานใจบ้างละ อิอิ
..เอาค่ะ..เอา...พ่อครูอยากได้...จัดห้ายค่ะ....
มาแล้วครับ นิสิตหนุ่มไฟแรง มาเติมความหลากหลายของอายุความคิดได้อย่างน่ารับฟัง
ทำยังไงหนา อาจารย์จะได้ยินเสียงสะท้อนของลูกศิษย์คนนี้บ้าง
รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดีนะบีเวอร์ เธอเป็นอนาคตของแผ่นดินนี้
คนดอย มาขอแจมด้วยคน จ้า!!
การตั้งเรื่องนี้ของพ่อ งานนี้ต้องคอยติดตามตอนต่อไป หากเราคอยคลิกความคิดไปเรื่อยๆ อาจจะได้ทางออกที่หลากหลาย เหมาะสมกับคนที่หลากหลายเช่นกัน
ผมอยากชวนมองในเรื่องการมุ่งพัฒนาเป็นหลัก
สำหรับส่วนตัวคิดอยู่เสมอว่า ความเข้าใจธรรมชาติ รู้จักธรรมชาติ เป็นพื้นฐานที่สำคัญ แต่ความลึกของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ซึ่งก็ต้องเข้าใจธรรมชาติซึ่งกันและกันเช่นกัน
อีกเรื่องคือการเคารพการเป็นมนุษย์ มนุษย์คือสิ่งที่มีชีวิต อยู่กับธรรมชาติ การอยู่กับวัตถุจนมากเกินไป สัญชาติญานมันจะค่อยๆเหือดหายไป บอกว่ามีเหตุผล แต่มองไม่เห็นความเร่งรีบ อยู่กับบริโภคนิยม
ทั้งหมดทั้งหลาย การทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผมคิดว่า เครื่องมือ มุข เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคิดสร้าง แต่หากอยู่ในกรอบเดิมๆ ไม่ลองหาเวที สนามซ้อม แบบเฮฮาศาสตร์บ้าง ก็คงไม่เจอละครับ
ทั้งหมดนี้สิ่งที่เป็นแก่นสำคัญ เราต้องหลุดจากกรอบความคิดเดิมๆ สร้างพลังศรัทธาของตนเองให้จงได้ แกะความเป็นตัวตน มีจุดยืน ในเป้าหมายของการดำรงชีวิต สังเคราะห์ตนเองได้อย่างถ่องแท้ และคิดอย่างเชื่อมโยง
ดูเป็นหลักการไปไหมเนี่ย แต่เห็นเป็นเรื่องซีเรียส ก็อาจจะซีเครียดไปหน่อยนะครับ
ลูกหว้าลองเขียน่าออกมาเหมือนอาจารย์ติ๋วน่าจะดี ในมุมที่จะทำใภควิชา หรือกลุ่มอาจารย์ ว่าจะขยับไปหาชุมชนอย่างไร (ออกแบบ ได้หลายๆบบ)
สมาชิกปูนฯคงไปถึงค่ำๆ
ที่จริงงานพันาบุคคลปูนนำร่องอยู่แล้ว แต่ระบบราชการอุ้ยอ้าย ยังทำแบบไปเชิญคนไม่รู้ มาพูดให้คนไม่รู้ฟัง มันก็เลยไม่รู้ ว่าไม่รู้เพราะอะไร แต่ก็ยังทำแบบไม่ได้หวังความรู้จริงๆ เหมือนลิงหลอกเจ้า นั่นแหละ
เวทีสร้างบทเรียน ด้วยกระบวนการลงมือทำจริง ได้ประจักษ์ชัดเจน มีเสน่ห์มากจริงๆครับ เพียงแต่ต้องล่อด้วยความเนียน ทำเป็นสนามซ้อม แต่ขอให้เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ต้องหาทางเอาตัวรอด แต่พอยั่วให้ลงทำได้ และคอยถอดสิ่งที่เรียนรู้กัน ต่อยอด และเกิดการพัฒนาซ้ำแล้วซ้ำอีกให้เป็นทักษะ และยั่งยืนที่สุดครับ ซึ่งเป็นที่มาขอโครงการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นี่เอง!!!
ทั้งหมดนี้ผมว่าที่สวนป่า สร้างให้ประจักษ์ชัดกระบวนการนี้จริงๆครับ
โครงการทัวร์เฮฮา3 ของท่าน กำลังสร้างความปั่นป่วนทั่วราชอาณาจักร
มะปรางเปี้ยว ก็อยากมา
ซูซาน ก็งานทับโผล่มาให้เห็นเฉพาะ2ลูกกะตา
อาจารย์ติ๋วก็แบกโลกไว้เต็มบ่า
เป็นไปได้ไหมครับถ้าเราจะเลื่อนวันออกไป ส่วนจะเป็นวันไหนนั้น ลองซาวเสียงสมาชิกดู เรียนมาเพื่อหารือนะครับ อยากให้ครบฮาเหมือนที่เชียงใหม่น่ะครับ
ผมเขียน บันทึก http://gotoknow.org/blog/ariyachon/122897 นี้ โดย ยังไม่ได้ อ่าน ของ ท่าน ดร ประพนธ์ ที่ ประกาศไม่ไปสอน และ ก็ไม่ได้อ่าน บันทึกนี้ ของ พ่อ ฯ เลย
ไม่รู้ว่า เรื่องมัน จะเอ๋ กันได้อย่างไง
ลองอ่าน บันทึก http://gotoknow.org/blog/ariyachon/122897 นี้ ดู อาจจะช่วยพวกเราได้บ้าง
ลอง ถอดระหัส สิ่งที่ หน่วยงานต่างๆ ชุมชนต่างๆ เขาทำ อย่าไป ดูแค่ "ผล" ที่เขาทำ ดู "กระบวนการคิด แนวคิด จิตวิทยาที่ใช้ การฝ่าอุปสรรคต่างๆ เขาทำอย่างไร"
ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ ไม่ชอบ ถอดระหัสแค่ Success stories ผมชอบ Failure stories ด้วย (อ่าน Dave Snowden จะพบว่า ที่ล้มเหลวนั้น มีสำเร็จ เป็นบทเรียนมากมาย คนล้มเหลวได้พูด เท่ากับสร้างขวัญกำลังใจให้ด้วย .... )
ลองไป ดู VCD แพรกหนามแดง ให้ซึ้งๆ ทำ workshop แกะ ถอดระหัส หรือ ไปเอา ตัวจริง พี่ๆ ทั้งหลาย ที่นั้นมาถาม ก็ได้
ผมมองว่า ทุกคน หวังดี จริงใจ แต่ .....
ขาดมุข ลูกเล่น อุปมาไปจีบสาว แล้ว บอกสาวตรงๆว่า "เป็นเมียพี่เถอะนะ" สาวๆ (ข้าราชการ) ก็ ช็อค ทั้งเกลียด ทั้งกลัว ..... การสร้างบรรยากาศ การ build อารมณ์สำคัญมากๆ
ลองอ่าน Action learning อ่าน Constructionism learning อ่าน Team academy
ลองอ่าน Leading with Questions ของ Michael Marquardt
หลายคนไม่เปลี่ยนแปลง เพราะ
อยู่ในโหมดที่ไม่ปลอดภัย กลัวนาย กลัวพลาด ฯลฯ เขาไม่เคย ได้อยู่ใน "เวที" ที่เอื้อต่อการพูด ที่ปลอดภัย
อยากให้อ่าน สุนทรียสนทนา ของท่านอาจารย์วิศิษย์ วังวิญญู .... เว็ป วงน้ำชา.com wongnumcha.com จะช่วยได้มาก
นักวิชาการ มีจุดด้อย คือ อัตตา หลงตนเอง รู้ศาสตร์เดียวของตน ขาดจิตวิทยา ขาดความเข้าใจในคนอื่น ฯลฯ แต่เราก็ แก้ได้ ด้วย Strawberry หรือ TL ย่อมาจาก Total Listening เช่น การใช้ ปิยวาจา อย่างที่ ครูบาฯ ใช้บ่อยๆ
คนที่มีอาชีพ ตรวจประเมิน จะโดนธาตุไฟ อัตตาแทรกได้ง่ายๆ เราก็ต้องเข้าใจ เขาโดย พลังด้านมืด ครอบงำ ..... ผมเอง ก็เคยโดน เดี๋ยวนี้ ไม่เอาแล้ว อาชีพประเมิน
ตั้งใจมาก กฏเกณฑ์มาก คาดหวังมาก ฯลฯ ผล ก็คือ จิตเกิดอาการ เป็นอกุศลจิต
ตราบใด ที่พวกเรายังแยก จิต สติ ความคิดไม่ได้ ทำอะไร ก็ออกมา แบบเนี้ยๆๆ อิ อิ
...... รายงานสดตรง จาก ป่าช้า วัดป่า ฯ ขอนแก่น
คืนนี้2000 น ทีวี KTV จะมาถ่ายทำ การสอนของผมในป่าช้า ให้พวกปูนฯ แก่งคอย
อยากให้ พวกเรา ได้มากันทุกคนเลย ... จะเตรียมหลุมเด็ดๆไว้ให้ แบบ one on one เลย
ขอบคุณ ครูบา ฯ ครับ
คนที่อยู่ในโหมดเอาตัวรอด (Survival mode) ก็ต้องใช้ ศรีธนชัยศาสตร์ มันเป็นเรื่องปกติ .....
ฝากข้อคิด เล่นๆ
ตอนนี้ คงไม่ต้องคิดจะมาแก้ไขเรื่องนี้แล้ว อีกไม่นาน GLobal warming ก็ทำ น้ำท่วมตายกันเป็นเบือ เป็นวาระวิกฤตแห่งชาติอันดับหนึ่งแล้ว
l-สบายๆ ยังไงก็ได้ คือ ไทยแท้ๆ
พี่ไทยทำเล่นได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะการเล่นการเมือง ผลของการเล่นมายาวนานได้ล้วงล้ำไปยังกระบวนการต่างๆของระบบราชการ
เกิดสงครามโลกทีหนึ่ง ก็ชำระปฏิฏูลทางสังคมไปทีหนึ่ง กิเลศมันก็ยุบไป
ผมยังสัยสัยว่า ร่องรอยของปิรามิด มันหายศาสตร์ไปเฉยๆ อาจจะเกิดขึ้นเพราะมีน้ำท่วมโลกหรือเปล่า สาเหตุมันคงไม่เหมือนเรื่องโลกร้อน อาจจะเป็นเพราะอะไรนึกไม่ออก กึ๋นจำกัด วานพระอาจารย์ชี้แนะ
เกิดเพราะอุกาบาตชนโลก
เกิดเพราะโรค
เกิดเพราะแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดอย่างรุนแรง
เกิดน้ำท่วมอย่างที่อาจารย์บอกว่ามันจะมาอีกแล้ว
เราปลูกไผ่เยอะๆดีไหมอาจารย์ พอน้ำท่วมโลกเราก็ตัดไผ่มาทำแพ พวกฝรั่งอาจจะทำแพพาลสติก พวกเราใช้แพไม้
ผมจะทำแพใหญ่ๆ ชวนพวกเรามาอยู่อาศัย นั่งคุยกัน ทำใจ ก่อนตายนัดกันหัวเราะ แบบเฮฮาศาสตร์ ยังไงละครับ
อารยธรรม แบบ โลกๆ เต็มไปด้วยกิเลส พังมาตลอดยุค ตลอดสมัยครับ พ่อครู ฯ
กรีก โรมัน ที่รุ่งเรือง ล่มสลาย ก็เพราะ นักปราชญ์วิชาการ นี่แหละ
โรมแตก เพราะ คนเถื่อน ..... แต่ จริงๆไม่เถื่อ่นเลย พวกเขา ไม่แตกคอกันเหมือนนักวิชาการชาวโรม
ในสามก๊ก อ้วนเสี้ยว มีที่ปรึกษา นักวิชาการ ๓๐ คน แต่ ก็แพ้ โจโฉ ที่มีที่ปรึกษาคือ กุยแก ..... พอโจโฉ ชนะอ้วนเสี้ยว นักวิชาการที่หลาย ก็ขอมาทำงานกับโจโฉ แต่โจโฉ ก็ประหาร นักวิชาการทั้ง ๓๐ คนนี้ทิ้ง เพราะ มัวแต่ ทฤษฎี พูดมาก ฯลฯ เป็นตัวการทำให้นายแพ้ ยังหน้าด้านมาหานายใหม่อีกหรือ !
อิยิปต์ สมัยก่อน ผมไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร แต่ ก็คงหนีไม่พ้น ความไม่สามัคคีนี่เอง กิเลสมาที่ใดมาก ทีนั่นก็ล้มสลายเร็ว เจอ โรคระบาด น้ำท่วมโลก ข้าศึก ฯลฯ
น้ำจะท่วม กรุงเทพ ในอีกไม่กี่ปี ยัง "ไม่ขยับ" จะทำอะไรกันเลย
พม่าสะอีก ย้ายเมืองหลวงขึ้นเหนือไปแล้ว
ผมคงต้อง ปลูกไผ่ อย่าง พ่อ ฯ ว่านั้นแหละ
ที่ พ่อ ฯ ว่า มาด้านบน มัน ตรงกันข้ามกับ แนวคิดใน หนังสือ Good to great เลยครับ ( เป็นหนังสือ ที่ ทำวิจัยให้เห็นว่า องค์กรใด จะ ยืนยาว มั่นคง ต้องมี พฤติกรรมในองค์กร สันดานผู้บริหารอย่างไรบ้าง)
ที่ว่าตรวกันข้ามคือ เรา ชอบ One size fit all ทำแบบเหมาโหล เหมารวม เราไม่เข้าใจ "ความแตกต่าง" เราไม่เข้าใจ Complexity ของ real world เลย
ในสวิส ใน USA เขาออกกฏหมายได้เร็ว เพราะ หลายๆองค์ประกอบ เช่น ใครก็ได้ อยากเปลี่ยน กฏหมายอะไร ยื่นคำร้องได้เลย
มีการทดลองกฏหมาย เช่น ใน 50 รัฐ บางรัฐ อาจจะ OK บางรัฐ ไม่ OK ก็ ถือว่า ลองทำ ลองดูผลที่ออกมา เช่น Boston ยอมให้ ชายแต่งงานกับชายได้ แต่ รัฐอืนๆไม่ยอม และ แต่ละรัฐ ก็คอยดูว่า ที่ Boston จะวุ่นวาย หรือ ไม่วุ่นวาย
ของไทยเรา คิดกฏหมายทีไร ก็ต้อง ครอบจักรวาล ทั้งๆที่ประเทศเล็กนิดเดียว
คำตอบ ของประเทศ ผมเชื่อในหลวงฯ ครับ คือ ฝ่ายตุลาการ และ นิติบัญญัติ ต้องเข้มแข็งกว่า ฝ่ายบริหาร ..... ประชาชนได้เลือก คนดีจริงๆ มานั่ง สองฝ่ายนี้ .... ทำไม่ดี ก็กล้าลาออก ทำผิดศีลธรรมก็กล้าลาออก
สรุปแล้ว ถ้าเอา วงจร โนนากะ มาใช้ จะพบว่า นักวิชาการ อาจารย์ นักกฏหมาย (ไม่ทุกคน) เป็นแค่ มุมบนขวา (นักคิด นักใช้มทฤษฎี นีกปริยัติ) ยังไม่วนลงมา สร้างทฤษฎีเอง ยังไม่ ลองทำ ทะยอยทำ ผิดบ่อยๆเพื่อเรียนรู้ และ ที่น่าเกลียดที่สุด คือ ไม่คุยกันดีๆ ไม่คุยกับประชาชนให้มากๆ
ครูบาครับ
สองแบบที่เราคิดไวคือแบบต้นไม้หลายต้นเกิดเป็นป่า
และเซลล์รวมกันจนเป็นร่างกาย
นี่จาก KM ธรรมชาติล้วนๆครับ
รายละเอียดจะขยายในโอกาสต่อไปครับ
ขอบคุณทุกความเห็นครับ
ข้อเสนอแนะของท่านจอมยุทธ เริ่มจะเข้าเค้าไปสู่ความเป็นตัวตนของคนไทย ว่าทำไมมันถึงพัฒนาไม่ทันเขาสักที หรือดีแต่อวดโอ้อวดเก่งลมๆแล้งๆ
พอมาดูผลลัพธ์แล้วมันโหล่ยโท้ย ก็ยังว่าบอกว่าตัวเองถูกตัวเองดี ต้องจับไปแข่งกับประเทศอื่นอย่างท่านไร้กรอบว่า ถึงจะเห็นชัดว่าวิธีคิดและทำแบบThailand มันแฝงเรื่องตลกร้ายไว้เยอะ
ถ้ายังอี๋อ๋อกันอยู่อย่างนี้ ไม่รู้ว่าจะเสียหายด้วยตัวเอง หรือจมหายไปกับน้ำท่วมอย่างท่านไร้กรอบว่า
วานท่านเล่าฮูขยายความที