สวัสดีครับญาติมิตรทุกท่าน
ผมนำบทความของ ดร.เผก สิทธิพันธ์ มาฝากอีกแล้วนะครับ เพราะอ่านแล้ว ทำให้อิ่มใจ ผมได้พูดคุยกับเจ้าของข้อความด้วยเมื่อเช้าวันนี้เพื่อขอนำบทความมาเผยแพร่ เป็นอาหารสมองให้เราได้คิด แล้วค้นหาแนวทางของชีวิตที่เหลืออยู่กันมากขึ้นครับ
บุญอยู่ที่การไม่เกิด
ดร. เผก สิทธิพันธ์ รวบรวม
วันเข้าพรรษานี้ได้มีโอกาสพาครอบครัวไปเยี่ยมแม่ที่กระท่อมใน สวนมะม่วง อ. สิงหนคร จ. สงขลา อีกครั้ง ทุกครั้งที่เจอแม่ รู้สึกว่าสบายใจอย่างบอกไม่ถูก มันเย็น สบาย ไม่ค่อยเร่าร้อน การเป็นออยู่แบบ่าย อุปกรณืการใช้สอยก็ดูไม่ต้องพิถีพิถัน กระต๊อบน้อยหลังคามุงจาก มีระเบียงไว้นิดหน่อยไว้ให้ได้นั่งคุยสนทนากัน
หลังจากินข้าวเสร็จ ผมก็พูดขึ้น
“ วันนี้รู้สึกเป็นบุญเหลือกเกินทีได้มานั่งกินข้าวกันพร้อมทั้งพ่อ แม่ ปู่ ย่า คุณแม่หัวเราะร่า แล้วถามว่า
“ บุญอยู่ที่ตรงไหน หรือลูก ” แม่ถาม
“ บุญอยู่ทีความรู้สึกพอใจ สบายใจ ใช่ไหม แม่ ” ลูก ถาม แม่ตักน้ำจากหม้อดินด้วยกะลามะพร้าวที่ขัดจนดูแวววาว สะอาด แม่ดื่มน้ำเสร็จ แล้วพูดต่อ หลายคนหันมาสนใจ
“ บุญอยู่ที่การไม่เกิดนะลูก ” แม่ตอบ แต่ทุกคนที่นั่งฟังชักงง ๆ แม่ก็สาธยายต่อ
“ บุญอยู่ที่การไม่เกิด มนุษย์เราก็แปลกนะ ไปหาบุญกันเป็นการใหญ่ ไปหลายแห่ง หลายที่ บ้างก็ไปหาตามวัดวา ไปหาตามงานเทศการงานบุญโน่น บุญนี่ ถามจริง ๆ ว่าได้บุญจริงเปล่า บางคนก็กลับมาทะเลาะเบาะแว้งกัน ฉุนเฉี่ยวลูกเมีย ก่อกรรมทำเข็ญต่าง ๆ นานา มันจะได้บุญตรงไหน ดูบ้านโน่นบวชลูกก็ฆ่าวัว ฆ่าควาย ตายไปเท่าไร เพื่อนำมาเลี้ยงกัน มันได้บุญตรงไหน ยังมองไม่เห็น ได้บุญหรือเปล่า ” แม่มองหน้าพวกเราซึ่งตั้งใจฟัง และอธิบายต่อ
“ บุญอยู่ทีการไม่เกิด คนเราส่วนใหญ่จะควบคุมการเกิดไม่ได้จึงไม่มีบุญ และไม่ได้บุญ มีแต่บาปกรรมเล่นงานอยู่ตลอดเวลา ต้องทุกข์ร้อนกระวนกระวาย ไปตามแรงของกรรม ต้องทนทุกข์ทรมานใจไปตามการเกิดในแต่ละครั้ง ๆ ”
“ ใครเกิดอะไรก่อน ใครทำให้ใครเกิดล่ะย่า ” เจ้าหลานตูล ถามด้วยความสงสัย
“ เออ ! เจ้าก็สนใจฟังเหมือนกันนะการเกิดนี้ไม่ใช่การเกิดคลอดนะลูกไม่การเกิดออก จากครรภ์มารดา แต่มันการเกิดเพราะการที่จิตใจของเราขาดสติต่างหาก ” หลายคนก็ถึงบางอ้อ แต่ก็ยังไม่ค่อยแจ่มแจ้ง แม่ต้องเล่าให้ฟังต่อ
คนที่ขาดสติ จะทำให้จิตใจเกิดตลอดเวลา เมื่อมีสิ่งมารบกวนทาง หู ตา จมูก ลิ้นกาย และใจนึกคิด คนที่ขาดสติ จึงปล่อยให้จิตใจเกิดได้ตลอดเวลา เช่น เกิดรัก เกิด เกลียด เกิดโลภ เกิดการอิจฉาตาร้อน แล้วก็ปรุงแต่งไปเรื่อยทำให้จิตใจ ได้รับความทุกขเวทนา ซึ่งก็แตกต่างกันไป หากชอบก็หลงดีใจ หาก เกลียดก็หลงเคียดแค้นชิงชัง จะฆ่าให้ตายเป็นต้น นี่แหละเขาเรียกว่าจิตขาดสติ ควบคุมการเกิดไม่ได้ แล้วจะได้บุญอย่างไรล่ะ ” แม่มองเราด้วยแววตาทีมีเมตตา ใบหน้าอิ่มเอิบ ดูท่านไม่มีทุกข์กังวลใด ๆ ท่านก็พูดต่อไป
“ อยากให้ได้บุญก็อย่ามีการเกิดซิ ”
“ จะทำอย่างไร ถึงไม่ให้มีการเกิดล่ะแม่ ” บางคนเริ่มซัก
“ จิตคนเรามันฝึกได้ จิตของคนเหมือนลิง เหมือนวัว มันทำให้เชื่องได้ ทำให้มีประโยชน์กับเราได้ ตอนนี้เราอาจจะมองว่าเป็นเรื่องยาก เพราะเราไม่เคยฝึก แต่ถ้าเราฝึกจริง ๆ ก็ทำได้ มันไม่ยากเกินกว่าการฝึก ” แม่หยุดพูดนิดหนึ่ง
“ ทำจิตให้มีสติเป็นตัวควบ คุม คอยระวังสิ่งที่มากระทบมารบกวนทั้ง 6 ทาง คือ ทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายสัมผัส และทางใจ ที่นึกคิดอยู่ คือโดยสรุปว่าอย่างนี้ นะ
คอยควบคุมเมื่อรูปมากระทบทาง ตา ให้มีสติรู้ว่า มันก็แค่รูป
คอยควบคุมเมื่อเสียง มากระทบทาง หู ให้มีสติรู้ว่า มันก็แค่ เสียง
คอยควบคุมเมื่อกลิ่นมากระทบทาง จมูก ให้มีสติรู้ว่า มันก็แค่ กลิ่น
คอยควบคุมเมื่อสัมผัส เมื่อมากระทบ กาย ให้มีสติรู้ว่า ก็แค่ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง
คอยควบคุมเมื่อรส เมื่อมากระทบทาง ลิ้น ให้มีสติรู้ว่า มันก็แค่รส
คอยควบคุมเมื่อการนึกคิด เมื่อใจ มันนึกคิดก็ ให้มีสติรู้ว่า มันก็แค่การนึกคิด เป็นธรรมชาติของมันเอง ” ทุกคนงง ในคำพูดของแม่ อาจจะเป็นเพราะเป็นเรื่องที่หนัก และแปลกที่พวกเราเอง ไม่ค่อยได้สนใจกับเรื่องแบบนี้สักเท่าไร แม่พูดต่อ
“ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มาจากการที่เราถูกสิ่งต่าง ๆ ข้างนอกมากระทบ ทั้ง 6 ทางนั้นแหละ แต่เราไม่เคยสังเกต และปล่อยให้กิเลสเล่นงานเรา จนเป็นทุกข์ ลองถามตัวเองดูว่าจะมีความสุข แค่ไหนถ้าเราสามารถควบคุมสติให้อยู่กับตัวได้ สามารถควบคุมมันได้ มันจะได้บุญแค่ไหน ถ้าเราสามารถควบคุมการเกิดได้ เราจะไม่พบความกังวลใจ ความขัดข้องหมองใจ ความสับสน วุ่นวาย นอนไม่หลับ ” แม่หยุดพูด เราหลาย ๆ ยกมือสาธุ ด้วยความสบายใจ ไหว้ด้วยความเคารพในความเป็น “ แม่พระ ” ในดวงใจของลูก ๆ หลาน ๆ
ธรรมะที่แม่ได้พูดกับพวกเราไม่ว่าจะเป็นตอนใดก็ตาม ท่านใช้ภาษาง่าย ๆ แบบชาวบ้าน ๆ บางครั้งท่านก็รู้จักเปรียบเปรยให้เห็นความเป็นจริงในการปฏิบัติ เช่นการยกตัวอย่างการทำนา ซึ่งแม่ผ่านมาโดยโชกโชน แม่เล่าให้ฟังต่อ
“ การทำนาก็เป็นการปฏิบัติธรรมขั้นหนึ่งที่มี เป้าหมายที่สูงสุดคือการให้ได้ข้าว แต่การที่จะได้รวงข้าวมาเพื่อสีออกมาเป็นข้าวสารและหุงได้นั้น มันต้องมีความเพียรพยายาม เริ่มตั้งแต่การเตรียมการ เตรียมดิน เตรียมไถ เตรียมวัว เตรียมคราด ตกกล้า หว่านดำ กำจัดวัชพืช ให้ปุ๋ย พรวนดิน ให้น้ำ เก็บเกี่ยว จนกระทั่งนำไปนวด สี จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน เริ่มตั้งการมีศีล หรือที่เรียกว่าขั้นของศีลธรรมเพื่อที่จะขัดกิเลส ที่หยาบ เป็นกิเลสส่วน ของกาย และวาจา หลังจากนั้นจึงต้องนำเรื่องของการทำสมาธิ เพื่อที่จะขจัดกิเลสที่กลาง ๆ เป็นกิเลสของฝ่ายจิตที่มันฟุ้งซ่าน ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และที่สุดจึงเข้าเรื่องของการวิปัสสนากรรมฐานเพื่อให้เข้าถึงปัญญาที่จะ ขจัดกิเลสที่ละเอียด เป็นการขจัดตัวหลง ตัวงมงาย ขจัดตัวกูนั่นเอง การปฏิบัติธรรมก็ควรมีขั้นมีตอนเหมือนการทำนา รู้ว่าเวลาใดควรไถ หว่าน เวลาใดควรจะปฏิบัติในขั้นใด หรือควรจะปฏิบัติลักษณะใด หลายคน ได้แค่ศีลธรรมเพราะไม่เคยได้เรียนรู้ และไม่ยอมศึกษา ก็ติดในเรื่องของศีลธรรม ไปวัดรับศีล แล้วศีลก็หล่นเสียกลางทางอย่างนี้เป็นต้น ส่วนเรื่องของสมาธิ เรื่องของวิปัสสนา เกือบไม้ต้องพูดถึงเพราะหลายคนมองเป็นเรื่องคร่ำครึ และไม่ยอมทำความเข้าใจ ไม่ยอมปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมะจึงควรทำสม่ำเสมอตราบใดที่เรายังมีกิเลส ยังมีความโลภ โกรธ หลง เรื่องการปฏิบัติ จึงยิ่งมีความจำเป็น เป็นเงาตามตัว เพราะมิฉะนั้นเราก็จะมีแต่ความทุกข์ มองไม่เห็นสุข และไม่เห็นบุญสักที ” แม่หยุดนิดหนึ่ง
“ ลูกไม่ต้องมาเยี่ยมแม่ก็ได้ การที่ลูกมีธรรมะอยู่กับตัวก็เท่ากับลูกอยู่กับแม่แล้ว การที่ลูกไม่ทำตัวให้พ่อแม่เดือดร้อนร้อน ในเรื่องโลก ในเรื่องธรรม ก็เท่ากับลูกทำคุณให้กับพ่อแม่ และตัวเอง เราไม่ใช่การเป็นพ่อแม่ลุกกันเฉพาะสายเลือดเท่านั้น การคลอดลูกออกมาหากลูกไม่ได้ปฏิบัติตามพ่อแม่สั่งสอน ลูกคนนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่ลูกกันเพียงสายเลือดเท่านั้น แต่ไม่ได้เป็นแม่ลูกกันโดยสายแห่งธรรม ”
พวกเรากลับไปด้วยความสบายใจ รู้สึกว่าได้อะไรอีกมากมาย เป็นเรื่องที่ไม่มีในตำรา และในการเรียนการสอนทางโลก คิดอย่างเดียวทำอย่างไรถึงจะได้บุญอันสูงสุด ได้กุศลอันสูงสุด คือการทำจิตไม่ให้เกิดนั่นเอง
บทความต้นขั้ว จาก...http://phek.svec.go.th/happiess%201.htm
ขอแสดงความนับถือ
เม้ง สมพร ช่วยอาีรีย์
สวัสดีครับคุณครูเสือ
สวัสดีครับน้องซาน
พี่เดาเอาว่า...แม่ของเขาต้องเป็นแม่ชี...หรือไม่ก็เข้าขั้นภิกษุณี....55555
การธรรมนา...ที่น่าอ้ศจรรย์เช่นนั้น...หากไม่มีบารมีธรรม...ไหนเลยชาวนาทั่วไปจะเห็นแสงสว่างแห่งทำได้....
ช่างน่าเสียดาย...ชาวบ้านสมัยนี้ไม่ชอบธรรมนารอแต่ว่าจะคอยให้มีการเลือกตั้ง...จะได้เลือกเอาสิ่งที่ได้มาง่าย ๆ ... 55555 ...
รอน้องเม้งกลับมา...ธรรมนาที่บ้านเมืองเราอยู่นะ...อิอิ
เห็นด้วยค่ะน้องเม้ง...
ถ้าไม่ต้องมาเกิดอีก..จะมีบุญมากเลย
ขอบคุณที่นำมาเผื่อแผ่กันนะคะ ^ ^
ขอบคุณ ครับ กับเรื่องราวที่น่าสนใจที่ได้นำเสนอไป
แต่การที่จะหยุดการเวียนวายตายเกิดนั้นให้เดินในทางปฏิบัติ หรือธรรมที่พระพุทธทรงบรรลุมาแล้วเป็นทางที่ถูกต้องแล้วครับ ลองปฏิบัติดูนะครับทางแห่งนิพพาน คือ
กรรมบถ 10 |
กรรมบถ 10 มีอะไรบ้าง กรรมบถ 10 ทางกายมี 3 คือ |
สวัสดีครับ อ.เม้ง
เป็นหนึ่งในบันทึกของอาจารย์ที่ฉีกออกไปนะครับ มาแนวธรรมซะชัดเลย
ผมเข้าใจมากขึ้นครับเรื่องการเกิด คนเราเกิดและดับอยู่ตลอดเวลาครับ
ก็ในขณะที่หลับไปเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะได้ตื่นมาอีกหรือเปล่า นั่นก็เป็นการตายอย่างนึงนะครับ
ผมรู้สึกโชคดีครับที่ได้ตื่นมามีชีวิต แต่ก็มีสติอยู่ก่อนนอนเป็นเนือง ๆ ว่า หากเราตายไปเลยก็น่าจะเป็นการเจริญสติในสิ่งที่ดี ก่อนจะหลับจึงน่าจะคิดว่าในโลกนี้ล้วนไม่จีรัง เราจะหลับอีกวันและอาจตายไปเลย สิ่งที่อยู่ขอให้อยู่เป็นสุข สิ่งที่ดับแล้วก็เป็นสุขเช่นกัน
ที่จริงการสวดมนต์และแผ่เมตตาก่อนนอนจึงเป็นกุศโลบายที่ดีเยี่ยม
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับคุณเม้ง
สวัสดีครับพี่สอน
สวัสดีครับพี่ตุ๋ย
สวัสดีครับคุณพลนิกรณ์
สวัสดีครับคุณมิตร
สวัสดีครับคุณข้ามสีทันดร