ยายบัว เราพบหญิงกลางคนที่ผอมบาง พร้อมกับแผลที่เน่าเฟะที่เท้าในสถานีอนามัยในเครือข่ายของเรา จากการที่เราลงไปติดตามนิเทศงาน กลางปีงบประมาณ 2548 เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยบอกเล่าให้เราฟังว่า ยายบัวเป็นเบาหวานหลายปี ได้รับยาไม่ต่อเนื่อง 3-4 เดือนมานี้ยายบัวมีแผลที่เท้าขวา ลุกลามอย่างรวดเร็ว ไปนอนโรงพยาบาลหลายคืน แพทย์เจ้าของไข้แนะนำให้ตัดขา แต่ยายบัวไม่ยอมขอหมอกลับบ้าน แล้วมาทำแผลที่สถานีอนามัย แผลมีสภาพแย่ลงทุกวันที่สถานีอนามัยก็พยายามทำแผลให้ยายบัวเท่าที่ทำได้ แต่สิ่งสำคัญคือ ยายบัวไม่ได้รับยาเบาหวานจากโรงพยาบาลอีกเลย เพราะไม่กล้ากลับไปโรงพยาบาลกลัวหมอตัดขา
เรามองยายบัวด้วยหลากหลายความรู้สึก แม้ขณะนั้นเราคือผู้นิเทศจากโรงพยาบาล เราฐานะผู้จัดทีมสหสาชาลงไปทำงานขยายบริการสุขภาพสู่ชุมชน เราอาสาน้องช่วยทำแผลให้ยายบัว แล้วค่อย ๆ สอบถามความเป็นอยู่ของยายบัว ยายบัวมีสามี มีลูกที่ต้องดูแล ช่วยกันทำมาหากิน ถ้ายายบัวถูกตัดขา “ ใครจะทำนาเลี้ยงลูกฉันละหมอ ” เสียงอันอ่อนล้าบอกเล่าให้เราฟัง
ภาพยายบัว ติดตรึงตา ตรึงใจ ทำให้สมองของเราหนักอึ้ง ต่อมาเราขอให้น้อง ๆ ที่สถานีอนามัยช่วยอธิบายพายายบัวมาโรงพยาบาลจนได้ ข้อให้ได้รับยาและทำแผลอย่างต่อเนื่องก่อน แม้ยายบัวจะยังไม่ยอมตัดขาก็ตาม ขั้นตอนต่อมา เราประสานทีมงานโรงพยาบาลและสถานีอนามัยส่งทีมออกบริการผู้ป่วยโรคเรื้อรังเป็นลักษณะคลินิกเคลื่อนที่ เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อจะบริการผู้ป่วยความดันโลหิตสูงและเบาหวานให้ได้รับยาอย่างต่อเนื่องในชุมชนของตนเองแบบใกล้บ้าน ใกล้ใจ ทีมงานประกอบด้วยแพทย์ เภสัช พยาบาลวิชาชีพ และยา
ยายบัวอยู่โรงพยาบาลไม่นานก็ขอแพทย์กลับบ้านเช่นเคย แต่ครั้งนี้ยายบัวสามารถมารับยาที่สถานีอนามัยทุกเดือน มาทำแผลทุกวัน สิ่งมหัศจรรย์เหนือความคาดหวังแผลที่เท้ายายบัวดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ แผลที่เท้ายายบัวหายสนิท ยังมารับยากับเราทุกเดือนจนกระทั่งทุกวันนี้
ระบบสุขภาพอดีตที่ผ่านมา ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของคนไทยอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ ระบบบริการปฐมภูมิกำลังจะคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ควรได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียมและเสมอภาค เราเชื่อว่าคนอย่างยายบัว ยังมีอีกมากมาย ที่ซ่อนเร้นอยู่ตามรากหญ้า ด้อยโอกาสและด้อยศักดิ์ศรี
สดใส ผู้บันทึก