เฮ้อ! นึกว่าวันนี้จะไม่มีโอกาสเข้ามาเขียน Blog เสียแล้ว เพราะ ตอนบ่ายยังอยู่ที่เชียงรายอยู่เลย กว่าจะออกจากเชียงรายก็บ่าย 4 โมงเย็นแล้ว มาถึงสนามบินเชียงใหม่ (เพื่อต่อรถกลับ) ก็ทุ่มกว่าๆ กว่าจะมาถึงลำปางเกือบ 3 ทุ่ม คิดว่าร้านอินเตอร์เน็ตจะปิดแล้ว แต่ยังโชคดีที่วันนีร้านปิดช้าก็เลยได้เข้ามาเขียนตามที่ตั้งใจไว้
ความจริงมีเรื่องเล่ามากมายที่คั่งค้างเอาไว้เห็นจะมีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ
1.เรื่องการจัดเวทีประชาคมตำบลละแสน เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2549 ที่ผ่านมา และ
2.เรื่องการเตรียมการประชุมเครือข่ายสัญจรในวันที่ 22 มกราคม ที่จะถึงนี้
แต่ขอยกยอดไปก่อนก็แล้วกันนะคะ เนื่องจากวันนี้อยากจะเล่าเรื่องเก็บตกจากการที่ได้พูดคุยกับคุณภีมและอาจารย์ตุ้มในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาให้ฟัง คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับนักวิจัยที่ทำงานวิจัย KM บ้างไม่มากก็น้อยค่ะ ความจริงแล้วเราพูดคุยกันมากมาย นับไม่ถ้วน มากซะจนผู้วิจัยต้องยอมรับเลยว่าจำไม่ได้ทั้งหมด แต่ยังไงก็จะขอเล่าเรื่องที่จำได้ก็แล้วกันนะคะ เพราะ เรื่องที่จำไม่ได้นั้นอาจแทรกซึมเข้าไปในสมองและความคิดของผู้วิจัยแล้วก็ได้ จึงทำให้ผู้วิจัยจำไม่ได้ว่ามีเนื้อหาสาระอะไรบ้าง
สิ่งที่ได้จากการพูดคุยกับปราชญ์ทั้ง 2 ท่านนั้น ผู้วิจัยคิดว่าความจริงทั้งสองท่านก็พูดไปในแนวทางเดียวกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันตรงที่ผู้วิจัยเห็นว่าคุณภีมนั้นจะเน้นไปที่การทำงานแบบเป็นกลไก เป็นระบบ แต่อาจารย์ตุ้มนั้นเหมือนจะมีเรื่องของจิตใจแทรกอยู่ด้วยตลอดเวลา ทำให้ผู้วิจัยเห็นว่าในการทำงาน KM นั้นนักวิจัยต้องทำทั้ง 2 อย่างนี้ไปพร้อมๆกัน
ข้อคิดที่ได้จากคุณภีมมีมากมาย แต่สิ่งที่ผู้วิจัยได้รับและเป็นเสมือนเครื่องเตือนสติที่สำคัญในการทำงาน KM (รวมทั้งงานอื่นได้วย) ก็คือ
1.เราต้องรู้จักการทำงานเป็นทีม
2.ต้องรู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเองที่ชัดเจน ต้องเกื้อหนุนหรือเอื้ออำนวยไปด้วยกัน
3.(ข้อนี้สารภาพว่าจำไม่ค่อยได้แล้วค่ะ) รู้สึกว่าจะเกี่ยวข้องกับการจัดกระบวนการทำงานที่ต้องมีความชัดเจน
ข้อคิดทั้ง 3 ข้อนี้ ผู้วิจัยเห็นว่ามีความสำคัญมากทั้ง 3 ข้อ เพราะ เราทำงานวิจัยกันในอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ใช่รูปแบบเดิมที่เราเคยทำ เดิมเวลานักวิจัยต้องการข้อมูลก็ไปสัมภาษณ์ ลงพื้นที่บ้างเล็กน้อย แต่การทำงานวิจัย KM มันมีอะไรมากไปกว่านั้น ทีมของเราต้องเดินเคียงคู่กันไป เราใกล้ชิดกันมากขึ้น เห็นกันมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าโอกาสที่จะกระทบกระทั่งกันย่อมมีมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น เราต้องรู้จักการให้อภัย ต้องมองคนที่ทำงานกับเราว่าเป็นกัลยาณมิตร
นอกจากนี้แล้วเรายังต้องรู้จักบทบาทหน้าที่ของเราด้วยว่าเรามีบทบาทหลักอะไร แน่นอนว่าเมื่อเราก้าวมาทำงาน KM บทบาทของเรามีมากมาย เป็นทั้งคุณวิจัย คุณเอื้อ คุณอำนวย คุณประสาน คุณลิขิต (คิดว่ายังมีอีกหลายคุณค่ะ แต่ตอนนี้คิดได้แค่นี้ค่ะ) ผู้วิจัยยอมรับว่าตัวเองนั้นถึงแม้จะเป็นคนใจร้อน (ปากไวบ้างในบางครั้ง) แต่ลึกๆแล้วก็ละเอียดอ่อนในเรื่องพวกนี้เหมือนกัน จำได้ว่าตอนที่ทำโครงการวิจัยเดือนแรกๆ ทำอะไรไม่ค่อยถูก ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร จะทำอันนี้ก็คิด จะทำอันนั้นก็คิด งานจึงไม่ค่อยเดินสักเท่าไหร่ แต่พอไม่ค่อยคิดอะไร บางครั้งก็อาจทำเกินบทบาทของเราไปบ้าง (โดยไม่ตั้งใจ) ทำให้เกิดเรื่องไม่สบายใจต่อกันในทีมได้ หลายๆครั้งผู้วิจัยยอมรับว่ารู้สึกสับสนเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่พอได้คุยกับคุณภีมและอาจารย์ตุ้มแล้ว ทำให้ผู้วิจัยได้ข้อคิดข้อหนึ่งว่าต่อไปเวลาจะทำอะไรเราต้องดูสถานการณ์ก่อน ต้องคิดให้มากขึ้น (แต่ไม่ใช่คิดแบบยำคิดยำทำ หรือแบบวิตกจริตนะคะ) ต้องพิจารณาดูว่าในสถานการณ์แบบนี้บทบาทที่โดดเด่นของเราคืออะไร ผู้วิจัยเชื่อว่าหากสถานการณ์เปลี่ยน บทบาทก็เปลี่ยนตามไปด้วย
วันนี้ขอเล่าแค่นี้ก่อนนะคะ เพราะ ร้านจะปิดแล้ว ถ้าพรุ่งนี้มีเวลาจะเข้ามาเล่าให้ฟังต่อค่ะ
ไม่มีความเห็น