และผมก็ได้พูดถึงเรื่องกระแสเงินสดจากการดำเนินงานและกระแสเงินสดจากการลงทุนไปแล้ว ตอนนี้ จะมาพูดถึงเรื่องกระแสเงินสดจากการจัดหาเงินครับ
(หมายเหตุ ดูความตอนที่ 1 และ 2 ได้ที่นี่ http://gotoknow.org/blog/wachirachai/120409 และ http://gotoknow.org/blog/wachirachai/120663)
ในแง่ของบริษัท การจัดหาเงินเป็นเรื่องสำคัญมากครับ แล้วก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่บริษัทเริ่มก่อกำเนิดเลยครับ ผมก็อยากจะขยายความดังนี้ ก่อนอื่น คิดว่าทุกคนถ้าเคยได้ยินคำว่า “นิติบุคคล” มาบ้างแล้ว บริษัทก็เป็นนิติบุคคลแบบหนึ่ง เป็นนิติบุคคล หมายความว่า เป็น “บุคคลสมมุติ” คือ เราสมมุติให้เป็นบุคคลขึ้นมาคนหนึ่ง แต่เป็นบุคคลในแง่ของการประกอบธุรกิจ ต้องมีความรับผิดชอบเป็นของตัวเอง มีรายได้เป็นของตัวเอง มีภาระต้องจ่ายภาษีเอง ฯลฯ
แล้วเรื่องที่บริษัทเป็นนิติบุคคล เกี่ยวกับการจัดหาเงินอย่างไร
ก็เพราะบริษัทจัดตั้งขึ้นมาได้ก็ต้องมีทุนประเดิมครับ คนเราเกิดมามีทุนเดิมก็คือตัวของเรา แรงงานของเรา ความคิดของเรา แต่บริษัทไม่มีอะไรเลยครับ เป็นบุคคลสมมุติ เพราะฉะนั้น เวลาที่มีกลุ่มคนเริ่มจะจัดตั้งบริษัท ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการระดมทุนเป็นทุนจัดตั้งบริษัทหรือทุนจดทะเบียนเสียก่อน บริษัทถึงจะมีเงินไปลงทุนในเครื่องจักร หรือจ้างพนักงาน ฯลฯ เพื่อเริ่มดำเนินการได้ (หมายเหตุ กลุ่มคนที่เริ่มจะจัดตั้งบริษัท ประกอบด้วยคนอย่างน้อย 7 คน เรียกว่า “ผู้เริ่มก่อการ” ซึ่งชื่อฟังดูแปลกดีเหมือนกันครับ) กลุ่มคนที่ลงทุนในบริษัท ก็จะกลายเป็น “ผู้ถือหุ้น” เวลาที่บริษัทประกอบการแล้วมีกำไร ก็ต้องจ่ายผลตอบแทนคืนให้กับผู้ถือหุ้นเป็น “เงินปันผล”
สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทและกฎหมายกฎระเบียบต่างๆ ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.dbd.go.th/thai/law/law_index.phtml
นอกจากจะจัดหาเงินเป็น “ทุน” อย่างที่พูดถึงข้างต้นแล้ว บางครั้ง บริษัทก็ต้องการจะลงทุนในเครื่องจักรอุปกรณ์หรือสินทรัพย์อื่นๆ มากกว่าทุนที่มี (ระวังสับสนนะครับ ระหว่างคำว่า “ทุน” ซึ่งหมายถึง ที่มาของเงินของบริษัทที่มาจากผู้ถือหุ้น กับคำว่า “การลงทุน” ซึ่งหมายถึง เงินที่บริษัทใช้ลงทุนไปในสินทรัพย์) ในกรณีนี้ บริษัทก็ต้องกู้ครับ คือจัดหาเงินในรูปของ “หนี้สิน” หรือยอมเป็นหนี้นั่นเอง คนที่บริษัทไปกู้ก็กลายเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท แล้วบริษัทก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทนให้กับเจ้าหนี้ แล้วก็ต้องคืนเงินต้นให้กับเจ้าหนี้ด้วย (ต่างกับทุน ที่ไม่ต้องคืนให้กับผู้ถือหุ้น เรียกได้ว่า ลงแล้วลงเลย ยกเว้นกรณีที่บริษัทต้องการลดทุนหรือเลิกบริษัท)
กรณีของตัวเรา บุคคลธรรมดา เราไม่มีผู้ถือหุ้นครับ (เรื่องนี้น่าสนใจนะครับ อาจจะมองอีกมุมก็ได้ แล้วผมจะเขียนถึงเรื่องนี้ในตอนต่อไปครับ) เพราะฉะนั้น เวลาที่เราพูดถึงการจัดหาเงิน ก็คือการกู้หนี้ยืมสินหรือก่อหนี้นั่นเอง ซึ่งบางครั้งก็เป็นเรื่องที่เป็นความจำเป็น แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องที่จะก่อปัญหาในอนาคต
กรณีที่ 2 และ 3 นี่แหละครับที่จะเป็นปัญหา โดยเฉพาะกรณีที่ 3 จะเป็นปัญหามาก ในตอนที่ 1 (http://gotoknow.org/blog/wachirachai/120409) มีตอนหนึ่ง ผมได้พูดถึงการแก้ปัญหาหนี้สินไว้ว่า ถ้าไม่แก้ไขอย่างถูกวิธีให้ทันการณ์ ก็มีโอกาสจะล้มละลายได้ (ไม่ว่าจะเป็นบริษัท หรือตัวเราเอง) เพราะการกู้เงินมาโปะเงินที่ไม่พอใช้จ่าย จะทำให้เกิดหนี้มากขึ้น ทำให้มีภาระดอกเบี้ยมากขึ้น แล้วจะทำให้เงินในอนาคตยิ่งขัดสนขึ้นไปอีก เงินที่กู้มาโปะ ก็ไม่ได้เกิดผลงอกเงยอะไร เพราะเอาไปโปะค่าใช้จ่ายที่จ่ายแล้วจ่ายเลย ไม่ได้อะไรกลับมา ยิ่งถ้าได้ใจ ว่าสามารถหมุนเงินได้จากการโยกซ้ายไปโปะขวา ก็จะปล่อยให้สถานการณ์บานปลาย หนี้สินก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็หนี้ท่วม บางครั้ง ทำงานจนชั่วชีวิตชาตินี้ ก็ยังคืนหนี้ไม่หมด
สุดท้าย ผมเลยอยากจะทิ้งท้ายอย่างนี้ครับ
“ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ”ได้อ่านแล้ว ทำให้เข้าใจเรื่องการเงินมากขึ้นจริงๆ เลยค่ะ เขียนอีกนะคะ จะแวะเข้ามาอ่านอยู่เรื่อยๆ ค่ะ...กิ๊กเองค่ะ