เป็นที่ทราบว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวคิดของในหลวง เป็นปรัชญาการดำรงชีวิตที่ใช้ได้กับทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศ(MACRO) หรือระดับบุคคล-ครอบครัว (MICRO) ที่เขียนเพื่อจะเผยแพร่แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในการนำมาประยุกต์ใช้กับการดำรงชีวิต ไม่ได้โต้แย้งในหลักการแต่เป็นการนำประสบการณ์ที่อยู่ในชุมชนและพบเห็นการนำ หลักการเศรษฐกิพอเพียงไปใช้แบบไม่ตรงหลักการเศรษฐกิจพอเพียง
หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยสรุปประกอบด้วย ๓ องค์ประกอบคือ ๑)ความพอประมาณ ๒)ความมีเหตุผล ๓)การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว และ ๒ เงื่อนไขคือความรู้ และ คุณธรรม
ความพอประมาณ
มักมีคนเข้าใจว่า พอประมาณหมายถึง พอแล้ว ไม่ต้องดิ้นรน จนก็ไม่เป็นไร อยู่อย่างจนๆ ฯลฯ ซึ่งข้อสรุปเหล่านี้เป็นการแปลคำว่าพอประมาณแบบตรงๆ แล้วก็จะนำเอาความพอประมาณมาเป็นข้ออ้าง ทำให้มักน้อย ไม่กระตือรือร้น งอมืองอเท้า คำว่าพอประมาณในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงต้องมีเป้าหมาย คือประมาณว่ามีเป้าหมายเท่าไร และทำให้เข้าเป้าหมายนั้น นั่นคื่อการรู้จัก "พอประมาณ" ดังนั้นการ "พอประมาณ" สำหรับคนสุขภาพไม่ดี เช่น มีโรคประจำตัว หรือพิการด้านใดด้านหนึ่ง ก็ต้องวางเป้าหมายระดับหนึ่ง แต่ถ้าเป็นคนหนุ่มสาว สุขภาพแข็งแรงทำงานชนิดเดียวกันเป้าหมายต้องมากกว่าคนพิการ ไม่ใช่สุขภาพแข็งแรงแต่ผลงานได้เท่ากับผลงานของคนสุขภาพไม่ดี แล้วตอบว่าพอแล้ว อย่างนี้ไม่เรียกว่าพอประมาณ ที่น่าเป็นห่วงคือ การอ้างว่าพอแล้วแบบเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งที่การอ้างเช่นนั้น เป็นการอ้างเพื่อไม่ขยัน ขอยืนยันว่าเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักการที่ดี แต่หลักการนี้เมื่อศรีธนญชัยเอาไปใช้ ก็ไม่ตรงกับแนวคิดเดิมของในหลวงอย่างน่าใจหาย
ไม่มีความเห็น