คนไทยเป็นจำนวนมากที่เชื่อสอดคล้องกับทฤษฎีคู่ขนาน(ดูบันทึกครั้งก่อน) เพราะเชื่อว่า เมื่อเราตายแล้ว "จิต"หรือ "วิญญาณ" จะออกจากร่างกายของเรา และสามารถที่จะไป"เกิดใหม่"ได้ด้วย จะไปเกิด ณ ที่ใด ก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมของแต่ละคน ในประเทศแถบยุโรปเขาเชื่อไปอีกแบบหนึ่ง เขาไม่ได้เชื่อว่าวิญญาณเป็นดวงไฟล่องลอยไปไหนมาไหนได้ แต่เขาเชื่อว่าคนจะเกิดใหม่ได้ก็โดยที่ได้เกิดมีเนื้อหนังเข้ามาหุ้มโครงกระดูกอีกครั้งหนึ่ง ดังเช่นในนิยายเรื่องแดรกคูล่านะครับ เรื่องเกี่ยวกับมัมมี่ของอีจิปต์ก็เป็นไปในทำนองนั้น ผมไม่รู้ว่า ความเชื่อเหล่านั้น เชื่อตามคำอธิบายของทฤษฎีคู่ขนาน หรือว่าทฤษฎีคู่ขนานเชื่อตามความเชื่อเหล่านั้น
ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีคู่ขนานครับ คือพวกเขาเชื่อว่า "กาย" สามารถ "กระทำ" ต่อ "จิต" ได้ ในขณะเดียวกัน "จิตก็กระทำต่อกายได้เช่นกัน" ทฤษฎีนี้ชื่อว่า "ทฤษฎีปฏิสัมพันธ์" (Interactionism) ทฤษฎีนี้มีใจความสำคัญว่า จิตและกายเป็นสิ่งสองสิ่ง ต่างก็มีอยู่จริง จิตและกายมีอิทธิพลแก่กันและกัน จิตกระทำต่อกาย หรือกายกระทำต่อจิตได้ ตัวอย่างเช่น เรารู้สึกหิว(จิต)ก็มีอิทธิพลสั่งให้เท้า(กาย)เดินไปที่ตู้กับข้าวได้ หรือถ้ากายขาดอาหาร ก็เป็นสาเหตุให้เกิดการรู้สึกหิว(จิต)ได้ ดูๆแล้วก็มีเหตุผลเหมือนกัน
ผมนึกชมคนในสมัยอดีดโน้นจริงๆครับ ทำไมเขาฉลาดอย่างนั้น ทำไมคนไทย คนจีน คนอินเดียไม่คิดบ้าง! เขาไม่ค่อยคล้อยตามหรือเอาอย่างกัน แต่เขาคิดโต้แย้ง และไม่แย้งเฉยๆ เขายังเสนอทฤษฎีออกมาให้เราได้อ่านอีกด้วย!! จะผิดจะถูกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ทฤษฎีทั้งสองนี้เป็นทฤษฎีทางปรัชญญาครับ จะรู้ว่าอันไหนถูกอันไหนผิด ก็ต้อง "พิสูจน์" กันด้วยเหตุผล ผลของการโต้เถียงกันยังลงสรุปไม่ได้ว่าอันไหนผิด อันไหนไม่ผิด
คือ "ยังไม่ถูก และยังไม่ผิด" ทั้งสองทฤษฎีครับ
ทฤษฎีทั้งสองนี้เป็นอุปสรรคต่อการทดสอบของนักวิทยาศาสตร์ครับ คือ มีปัญหาตรงที่ ไม่รู้ "จิต" ที่ว่า"มีอยู่จริง"นั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร อยู่ตรงไหน คือ "สังเกตโดยตรงหรือโดยอ้อมไม่ได้" นักวิทยาศาสตร์ทางพฤติกรรมจึงไม่ได้ทดสอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ปล่อยให้นักปรั๙ญาและนักการศาสนาเขาถกเถียงโดยใช้ตรรกะกันต่อไปนะครับ
ดร. ไสว เลี่ยมแก้ว....
มีความเห็นแย้งในประเด็นว่า ทำไมคนไทย คนจีน คนอินเดียไม่คิดบ้าง! แต่ก็สงสัยว่าอาจารย์วางหมากไว้ล่อใครบางคน ดังนั้น จึงไม่วิจารณ์ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยเท่านั้น
ในอภิธรรมมีศัพท์ว่า จิตตชรูป รูปเกิดจากใจ เช่น ถ้ารู้สึกเศร้า หน้าตาก็หม่นหมอง ...หรือคนดีใจเพราะถูกหวย หน้าตาสดชื่นแจ่มใส่ เป็นต้น
เจริญพร
ไม่มีหลุมพรางหรอกครับพระคุณเจ้า เพียงแต่บ่นมาเล่นๆเท่านั้นเอง คือแปลกใจว่า พลเมืองเป็นพันๆล้าน เมื่อเทียบกับคนชาวยุโรป ------ ?
หรือว่าเป็นเพราะ "เราสอนเด็กๆให้ตามหลังผู้ใหม่หมาไม่กัด" หรือ "หัวล้านนอกครู" หรือเปล่าก็ไม่รู้? ครับ