การเขียน
การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญ ที่นิสิต นักศึกษา
จำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนั้นในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
โดยการค้นคว้า การอ่าน จากตำรา เอกสาร บทความ
วารสาร อินเทอร์เน็ต
เป็นต้นซึ่งจะช่วยให้ข้าใจประเด็น
กรอบแนวคิดของการวิจัยชัดเจนมากขึ้น
แต่ส่วนมากแล้วมักจะถูกมองข้ามไป โดยเฉพาะนิสิต
นักศึกษาที่ทำวิจัยใหม่ ๆ
มุ่งเพียงแต่จะทำวิทยานิพนธ์ให้เสร็จสิ้นรวดเร็วตามเวลาที่กำหนดเท่านั้น
เป็นการเขียนเนื้อหาเพื่อให้มีเนื้อหาสาระมาก
ขาดการสรุปในแต่ละเรื่อง
ขาดการเชื่อมโยงสู่เรื่องที่วิจัยและที่สำคัญ นิสิต
นักศึกษามักนิยมลอกต่อจากกันมาจากรายงานการวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ของผู้อื่น
ปัญหาตามคือทำให้นิสิต
นักศึกษาไม่เข้าใจปัญหาที่ทำการวิจัยอย่างแท้จริง
เพราะพื้นฐานความรู้ การตั้งความมุ่งหมายของการวิจัย
สมมติฐานของการวิจัย กรอบแนวคิดของการวิจัย
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยและนิยามศัพท์เฉพาะ
มาจากการศึกษาค้นคว้าเอกงานและวิจัยที่เกี่ยวข้องแทบทั้งสิ้น
ส่งผลกระทบต่อการสอบเค้าโครงวิทยานิพนธ์และสอบปากเปล่าวิทยานิพนธ์
ทำให้การสอบไม่ผ่านได้
ทำให้เสียเวลาในการทำวิทยานิพนธ์ใหม่
จะเห็นได้ว่าการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องนั้นมีความสำคัญมากต่อการทำวิทยานิพนธ์
เพราะเป็นขั้นตอนการวิจัยที่จะบอกให้นิสิต
นักศึกษาทราบว่า
มีความรอบรู้ในปัญหาที่ตนทำการวิจัยมากน้อยเพียงใด
ได้มีผู้ทำวิจัยในเรื่องนี้ในอดีตถึงปัจจุบันมากเท่าใด
ได้มีการใช้แนวคิดอะไรบ้าง ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยอย่างไร
และได้ข้อค้นพบอะไร
ได้ข้อเสนอแนะอะไรบ้างทั้งในด้านเนื้อหาและผลการวิจัย
และการเสนอผลการวิจัยถูกต้องหรือบ่งชี้อะไรบ้าง
3.2.1 ความหมาย
การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
หมายถึง การศึกษา ค้นคว้า
รวบรวมวิเคราะห์และสังเคราะห์งานทางวิชาการ จากตำรา
เอกสาร บทความทางวิชาการ
อินเทอร์เน็ตและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ศึกษา
เพื่อประเมิน สรุป
ข้อเสนอแนะการวิจัยก่อนจะลงมือทำวิทยานิพนธ์ของตนเอง
3.2.2
สิ่งที่พึงกระทำในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ส่วนมากในงานวิทยานิพนธ์
มักจะพบปัญหาหรือมีข้อบกพร่องเรื่องบรรณานุกรมไม่ครบ
เนื่องจากนิสิต นักศึกษาขาดความรอบคอบในการจดบันทึก
เมื่อมีการนำเอกสารหรือบทความมาใช้ในวิทยานิพนธ์ กล่าวคือ
ไม่มีจดบันทึกเจ้าของเอกสารหรือเนื้อหานั้นหรือมีอ้างอิงในเนื้อหาและในบรรณานุกรมรวมไม่มี
เพื่อตัดปัญหาดังกล่าว
เมื่อมีการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นิสิต
นักศึกษาควรทำการจดบันทึกเนื้อหาสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่อง
สถิติ/ข้อมูลต่าง ๆ ที่จะนำมาอ้างอิง
เพื่อความสะดวกในการอ้างอิงและนำมาใช้เรียงเรียง นอกจากนี้นิสิต
นักศึกษาควรทำการจดบันทึกเจ้าของบทความ เนื้อหาที่นำมาด้วย
โดยระบุชื่อผู้เขียน ชื่อตำรา
ชื่อบทความในวารสารหรือชื่อวารสาร ชื่อสถานที่พิมพ์
สำนักงานพิมพ์ ปีที่พิมพ์และถ้าเป็นวารสารต้องระบุเลขหน้า
ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การอ้างอิงได้อย่างชัดเจนและการค้นคว้าในครั้งต่อไป
รวมทั้งการทำบรรณานุกรม
3.2.3
แหล่งที่มาของเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
แหล่งที่มาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
สามารถจำแนกได้ดังนี้
1.
บทความทางวิชาการของสาขาวิชาที่ตนศึกษาและสาขาที่เกี่ยวข้อง
ทั้งที่เป็น ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ข้อดี
คือความเป็นปัจจุบันของเนื้อหาและงานวิจัย
ว่ามีความเคลื่อนไหวและมีแนวทางไปในทางทิศใดบ้าง
2.
รายงานการวิจัยและวิทยานิพนธ์
ส่วนใหญ่รายงานวิจัยเหล่านี้มักจะทำโดย อาจารย์ นักวิจัย
ภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย หรือสถาบันต่าง ๆ หรือ
กองวิชาการตามหน่วยราชการ
บางแห่งได้ทำการรวบรวมเป็นบทคัดย่อเพื่อความสะดวกแก่การค้นคว้า
ส่วนวิทยานิพนธ์ทำโดยนิสิต นักศึกษาที่ศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
ประโยชน์ของการศึกษาวิทยานิพนธ์ คือ มีการศึกษาอะไรบ้างแล้วในอดีต
มีมากน้อยเพียงใด
ทราบความยุ่งยากและสลับซับซ้อนของงานวิจัยเรื่องนั้น
ทราบถึงวิธีการศึกษาว่าเป็นอย่างไร การเก็บรวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูล ได้ค้นพบอะไรบ้าง
มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับหัวเรื่องที่ศึกษา
เอกสารและงานวิจัยที่ใช้อ้างอิงมีอะไรบ้าง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรระวังในการศึกษาวิทยานิพนธ์ คือ
คุณภาพของวิทยานิพนธ์
เนื่องจากวิทยานิพนธ์แต่ละสถาบันการศึกษามีนโยบายเกี่ยวกับการทำวิทยานิพนธ์ไม่เหมือนกัน
คุณภาพของงานวิทยานิพนธ์จึงแตกต่างกัน หากนิสิต
นักศึกษานำวิทยานิพนธ์ที่มีคุณภาพต่ำมาเป็นตัวอย่างหรือแนวทางในการศึกษา
อาจจะทำให้นิสิต นักศึกษาพบปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ
ในด้านระเบียบวิธีวิจัยและการปกป้องวิทยานิพนธ์ของตนได้
3. ตำราทางวิชาการ
ส่วนมากแล้วจะเป็นเอกงานงานเขียนของนักวิชาการที่มีความน่าเชื่อถือ
เป็นแหล่งความรู้หลักการ ทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง
ที่มีการรวบรวมไว้เป็นเรื่องอย่างชัดเจน
แต่จะมีข้อเสีย คือความล้าสมัยของตำรา
4. อินเทอร์เน็ต
ถือว่าเป็นแหล่งความรู้ที่ใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลาย
มีความใหม่ ทันสมัยที่สุด มีการปรับปรุงตลอดเวลา
และสามารถสืบค้นได้ทั่วโลก มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ดังนั้นการที่จะนำเนื้อหาหรือ
ข้อความมาอ้างอิงควรกลั่นกรองว่ามีความเชื่อถือได้หรือไม่
3.2.4 การเขียน
นำเสนอเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
นิสิต
นักศึกษามักจะวิตกกังวลเสมอว่า
หลังจากมีการศึกษาเอกสารและงานวิจัย
ที่เกี่ยวข้องแล้ว จะนำอะไรบ้างมาเขียนมาเสนอในบทที่ 2
จะเรียงลำดับหัวข้อเนื้อหาไหนก่อน หลัง
จะยกเอาเนื้อหาทั้งหมดหรือไม่นำมาเขียนหรือเอามาเฉพาะบางส่วน
มีการอ้างอิงอย่างไร ดังนั้นการเขียน
นำเสนอเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมีหลักการเขียน ดังนี้
1. ในบทที่ 2
จะประกอบด้วยหัวข้อย่อย 2 ส่วน คือ
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องที่ศึกษาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ศึกษา
1.1
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ศึกษา จะประกอบด้วย
ความหมายของสิ่งที่หัวข้อเรื่องที่วิจัย ทฤษฏี
แนวคิด กับสิ่งที่วิจัย เทคนิควิธีการที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งเอกสารอ้างอิงที่นำมาอ้างไม่น้อยกว่า 20 เล่ม
และการเขียนนำเสนอเอกสารที่เกี่ยวข้องควรนำเสนอหรือเรียบเรียงจากตัวแปรที่ระบุไว้ในหัวข้อเรื่องหรือในความมุ่งหมายของการวิจัย
โดยนิสิต นักศึกษาประมวลสังเคราะห์ ทฤษฏีและแนวคิดต่าง ๆ
มีผู้ใดได้ศึกษาหรือเสนอแนวความคิดและทฤษฏีอะไรไว้บ้าง
มีข้อโต้แย้งหรือข้อค้นพบอะไรกันบ้างตามตัวแปร
เริ่มจากหัวข้อหลักไปหาหัวข้อรอง ตัวอย่างเช่น
ศึกษาเรื่องแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์
(e-Learning) สำหรับสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย
การนำเสนอเอกสารประกอบด้วย
-
ความหมายของ e-Leaning
-
ความหมายของการพัฒนาการเรียนการสอน
-
การเรียนการสอนทางอิเล็กทรอนิกส์
-
การจัดการเรียนการสอนบนระบบเครือข่าย
การนำเนื้อหามาเขียนนั้น
นิสิต นักศึกษาควรเนื้อหาที่มีความทันสมัย
ทันต่อเหตุการณ์มาเขียน
ยิ่งเรื่องที่ศึกษามีเนื้อหาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
เนื้อหาที่นำมาเขียนก็ต้องใหม่ เป็นปัจจุบันมากที่สุด
ที่สำคัญเมื่อมีการนำเนื้อหาของคนอื่นมาเขียนต้องมีการอ้างอิงทุกครั้ง
เพื่อให้เกียรติเจ้าของเนื้อหาเป็นสำคัญ
ซึ่งการอ้างอิงนั้นขึ้นอยู่กับรูปของสถาบันกำหนดและเมื่อการนำเนื้อหามาเขียนแล้ว
หลังจากหัวข้อหรือหัวข้อย่อย นิสิต
นักศึกษาต้องสรุปโดยใช้ภาษาของตนเอง ตัวอย่างเช่น
ความหมายของบทเรียนบนเครือข่าย
ข่าน (Khan. 1997
: 42) ได้ให้ความหมายว่า
เป็นโปรแกรมไฮเปอร์มีเดียที่ช่วยในการสอน
โดยใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรของอินเทอร์เน็ต
(www) มาสร้างให้เกิดการเรียนรู้
โดยส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนในทุก ๆ ทาง
ปรัชญนันท์ นิลสุข
(2543 : 48) ได้ให้ความหมายว่า
บทเรียนบนเครือข่าย (WBI) หมายถึง
การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ตมาออกแบบและจัดระบบเพื่อการเรียนการสอน
สนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้
มีการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายที่สามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา
ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2546
ค : 14) ให้ความหมายของบทเรียนบนเครือข่าย
(WBI)
ว่าเป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์ที่นำเสนอผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยใช้เว็บเบราเซอร์เป็นตัวจัดการ
สรุปได้ว่าบทเรียนบนระบบเครือข่าย
(WBI) หมายถึง
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่นำเสนอผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยใช้เว็บเบราเซอร์เป็นตัวจัดการ
1.2
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง หมายถึง งานวิจัยที่นิสิต
นักศึกษา รวบรวม ค้นคว้า
เน้นเกี่ยวข้องกับหัวข้อเรื่องที่ตนศึกษา ซึ่งมีหลักเกณฑ์ว่า
งานวิจัยในประเทศ อย่างน้อย 10 เรื่อง และปีที่ทำเสร็จไม่เกิน 10
ย้อนหลัง งานวิจัยต่างประเทศ อย่างน้อย 5 เรื่อง ไม่เกิน
15 ปีย้อนหลัง อย่างไรก็ตามกรณีที่เป็นเรื่องใหม่มาก ๆ
หางานวิจัยไม่พบสามารถอนุโลมได้
การเรียบเรียงงานวิจัยนั้นเริ่มจากงานวิจัยภาษาไทย(เรียงตามพ.ศ.ปัจจุบันย้อนหลัง)และตามด้วยงานวิจัยต่างประเทศ
การนำงานวิจัยมาเขียนในบทที่ 2 นั้นให้นิสิต
นักศึกษายกข้อความจากบทคัดย่อของแต่ละเรื่องได้เลย
ซึ่งมีลักษณะการเขียนประกอบด้วย ชื่อผู้วิจัย (ปีที่พิมพ์ :
เลขหน้าหรือที่มา) ได้ศึกษา ..เรื่องที่วิจัย .......
ผลการวิจัยพบว่า .......................... หรือ
ประกอบด้วยชื่อผู้วิจัย (ปีที่พิมพ์ : เลขหน้าหรือที่มา)
ได้ศึกษา ..เรื่องที่วิจัย ....... ความมุ่งหมายของการ
............ กลุ่มตัวอย่าง ..........ผลการวิจัยพบว่า
.......................... ตัวอย่างเช่น
สรรพสิริ เอี่ยมสะอาด(2547 : บทคัดย่อ)
ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการเรียนรู้โดยใช้
แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกลบเศษส่วน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการศึกษาพบว่า
1) แผนการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์
เรื่อง การบวกลบเศษส่วน ชั้นประถมศึกษาปีที่
6 ที่ผู้ศึกษาค้นคว้าพัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพ
83.39/77.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้เท่ากับ
75/75
และมีดัชนีประสิทธิผลของแผนการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัย
ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 70
หลังจากเรียนตามใช้แผนการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ
และ 2)นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการจัดการเรียนรู้
โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ
วิชาคณิตศาสตร์
เพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01
และมีความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก
ทองสง่า ผ่องแผ้ว21/08/2550
แล้วเราจะสืบค้น และมีวิธีการหาข้อมูลอย่างไร ในการทำบทที่ 1 และบทที่ 2 คะ ( ถ้าเราไม่ไปหาข้อมูลที่มหาวิทยาลัย)
ได้ความกระจ่าง
ขอบคุณค่ะ