เดิมที ผมวางแผนว่าจะเขียนเรื่องกระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน ซึ่งเป็นตอนที่ 3 เกี่ยวกับกระแสเงินสด แต่เมื่อมาย้อนดูแล้ว รู้สึกว่าเรื่องราว 2 ตอนที่ผ่านมาค่อนข้างจะหนักไปบ้าง ตอนนี้ จึงขอคั่นจังหวะด้วยเรื่องสบายๆ และชวนเชิญให้ท่าน Blogger มาแสดงความคิดเห็นสักเล็กน้อย
ในตอนที่ 1 ผมได้เล่าเรื่องเพื่อนพนักงานที่มีปัญหาหนี้สิน เป็นกรณีศึกษาเรื่องกระแสเงินสด และทิ้งท้ายด้วยคำแนะนำที่ว่า อันดับแรก เขาควรจะตรวจสอบกระแสเงินสดจากการทำมาหาได้ของตัวเองว่าเป็นอย่างไร ถ้าติดลบ ต้องหาวิธีเพิ่มรายได้หรือลดค่าใช้จ่ายเสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่บางที มันก็ยากเหมือนกัน
ในวิชาเศรษฐศาสตร์ ได้ตั้งสมมุติฐานว่ามนุษย์คิดด้วยเหตุด้วยผล เวลาที่คิดจะใช้จ่ายอะไร ก็ประเมินว่า ใช้จ่ายอย่างไรให้ได้ความพอใจสูงสุด โดยคำนึงถึงงบประมาณที่ตัวเองมีอยู่ ถ้าคนเราเป็นอย่างนี้จริงๆ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา เวลาที่เรามีเงินหรืองบประมาณจำกัด เราก็น่าจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของเราตามงบประมาณที่มีอยู่ จริงไหมครับ แต่ในความจริง ทำไมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายมันช่างยากเหลือเกิน
กิเลสยังไงครับ ที่ทำให้มันยาก เวลาที่เรามีกิเลสอยากได้ขึ้นมา อะไรๆ มันก็จะดูเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นไปหมด
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่พี่คนหนึ่งเคยสอนผมเมื่อผมเริ่มทำงานใหม่ๆ ว่า ทำงานเก็บเงิน ก็เหมือนตักน้ำใส่ตุ่ม การทำงานหาเงินก็เหมือนตักน้ำใส่ตุ่ม ยิ่งตักมาก ก็จะได้น้ำเก็บไว้ในตุ่มมาก แต่ถ้าตุ่มก้นรั่วเสียแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะตักน้ำเข้าตุ่มมากเท่าไหร่ น้ำก็จะไหลออกหมด เหมือนการควบคุมค่าใช้จ่าย ถ้าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแล้ว ไม่ว่าจะหาเงินมาเท่าไหร่ ก็จะใช้จนหมด
กิเลสทำให้ก้นตุ่มรั่ว แล้วตุ่มของคุณเป็นอย่างไรบ้างครับสวัสดีค่ะ
มาตามคุณมะปรางเปรี้ยวค่ะ
สำหรับดิฉันเอง โชคดีหน่อยที่รอดตัว ไม่ค่อยมีปัญหานี้เพราะ ฝึกควบคุมกิเลสได้ และใครที่อยู่ใกล้ตัว ก็จะฝึดเขาเช่นเดียวกัน
ขอบคุณมากค่ะ
ขอบคุณคุณ sasinanda และ อ.ลูกหว้า ที่แวะเข้ามาแสดงความคิดเห็นครับ
รับรองจะเขียนบ่อยๆ ครับ
คุณวชิระชัยคะ เป็นความจริงคะ ทุกคนมีกิเลสตัญหา มีแต่อยากได้ อยากได้ โดยไม่ดูกำลังความสามารถของตนเอง เห็นคนอื่นเขามี ก็อยากมีบ้าง ซึ่งหารู้ไหมว่า ตุ่มของตนเองรั่วเสียหลายรู ก็มีมากพอแรงแล้ว ก่อนที่อยากได้ก็ต้องหาวิธีอัดรูรั่วเสียก่อน ถ้าอัดไม่ได้ก็อย่าไปไขว่าคว้าสิ่งที่เกินกำลังตนเอง เพราะในที่สุดก็จะแก้ปัญหาที่ตามมารอบด้าน เพราะเรื่องเงิน ที่อยากได้เช่นเขา ดิฉันก็เคยมีประสบการ เนื่องจากตุ่มรั่ว แต่ดิฉันก็ได้แก้ อัดตุ่มหมดแล้ว
ซึ่งดิฉันเคยผ่อนสิ่งของหนักไพร้อมกันถึง 3 อย่างด้วยที่ว่า มีความคิดว่า นำขึ้นให้รีบตัก ดิฉันก็เลยตักใส่ตุ่มเสียจนล้น แล้วเอาอันที่ล้นๆไปปิดยอดหนี้แล้ว
และทุกวันนี้ มาเรียนหนังสือ ไม่ว่าวิชาอะไร ทุกวิชา ให้เข้าหาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงทั้งหมดเลย ซึ่งดิฉันก็ได้ปฏิบัติตาม คือ มีความพอประมาณ ไม่คิดอยากได้อะไรอีกแล้ว พอแล้ว และเข็ดตอนหาเงินมาใช้เขาไม่ให้ผิดเวลา ทำให้เราไม่มีเวลาเป็นตัวของตัวเอง มีคำเดียววันนี้ต้องหาได้เท่าไร บังคับตนเกินไป
มีเหตุมีผลในการใช้จ่ายมากขึ้น นั่นคือจะซื้ออะไร คิดแล้วคิดอีก เพราะเวลาหาเงินไม่มีมากเหมือนเมื่อก่อน คือยังมีได้อย่างเสียอย่างเช่นเคย จะเอาเรียนให้จบก่อน มันยากมาก จะซื้ออะไร มาวิเคราะห์ก่อน ถ้าวิเคราะหืแล้ว ไม่มีความจำเป็นครบ 3 อย่างจะล้มเลกความอยากได้ทันที ก็ได้ผลคะ
และมีอีกข้อหนึ่ง พอเราตัดหนี้ตัดสินหมดแล้ว เงินที่จะได้ใช้ก็ต้องหาใหม่ เวลาหาไม่มีมากก้ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา จึงต้องสร้างภูมิคุ้มกัน ให้ตนเองใช้จ่ายอย่างประหยัด ลงกว่าปรกติ ไม่ฟุ่มเฟือยก็โอเคแก้ได้คะ ที่คุณแนะนำมา ดีมากเลย และทั้งคนที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นยาว ๆอ.ลูกหว้าจะดีมาก เพราะต้องการแลกเปลี่ยนเรียนรู้คะ สวัสดีคะ