ในกระจก ฉันเห็น.... ฉัน.. สูงเท่าฉัน หน้าเหมือนฉัน.. แต่งตัวเหมือนฉัน ยิ้มพร้อมฉัน.. ร้องไห้พร้อมฉัน.... ...ดูเหมือนว่า เราเหมือนกันมาก แต่มือข้างขวาของฉัน... กลับไม่ใช่มือข้างขวาของเขา หัวใจข้างซ้ายของฉัน.... กลับอยู่ข้างขวาของเขา ฉัน กับ เขา..... เรายังไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่เขาคือเงาของฉัน แล้วจะหวังอะไรกับคนอื่น ให้เหมือนเรา คนเราเกิดมาย่อมต้องอยู่ในสังคมเริ่มตั้งแต่สังคมขนาดเล็กที่สุดคือครอบครัว และเมื่อเติบโตเราก็เริ่มได้สัมผัสกับสังคมที่ใหญ่ขึ้นในโรงเรียน ในวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเรามีเพื่อนนักเรียนนักศึกษา ในที่ทำงานก็มีเพื่อนร่วมงาน สังคมภายนอกที่ใหญ่ขึ้นกว้างขึ้นตามลำดับ การที่อยู่ในหมู่คนจากหลากหลายที่มา อย่างที่เรียกว่าร้อยพ่อพันแม่ กินไม่เหมือนกัน คิดไม่เหมือนกัน ชอบไม่เหมือนกัน ผลประโยชน์ต่างกัน ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นได้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ จิตใจเอย.. จะสงบได้อย่างไร..! เรื่องใหญ่ของเราเป็นเรื่องเล็กของเขา เรื่องเล็กของเขา เป็นเรื่องใหญ่ของเรา สิ่งที่เขาคิดว่าถูก เรากลับคิดว่าผิด สิ่งที่เราคิดว่าผิด เขากลับคิดว่าถูก..! ไม่มีอะไรที่เหมือนกัน ความแตกต่างจึงเป็นเรื่องปกติของสังคมมนุษย์ การรังเกียจความขัดแย้งก็ไม่ต่างจากการรังเกียจคราบไคลของเราเอง สิ่งที่ควรทำคือดูว่าจะทำอย่างไรเราถึงจะสามารถใช้ความขัดแย้งนั้นอย่างสร้างสรร ไม่โกรธ ไม่เคือง ต้องใจกว้างยอมรับความจริง เคารพความคิดของทุกคน ภูมิหลังของคนเรา ต่างกัน การศึกษาต่างกัน สมองคนละก้อน แล้วจะให้ใคร ๆ มาคิดเห็นเหมือน ๆ กันได้อย่างไร เตือนตน เตือนใจ เสมอว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องของการพัฒนาทางความคิด เป็นความก้าวหน้าขององค์กร.. ของชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์หากคิดได้เช่นนี้แล้วความอึดอัด ขัดเคืองจะจางลง ต่างคนต่างก็จะทำงานด้วยความสุข ทุกคนมีอิสรภาพในการพูดเสนอสิ่งที่ตัวเองเห็นและคิด การมองต่างมุมถือเป็นการร่วมมือกันในการทำงานหากทุกคนล้วนมีจุดหมายปลายทางเดียวกัน โดยต้องสละแล้วซึ่งผลประโยชน์ และทิฐิของตนเอง ใจที่เปิดกว้าง ย่อมมีโอกาสเติมเอาประสบการณ์ใหม่ ๆ ใจที่คับแคบ ย่อมเป็นประดุจน้ำที่เต็มถ้วย ฉลาดหรือโง่ ตนเองเป็นคนลิขิต จริง ๆ "ความขัดแย้ง" ไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากแต่เป็นธรรมชาติของมนุษย์เรา ถ้าเราไม่ถือสา ไม่ขุ่นเคือง แต่นำความคิดเห็นทั้งหลายมากลั่นกรองให้เป็นเอกภาพ เราก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนฉลาด คนอาภัพนั้นมิใช่คนจนหรือกระยาจก แต่ก็คือ คนที่ทำใจไม่ได้เมื่อมีใครไม่ เห็นด้วยกับความคิดเห็นของตัวเอง อย่าหลงคิดว่าความคิดเห็นของตัวเอง "ถูกต้องที่สุดโดยลืมไปว่าระหว่างสีดำและสีขาวยังมีสีเทาอยู่..! "มัวแต่หลงว่าเมื่อฉันชี้นิ้ว หมายถึงทุกคนต้องเดินตาม แล้วเราจะใหญ่ปานนั้นได้ตลอดไปหรือไม่ ? อย่างจริงจังกับ ความคิดของตัวเองจนเกินไปมิฉะนั้นวันหนึ่งคุณอาจจะกลายเป็น "สุนัขขี้เรื้อน" ที่เป็นแผลอยู่เต็มตัว…..! แม้เพียงแค่ลมพัดผ่านก็คันไปทั้งตัวแล้วและก็คงไม่มีใครอยากอยู่ใกล้สุนัขขี้เรื้อน เพื่อความสุขสงบและสุขภาพจิตของตนเอง เพื่อการทำงานอย่างมีความสุข ทั้งของตัวเองและเพื่อนร่วมงาน เพื่อปัญญาและปรีชาญาณที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต ตลอดเวลา ขอบอกว่า "อย่ารังเกียจความขัดแย้ง" เลย... เพราะนี่คือ ขุมทรัพย์ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม เพียงแค่เปิดใจยอมรับ แล้วพากเพียร พยายามฝึกหัดทำใจให้กว้างเท่านั้นเอง..! อีกสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลากับชิวิตของคนเราคือความสุขและความทุกข์ สุขเพราะได้ในสิ่งที่ต้องการได้ในสิ่งที่รัก และทุกข์เมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก หรือประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบไม่ถูกใจก็เป็นทุกข์ คนเราย่อมต้องมีชีวิตทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน วันที่มีกลางวันและกลางคืน เพราะนั้นคือประสบการณ์ที่จะช่วยให้เรามีชีวิตที่แข็งแกร่ง ประสบการณ์สร้างสมความฉลาด ประสบการณ์เป็นข้อมูลดิบของภาคปฏิบัติ ไร้ประสบการณ์ โอกาสฉลาดก็ย่อมหมดไป เพราะประสบการณ์ย่อมหมายถึง ความผิดหวัง – ความสมหวัง หมายถึง...ความสุข และ ความทุกข์ หมายถึงการต่อสู้ที่มีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา น่าเสียดายคนที่มีชีวิตจมอยู่ในความสุขมักจะทำให้คนเหล่านั้นลุ่มหลง มัวเมา อ่อนแอ ไม่อดทน การที่คนเราคุ้นเคยและเคยชินกับความสุขจนเกินไป ไม่มีโอกาสเรียนรู้ หรือประสบกับความทุกข์อาจทำให้คนๆ นั้นไม่เข้มแข็ง ไม่อดทน และบ่อยครั้งที่ชีวิตของคนๆ นั้นอาจจะไปไม่รอดเพราะความอ่อนแอทำให้เขามัวแต่วิ่งหนี คนที่มัวแต่วิ่งหนีจะไม่มีวันชนะ หากเราเหนื่อยก็จงหยุดพักแต่อย่าหนี การเผชิญหน้ากับปัญหานั่นแหละคือหนทางที่จะชนะ
ไม่มีความเห็น