C/S and me


ขณะที่นอนดูทีวีอยู่  กำลังติดตามรายการผลการออกประชามติอย่างระทึกนั้น  ก็มีเสียงโทรศัพท์ตามมาที่บ้าน

หมออยู่มั๊ยค่ะ   มีผ่าตัดด่วนนะ...ผ่าคลอด..

เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ก็  อืม...ต้องผ่าตัดอีกแล้ว  ยิ่งผ่าตัดใหญ่ด้วยสิ

การผ่าคลอดทางหน้าท้อง....C/S

   เป็นหัตถการที่จำเป็นที่รพ.ชุมชนอย่างเราต้องทำ   เพราะว่าอยู่กลางดอย  ไกลจากโรงพยาบาลทั่วไป  จึงไม่สามารถส่งต่อได้  ถ้าหากมีกณีที่จำเป็นต้องคลอดด้วยการผ่าตัด  เป็นหน้าที่ของแพทย์ที่อยู่เวรผ่าตัด

  

    แต่ผมเองนั้น  ถ้าเป็นการผ่าคลอดแล้ว  แม้ว่าจะไม่ยากและง่ายกว่าผ่าไส้ติ่ง  เพราะแผลกว้างขวาง  ชัดเจนดี    แต่ว่าสิ่งที่ผมกังวลและตื่นเต้นคือ  มันป็นการผ่าตัดที่ขุ่มชื้นไปด้วยน้ำคร่ำและเลือด  แล้วยังมีอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ  ทีเราต้องรับผิดชอบ

 

   แม้สมัยเรียนนั้นจะได้รับการฝึกฝนอย่างดีจากท่านอาจารย์ที่รพ ลำปาง...  ตอนนั้นอาจารย์ทำเร็วมาก  ใช้เวลา ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เสร็จ  แต่เมื่อเรามาทำเองแล้ว  มันใช้เวลาเป็นชั่วโมง  เพราะว่าไม่ได้ทำทุกๆ วัน  หรือบ่อยเท่าอาจารย์  ต้องทำแบบระมัดระวัง  ค่อยๆทำ

     ในห้องผ่าตัดวันนี้มีเรื่องตื่นเต้นก็คือ  เราไม่มีเลือดสำรองไว้  แต่พอจะมีสารน้ำที่อาจจะใช้แทนเลือดได้  หากเกิดเหตุฉุกเฉิน     จริงแล้วถ้าไม่มีจริงๆก็ไม่ควรเปิด  แต่ว่ากรณีนี้มันจำเป็นอยางยิ่ง  เพราะลูกมีปัญหาในท้อง  ต้องรีบผ่าตัด  ส่งต่อก็อันตราย เลือกการผ่าน่าจะดีกว่า

 

    ในการผ่าตัด   โชคดีมากๆครับ  เลือดออกไม่มาก  มดลูกแข็งตัวดี  มีเสียวเล็กน้อยที่เยื่อบุฉีกไปเฉียดๆ  เส้นเลือด  อืม....

   สาเหตุของการคลอดยากและเด็กมีปัญหานั้นคือ ท่าหน้าหงายขึ้นและรกพันรอบคอสองรอบ...  เจ้าตัวน้อยนั้นก็แข็งแรงดี ออกมาจากมดลูกแม่ก็ร้องแว้ๆๆ  ทันที่..ไม่มีปัญหาใดๆ

 

   การผ่าตัดก็เสร็จไปด้วยดีครับ  ผ่านไปอีกครั้งกับงานที่ยิ่งใหญ่และต้องใช้พลังแห่งความตั้งใจ  และระมัดระวังที่สุด  เรียกว่ามีเท่าใด  ก็เรียกมารวบรวมเพื่อใช้กับงานเฉพาะนี้เต็มที่.... 

 

          และก็ต้องดูแลหลังผ่าตัดอีกสามวันกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัยดี  ..

  โดยเฉลี่ยแล้วน่าจะเป็นเดือนละครั้งต่อคน  ...คิดว่าน่าจะผ่านไปแล้ว 12 คน  แต่ไส้ติ่งกับหมันนี่นับไม่ไหวครับ  

   

      เรื่องการเปิดห้องผ่าตัด  ในรพ.ชุมชนทั่วไปส่วนใหญ่แล้ว  ทำกันน้อยเพราะว่าความไม่พร้อม  ความไม่มั่นใจ  หรืออาจจะอยู่ไกล้ รพ ที่มีความพร้อมมากกว่าอยู่แล้ว จึงส่งต่อ   ...

  

    ที่รพปายของเรา  กำลังรับสมัครทุนเพื่อให้มีการไปเรียนแพทย์เฉพาะทาง  สาขาหลัก  เพื่อให้กลับมาทำงานที่รพ..  ถึงตอนนั้นผมก็คงจะสบายขึ้นครับ  คงจะเป็นแพทย์ทั่งไปได้เต็มที่  ทำงานในเชิงรุก กับชุมชน  กับการส่งเสริมสุขภาพได้มากมายขึ้นกว่าเดิม

 

    น่าจะอีกอย่างน้อยก็ 5ปี ที่จะต้องเป็น GP  ที่ทำงานแข่งกับโรค  แข่งกับบริบทของเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว  ...

   เพื่อนๆ  พี่ๆ  น้องๆหลายคนก็ย้ายหนีไปเรียนต่อ  ไปอยู่ที่ๆไม่หนักมาก  อยู่ที่ๆเขาคิดว่าเหมาะสมกับตนเอง  

   แต่ผม...คงต้องอยู่เพื่อทำงานต่อไปที่นี่  เพื่อเรียนรู้  มีเหตุผลหลายอย่างที่ต้องทำงานที่นี่  .....เพราะว่ามันสนุกดีครับ แต่ก็เหนื่อยๆ

    คงต้องรบกันต่อไประหว่างความสุข  สนุก  และความเหนื่อยล้า

  

   อย่างน้อยก็จะอยู่จนกว่าจะมีคนบอกว่า..หมอไปเถอะ  คุณไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อไปที่นี่แล้ว...ที่นี่ไม่เหมาะกับคุณนะ..  หรือไม่ก็ร่างกายบอกว่า   ฉันไม่ไหวแล้วนะ...นายต้องเลิกใช้ฉันแบบหนักๆเช่นนี้ 

 

    การอยู่รพ. ชุมชนจึงไม่แปลกที่ส่วนมากผู้คนจะอยู่ติดน้อย  ส่วนมากก็ย้ายเพือ่เรียนแพทย์เพาะทาง  เพื่อเข้าไปอยู่ในเมือง  หรือไม่ก็ลาออกไปอยู่เอกชน..  ไปเป็นหมอประจำคลินิกโรคผิวหนัง  หรือสปา... 

หมายเลขบันทึก: 120723เขียนเมื่อ 20 สิงหาคม 2007 01:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 21:29 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ชอบอ่านครับ เรื่องวงในอย่างนี้

มีคุณค่าและน่าติดตามครับ

สวัสดีค่ะน้องหมอkmsabai

แวะมาชื่นชมและให้กำลังใจค่ะ งานหนัก แต่เป็นงานกุศลค่ะ ^ ^

ปฏิบัติกันต่อนะคะ ^ ^

อ่านบันทึกนี้ได้หลายอย่างครับ ทั้งจินตนาการ ได้รับทราบประสบการณ์นอกสาขาอาชีพ เห็นอุดมการณ์ของคุณหมอในการทำงานเพื่อสังคม

โอกาสอยู่ตรงหน้า.....จาคานุสติ ครับ

สวัสดีครับอาจารย์

P
   ขอบคุณครับที่เข้ามาเยี่ยมครับ
   รู้สึกว่ามีผู้ใหญ่คอยเป็นกำลังใจครับ
  
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท