หลายวันก่อนฉันได้คุยกับกัลยาณมิตรเก่าทางโทรศัพท์ ซึ่งการพูดคุยก็เป็นการแลกเปลี่ยนทางธรรมเป็นส่วนใหญ่ ช่วงหนึ่งเขาเล่าถึงลูกน้องในที่ทำงานคนหนึ่ง ที่มักเป็นคนที่จะไปวัดหรือไปสถานปฏิบัติธรรมบ่อย ๆด้วยเหตุของการไปส่วนใหญ่ไปเมื่อเกิดปัญหา ซึ่งเสมือนกับหนีปัญหา กลับมาแล้ว ก็มิได้มีอะไรดีขึ้น บางครั้งยังรู้สึกว่าคนอื่นไม่ดี ตนเองดีเพราะปฏิบัติธรรม คิดว่าตัวเหนือคนอื่น หลังจากกัลยาณมิตรของฉันเล่าเสร็จ เราคุยกันต่อ
เพื่อน “ถ้าปฏิบัติธรรมแล้วเป็นแบบนี้...เรียกว่าอย่างไร..”
แหวว “ถ้าเปรียบเป้าหมายของการปฏิบัติธรรมด้วยเป้าหมายของการได้แก่นไม้ การปฏิบัติธรรมถึงขั้นนี้อาจเปรียบได้กับ..”
เพื่อน “เปลือก?”
แหวว “ กิ่งไม้ หรือ ใบไม้”
เพื่อน “ โอ้โฮ! ทำไมปากจัดอย่างนี้เนี่ย ...”
แหวว (ตกใจนิดหน่อย) “เอ...ปากจัด?...ขออภัย ที่บอกออกไปโดยที่มิได้อ้างอิงว่ามีที่มาจากพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นคำพูดของพระพุทธเจ้า ท่านเปรียบเปรยในการให้ความคิดเห็นต่อพราหมณ์ท่านหนึ่ง แหววไม่ได้พูดเอง เพียงเปรียบเทียบในรายที่คุณพูดถึง กับที่พระพุทธิเจ้าได้เปรียบเทียบระหว่างความต้องการและการปฏิบัติธรรม กับผู้ประสงค์ต้องการแก่นไม้ เพื่อให้เห็นชัดเจนขึ้น ..แต่..เอ..สงสัย..ทำไมถึงว่าปากจัด ช่วยอธิบายหน่อย”
เพื่อน “ ก็ปกติคนเราเวลาเปรียบเปรยอะไร ก็จะเปรียบแค่ เปลือกไม้กับแก่นไม้..ผมก็เดาว่าเขาคงได้เพียงแต่เปลือกไม้ แต่พอคุณพูดมา เป็น กิ่งและใบ ผมก็ย่อมรู้สึกว่า..อืม..แรงมากๆ หนักกว่าหลายเท่า...ปากจัดแฮะ”
คราวนี้ฉันเลยถึงบางอ้อ...จำไว้ขึ้นใจว่า..คนเรามีข้อมูลอยู่ต่างกัน ซึ่งฉันอาจลืมไป..เพียงแค่ให้ความเห็น ซึ่งเป็นความเห็นของพระพุทธองค์ แต่เพื่อนไม่เคยรู้ข้อมูลแบบนี้ ฉันเลยโดนว่า “ปากจัด” เป็นบทเรียนที่ต้องจดจำ ควรบอกก่อนว่า “คำถามแบบนี้มีในพระไตรปิฎกที่พรามหมณ์ผู้หนึ่งได้ถาม พระพุทธเจ้า..................” จำไว้ให้ขึ้นใจเลยแจ๋วแหวว)
จากนั้นฉันเลยเล่าคร่าวๆ ให้เพื่อนฟัง ซึ่งก็เท่ากับได้ทบทวนตัวเองไปด้วย อีกทั้งในชีวิตประจำวัน ฉันพบว่า แม้ว่าฉันจะรู้และเข้าใจคำสอนนี้ดีพอควรก็ตาม แต่การปฏิบัติ ที่มิให้ตกหลุมพราง เห็น สะเก็ด เปลือก กะพี้ เป็นแก่นไม้นั้นยากยิ่งในบางเวลา บางขณะ อันเนื่องมาจากกิเลสทั้งหยาบและละเอียดเข้ามาบดบัง หรือลวงตา และทำให้จิตหลง ตามรู้ไม่ทัน เข้าไปติดยึด พักอิงแอบอยู่ กิ่งใบ สะเก็ด เปลือก จนแม้กระทั่งกะพี้ก็ยังแทบไม่รู้จัก ไฉนเลยจะได้แก่นไม้ที่ต้องการ... มันช่างยากจริงๆ แม้จะเป็นแค่เรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน
เช้านี้ฉันได้มีโอกาสทบทวนถึงกุศลจิต และกุศลกรรมที่ทำแท้ๆ ก็ยังเป็นเหยื่อล่อกิเลส ก่อเกิดมานะทิฐิเพราะไปเห็นว่าผู้อื่นทำได้ไม่ดี(อกุศลกรรม) ..เห็นว่าเขามีความเขลา..ทำไปได้อย่างไร? เพียงเท่านี้ การกระทำของเราที่แยบยลด้วยปัญญา แห่งการคิด ไตร่ตรองมาดี...เกิดผลดีในการคิดและทำ ก็กลับมาเป็นหลุมพรางในทางธรรมจนได้ เพราะความฮึกเหิม จิตเผลอยกตนข่มผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวไปบางขณะ...
ทำให้เข้าใจในคำสอนของพระพุทธองค์และครูบาอาจารย์ทางธรรม ที่พูดนักหนาว่า..."จิตอันเป็นกุศล ก็เป็นทุกข์" กิเลสแฝงอันเป็นความยินดีในความสุข ความสำเร็จ ก็เป็นกิเลสที่ต้องระวังมากๆ เพราะเรามิได้สังเกต..เราสังเกตได้แต่อกุศล กิเลสด้านดำนั้นเรารู้ดี ไม่มีปัญหาเพราะไม่ทำ แต่ก็อาจมีกิเลสแฝงคือการไม่ชอบเขา...ซึ่งทำให้..คำว่า “มานะ” หรือความถือตัวว่าดีกว่าในเราขยายใหญ่ขึ้น” พอกพูนอัตตาเข้าไปอีก ตกหลุมพรางซ้ำซ้อน
ครั้งนี้เลยรู้สึกเหมือนเราปีนภูเขาขึ้นมาเกือบครึ่งทางในบางครั้ง แล้วกลับตกลงไปใหม่..โธ่! แล้วเมื่อใดจะถึงยอดเขา...ความขัดใจเกิดขึ้นเล็กน้อยแล้วก็ตามรู้ได้ทันว่า..มันเป็นธรรมชาติ..เช่นนั้นแล..แค่ตามรู้ด้วยจิตเป็นกลางว่าตอนนี้ ขัดใจกับการเดินทาง อยากได้แก่น แต่บางครั้งก็กลับไปหยิบเอากิ่งและใบโดยไม่รู้ตัว...จิตมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ชอบไหลลงต่ำเสมอ...การปฏิบัติธรรมที่ต้องพากเพียรจึงเหมือนพายเรือทวนน้ำจริงๆ...เพียงหยุดฝีพาย ก็ถอยหลังไปไหนๆ....คิดแล้วก็ท้อเป็นธรรมดาอีกแล้ว... ตามรู้จิตเบื่อหน่าย คงต้องตั้งหน้าตั้งตาพายเรือต่อไป ช่วงนี้ขาดตอนในเรื่องการทำสมาธิภาวนาด้วยภาระงานและกิจอื่นมาแซงหน้า...การเจริญสติตามรู้ย่อมอ่อนกำลังลง.. การกลับมาคว้าได้เพียง กิ่งและใบจึงเป็นสิ่งเตือนให้ได้เวลาทบทวนความเพียรใหม่...
เห็นมั้ยล่ะ..ดังกฎไตรลักษณ์ ให้วนเวียนอยู่ ขึ้นไปบันไดขั้นที่ 3ได้ ก็ตกลงมาขั้นที่ 1 อีกได้... แก่นไม้ที่ดูเหมือนใกล้...มันก็ไกล๊..ไกล...เช่นนี้แล....
หมายเหตุ
สรุปความจากพระไตรปิฎกฉบับประชาชน ของสุชีพ ปุญญานุภาพหน้า 48-50 ว่าด้วยเรื่องอะไรเป็นแก่นสารในพระพุทธศาสนา
1. ผู้ศึกษาธรรมหรือออกบวชเพื่อการกำจัดทุกข์ได้หมด แต่พอใจเพียง ชื่อเสียง ลาภสักการะ ยกตนข่มผู้อื่นไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งต่อคุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ปราณีตกว่า ประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ก็เปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ได้เพียงกิ่งและใบด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น
2. ผู้ศึกษาธรรมหรือออกบวชเพื่อการกำจัดทุกข์ได้หมด แต่ไม่พอใจเพียงชื่อเสียง ลาภสักการะ ไม่ยกตนข่มผู้อื่นพยายามเพื่อทำให้แจ้งต่อคุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ปราณีตกว่า จนได้ความสมบูรณ์ด้วยศีล และกัลยาณธรรมก็อิ่มใจ ยกตนข่มผู้อื่นไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งต่อคุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ปราณีตกว่า ประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ก็เปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ถากได้เพียงสะเก็ดไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น
3. บุคคลผู้นั้นถ้าได้ความสมบูรณ์ด้วยศีล และกัลยาณธรรมก็ไม่อิ่มใจ ไม่ยกตนข่มผู้อื่น พยายามเพื่อทำให้แจ้งต่อคุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ปราณีตกว่า จนมีความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ (ความตั้งมั่นหรือความสงบแห่งจิต) ก็อิ่มใจ เต็มความปรารถนาด้วยความสมบูรณ์แห่งสมาธิ ยกตนข่มผู้อื่นไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งต่อคุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ปราณีตกว่า ประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ก็เปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ถากได้เพียงเปลือกไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น
4. บุคคลผู้นั้นมีความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ (ความตั้งมั่นหรือความสงบแห่งจิต) ก็ไม่อิ่มใจ ไม่เต็มความปรารถนาด้วยความสมบูรณ์แห่งสมาธิ พยายามเพื่อทำให้แจ้งต่อคุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ปราณีตกว่า จนได้ญาณทัสสนะ (ความเห็นด้วยญาณหรือปัญญา) ก็อิ่มใจ เต็มความปรารถนาด้วยญาณทัสสนะ ยกตนข่มผู้อื่นไม่พยายามเพื่อทำให้แจ้งต่อคุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ปราณีตกว่า ประพฤติย่อหย่อนหละหลวม ก็เปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ แต่ถากได้กะพี้ไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น
5. บุคคลผู้นั้นถ้าไม่เต็มปรารถนาด้วยลาภ สักการะ ได้ความสมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ญาณทัสสนะ ก็อิ่มใจ แต่ไม่เต็มปราถนาด้วยสิ่งเหล่านั้นพยายามเพื่อทำให้แจ้งต่อคุณธรรมอื่นๆ ที่ยิ่งกว่า ปราณีตกว่า จนดับสัญญาความจำได้หมายรู้และเวทนาความเสวยอารมณ์สุขทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุขได้) อาสวะสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา เปรียบเหมือนผู้ต้องการแก่นไม้ ก็ตัดเอาแต่แก่นไม้ไปฉะนั้น
สรุปสุดท้าย
1. ลาภ สักการะ ชื่อเสียง เปรีบบเหมือนกิ่งไม้ ใบไม้
2. ความสมบูรณ์ด้วยศีล เปรียบเหมือนสะเก็ดไม้
3. ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ เปรียบเสมือนเปลือกไม้
4. ญาณทัสสนะ หรือปัญญา เปรียบเหมือนกะพี้ไม้
5. ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ ( อุกปฺปา เจโตวิมุตฺติ) เปรียบเหมือนแก่นไม้
สวัสดีค่ะ
พระพุทธศาสนาให้คุณค่าแก่การศึกษาสูงสุด
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี
ขอบคุณนะคะที่นำสิ่งที่ดีดีมาฝาก
หวัดดีค่ะ.. RAK-NA
เตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้แล้วสินะ เหมือนพี่แหววเลย..
แหม..วันหยุดนี้มาทักก่อนใครเลยนะ...ดีใจจัง...กะว่าจะปิด Comp. แล้วเชียว..ขอให้มีความสุขในวันหยุดนะคะ....อย่าลืมออกกำลังกายบ่อยๆ นะเพื่อความแข็งแรงและก็ เสื้อผ้าจะได้ไม่หด!!!....บ๊าย..บาย ค่ะ...
โอ้!!...พ่อยอดน้องชายนายขจิต...
สวัสดีครับคุณแหวว
ดีนะครับ ที่เพื่อนคุณแหววไม่มาถามผม คงหนักกว่าที่คุณแหววตอบ ผมคงตอบทำนอง เป็นกาฝาก หรือมดแมง ไปเสียเลย อิอิ
คนเราเดี๋ยวนี้น่าเป็นห่วงครับ ไปปฏิบัติธรรมเพราะแฟชั่น ที่ต้องการเอาไปอวด ไปข่ม หรือเพื่อเข้าสังคมเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนี้อยู่บ้านมิดีกว่าหรือ?
แต่ก็ถ้าจะฝืนคิดในแง่ดีก็ได้นะครับ ว่าดีกว่าเขาไปแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่น หรือไปเป็นภัยแก่คนอื่น
โลกเรานี้ที่ยังวุ่นวาย การศึกษาในทางจิตไม่ก้าวหน้า ก็ด้วยปัจจัยหลายอย่าง แต่ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากคือการให้นิยามของศัพท์ต่างๆ ที่ผิดเพี้ยนไปมาก เช่น คำว่า กรรม, นิพพาน, ความสุข ฯลฯ เมื่อตีความผิด เดินผิดทาง แทนที่โลกจะสงบก็กลับวุ่นวายยิ่งขึ้น
ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ด้วยเหตุและปัจจัย อยากได้ผลทีดีก็ต้องสร้างเหตุและปัจจัยที่ดี ปัญหาก็อยู่ที่ว่าปัจจัยที่ดีนั้นทำยังไงก้นแน่ถึงจะถือว่าดี นั่นแหละครับ
ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆ ที่ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นครับ
เช่นนั้นเองครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีคร๊าบ.... คุณพี่แหวว....
โอ้โห....ภาษาธรรมะบางตอนค่อนข้างอ่านยากก.... (สำหรับเด็กๆอย่างโคนัน...อิอิ) ต้องอ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบกว่าจะเข้าใจ.....
ตอนนี้เข้าใจแล้วววว....
โคนันคุง
สวัสดีค่ะคุณ ธรรมาวุธ
สวัสดีค่ะ
เข้ามาร่วมฟังธรรมค่ะ
ไปทำบุญกฐินมา 1 กอง เอาบุญมาฝากค่ะ
ทำล่วงหน้าค่ะ และถุกใจตรงนี้มากๆ........
สรุปสุดท้าย
1. ลาภ สักการะ ชื่อเสียง เปรีบบเหมือนกิ่งไม้ ใบไม้
2. ความสมบูรณ์ด้วยศีล เปรียบเหมือนสะเก็ดไม้
3. ความสมบูรณ์ด้วยสมาธิ เปรียบเสมือนเปลือกไม้
4. ญาณทัสสนะ หรือปัญญา เปรียบเหมือนกะพี้ไม้
5. ความหลุดพ้นแห่งใจอันไม่กลับกำเริบ ( อุกปฺปา เจโตวิมุตฺติ) เปรียบเหมือนแก่นไม้
ซาหวัดดีค้า..า... โคนัน คุง
สวัสดีค่ะ..คุณพี่ sasinanda
สวัสดีค่ะคุณ Sirintip
สวัสดีค่ะคุณ พิชชา
สวัสดีค่ะ..คุณน้อง ขจิต ฝอยทอง
สวัสดีค่ะ.. ป้าเจี๊ยบ
สวัสดีค่ะ..คุณน้อง ขจิต ฝอยทอง
เข้ามาแผ่เมตตาให้ครับ
รวมทั้งมาศึกษาธรรมจากบันทึกของหนู
เพิ่งรู้ว่า มีอาการปวดหูเพราะอักเสบ และถูกกระทบจากความกดอากาศจากการเดินทาง
คงต้องอาศัยการเจริญสติในฐานเวทนาครับ
คือการตามดู ตามรู้เวทนาไปเรื่อยๆ
ดูเฉพาะอาการเวทนา(ปวด) แต่ไม่ใช่เราปวด
แยกใจออกมาเป็นผู้ดู ผู้รู้ ไม่ใช่ผู้แสดง
จะรู้สึกดีขึ้นและเห็นธรรมตามความเป็นจริง(ของมัน)
ที่ไม่ใช่ของเรา
แผ่เมตตาให้ตนเองได้นะครับ
บางทีอาจแวบขึ้นมาเห็น...สมุทัยได้(เหตุที่มา)
อาจหมด เปลื้องทุกข์อันนี้ได้ครับ :)
ขอบพระคุณท่านอาจารย์ พิชัย กรรณกุลสุนทร นะคะ..
มาตามบอกตามแนวอ.ธวัชชัยว่า
ขณะที่กำลังพิมพ์อยู่นี้
กินกระยาสารทที่อร่อยที่สุดในโลกอยู่
เดินไปหยิบเป็นครั้งที่สามแล้ว
จนรองๆหัวเราะ แซวว่าไม่แก่แข็งแรง(เพราะฟันยังกินได้)
ยิ่งกินยิ่งมันตามหนูโฆษณาเป๊ะเลย
ตอนนี้ยิ่งเวียนๆหัว สตง.มากวนแต่เช้า
เลยรู้สึกน้ำตาลน้อย รีบกินกระยาสารทเพิ่มพลัง
ระลึกถึงเจ้าของตามมาขอบคุณครับ ที่ช่วยเพิ่มพลังน้ำตาลในเลือด :)
สวัสดีครับคุณแหวว
การฝึกจิตเป็นการฝึกฝนตัวเองที่หนักมาก คนไหนมีทุนเดิมก็ไปถึงจุดหมายเร็ว ใครมีทุนน้อยก็ไปช้าๆ
ผมเองฝึกฝน จากการงาน หลายครั้งที่พลาดพลั้ง เสียที และประสบการณ์เหล่านั้นเองทำให้ผมกล้าแกร่ง
เหมือนเราทำทำนบดินกั้นน้ำ ทำยากเย็นทีละน้อย กั้นน้ำ พอเผลอนิดเดียวน้ำแรงทะลุทำนบเราพังหมดเลย เราก็ต้องตั้งต้นใหม่ให้ทำนบดินเราเเข็งแรง ทนต่อแรงกดของน้ำให้ได้
ขอบคุณบันทึกงามๆ ผมมาเยี่ยมบ่อยๆครับ เพียงแต่ไม่ได้ลิขิตไว้ ขอให้คุณแหววดูแลสุขภาพด้วยนะครับ ทั้งกายและใจให้เข้มแข็ง เราจะต้องเจอเรื่องราวทดสอบอีกมากมาย
ให้กำลังใจ
ธรรมะสวัสดีครับ
ทั้งนี้ผมขออนุญาต นำบันทึกลงแพลนเนตด้วยครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณค่ะคุณ ธรรมาวุธ
แหววจิตใจผ่องใสขึ้นมากด้วยยาใจจากมวลกัลยาณมิตร...ยังปฏิบัติงานได้อย่างดียิ่ง...แม้ไม่ปกติทางกาย..กำลังใจเต็มร้อย...ขอบคุณค่ะ...
ท่านอาจารย์ พิชัย คะ...
สวัสดีค่ะ...คุณเอก
เรารู้ว่าสิ่งนี้เป็นโทษ แต่ก็มิได้ละ ก็คงจะไม่พ้นจากโทษ เหมือนกับผู้ไม่พ้นจากกองเพลิง
"การทำชีวิตของตนเองให้ดีขึ้นทุกๆวัน
เป็นความมุ่งมั่นที่จะช่วยให้ทุกโมงยามที่เราผ่านไป
ไม่ต้องมีคำว่า เสียดาย ที่พลาดการทำอะไรดีๆ
ปล่อยวาง...
อยากให้มากกว่า อยากได้..
ชีวิตของเราเริ่มต้นใหม่ได้ทุกนาที จะรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ทำใม..
ไม่รู้มีหรือยัง......การบรรยายธรรมเรื่อง"ศึกษาธรรม ศึกษาชีวิต"โดย.อาจารย์สุภีร์ ทุมทอง เนื้อหาเกี่ยวกับ แก่นสารในพระพุทธศาสนา
ลองโหลดมาฟังนะครับ ขอให้เจริญในธรรมครับ.....boonprasit
ดาวน์โหลดตามลิงค์นี้ครับ: http://www.mediafire.com/?fodj21jj85k521l