ผมขึ้นต้นบันทึกนี้ด้วยถ้อยคำข้างต้นเพียงเพื่อจะบอกว่า ผมเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ...
บล็อกเกอร์หลายท่านบอกกล่าวสู่สาธารณะอย่างชัดเจนแล้วว่า “รัก, ประทับใจ, ซึ้งซาบ, อิ่มสุข” กับงานสัมมนา KM ที่เชียงใหม่มาแล้วเกือบทั้งนั้น และหลายท่านก็สารภาพอย่างไม่เขินอายว่า น้ำตาได้หยาดไหลด้วยความปลื้มปิติมาแล้วก็หลายคน
ผมมักจะโดนบล็อกเกอร์ด้วยกันแซวอยู่เสมอว่า “.. เงียบจัง ... อายเหรอ...หรือไม่ก็จิกแซวอย่างสาหัสว่า ... พูดเป็นด้วยเหรอ”
ผมเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง. เงียบขรึม แปลกแยก ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ชอบถ่ายรูป - ห้าวห้วนและตรงไปตรงมาอย่างไม่น่าให้อภัย .. รวมถึงการไม่พึงใจนักต่อการเข้าสังคมในแบบศักดินา ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้หลายคนจึงไม่กล้าและเข้าไม่ถึงที่จะมานั่งคุยอยู่ในโลกเงียบอันรื่นรมย์
ของผม -
งานสัมมนาที่เชียงใหม่ ผมเห็นความรักและมิตรภาพหลากไหลอยู่อย่างมีชีวิต แต่ละคนแต่ละท่านเปิดเปลือยตนเองอย่างไม่มี “กำแพง” ..
จะว่าไปแล้ว, ผมเป็นวิทยากรผู้ชายที่น่าจะมีอายุน้อยที่สุด .. บ่อยครั้งก็เขินอายที่จะร่วมวงสรวลเสเฮฮากับมิ่งมิตร จึงได้แต่เฝ้ามองและเฝ้าชื่นชมต่อความงดงามของมิตรภาพที่ถูกถักทอขึ้นอย่างมหัศจรรย์
“ทำไมนะ, คนเราถึงรักและผูกพันกันได้มากถึงเพียงนี้” ... นั่นคือ สิ่งที่ผมเพียรพยายามถามตนเองอย่างสุภาพ และความเป็น G2K ก็คือคำตอบที่ตอบผมอย่างไม่ซับซ้อน ...
ผมเห็นหลายท่านน้ำตาเอ่อล้นขอบตาตั้งแต่เมื่อครั้งโผซบเข้าสวมกอดกันอย่างสนิทแน่น, บางท่านซึมไหลตั้งแต่ดนตรีแห่งเพลง G2K กระหึ่มเสียงออกมาอย่างมีชีวิต, หลายท่านบอกลากันด้วยดวงตาที่ฉ่ำชื้นด้วยน้ำตา หลายท่านทิ้งคราบน้ำตาไว้ที่ไหล่ซ้ายและไหล่ขวาของเพื่อน และที่สุดแล้ว น้ำตาทุกหยาดหยดก็ไหลรวมเป็นหนึ่งเดียวอยู่ใน “หัวใจ” ของทุกคน
ผมเห็นหลายคนร้องไห้ ... แต่คงไม่มีใครรู้กระมังว่า ผมเองก็ร้องไห้อยู่อย่างเงียบ ๆ และร้องไห้อย่างแสนดังอยู่ในตัวเองเพียงลำพัง ...
ผมร้องไห้อยู่อย่างเงียบ ๆ ... นั่นคงไม่ใช่ว่าผมถูกละเลยจากมิ่งมิตร
ผมร้องไห้อยู่อย่างเงียบ ๆ ... นั่นคงไม่ใช่เพราะผมปลีกวิเวกออกจากสังคม
ผมร้องไห้อยู่อย่างเงียบ ๆ ... นั่นคงไม่ใช่เพราะเขินอายต่อความเป็นผู้ชายที่พ่ายแพ้ต่อความอ่อนไหวของมิตรภาพและความรัก
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมนะถึงร้องไห้ได้มากมาย และร้องไห้ได้ง่ายดายถึงเพียงนี้
ทำไมนะ ความรัก ถึงต้องทำให้คนเราร้องไห้อยู่อย่างไม่รู้เบื่อ ...
ทำไมนะ ความรัก ถึงต้องทำให้คนเราร้องไห้อยู่อย่างไม่รู้ร้าง ...
นั่นนะสิ ทำไมนะ คนเราถึงมีความสุขที่จะแสดงความรักด้วยการร้องไห้
สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่คำถาม หากแต่เป็นการรำพึงรำพันที่ย้ำกับตัวเองว่า น้ำตา หาใช่สัญลักษณ์ของความเปลี่ยวเศร้าเสมอไป .....
ผมได้รับการดูแลที่ดีจากมิ่งมิตรที่เป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่จากขอนแก่น, และเมื่อถึงเชียงใหม่ชีวิตของผมก็ได้รับการดูแลที่ดีจากเจ้าภาพและมิ่งมิตรทุกคน
ผมลุกขึ้นมาเขียนบทรำพึงรำพันนี้หลังจากการร้องไห้ของตนเองได้เงียบเสียงลง... และไม่ลืมที่จะหันกลับเข้าไปมองห้องหัวใจของตนเองว่าบัดนี้หยดน้ำตาของใครบ้างกำลังนั่งสนทนากันอยู่ในหัวใจของผม ...
ดูสิ ! หยดน้ำตาเหล่านั้นกำลังพูดคุยและหยอกล้อกันอย่างน่ารัก แถมยังกำลังตั้งวงเสวนา "จัดการความรู้" ในเรื่อง "น้ำตาแห่งความปลื้มปิติ" อย่างออกรสออกชาติ ...
จะมีสักกี่ครั้งกันนะที่คนเราจะได้สัมผัสกับการพานพบอย่างมีความสุขและจากลาอย่างมีความสุขเฉกเช่นครั้งนี้ ...
หมายเหตุ
(๑) บันทึกนี้เป็นความจริงในทุกถ้อยคำ และขอมอบกำนัลให้ทุกชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกันที่เชียงใหม่ และโดยเฉพาะพี่สาวสองท่านที่ผมเห็นน้ำตาหยาดไหลอยู่อย่างบ่อยครั้ง คือ พี่อึ่งอ๊อบ และ อ.ติ๋ว .. หรือแม้แต่ ครูอ้อย (พี่อ้อย) ที่แอบร้องไห้อยู่คนเดียวเหมือนกับผม !
(๒) ภาพถ่ายในบันทึกนี้ ได้รับความอนุเคราะห์ "ลักถ่าย" โดย อ.แป๋ว
สวัสดีค่ะ
ขอแวะมาซึมซับความรุ้สึกดี ๆ ด้วยคนค่ะ
ขอขอบคุณอาจารย์แผ่นดิน...
เสียดายจัง...
พี่กำลังสงสัยว่าที่ไม่ยอมนั่งรถกลับด้วย...เป็นเพราะกลัวพวกเราสาวๆ จะแอบเห็นน้ำตารึปล่าว... หรือมีเจตนาจะร้องไห้อย่างปิติสุขเงียบๆคนเดียวในระหว่างทางนั่งรถกลับบ้าน.....
สวัสดีค่ะ
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
มาขอบคุณสำหรับการเก็บบรรยากาศจาก ชม.มาฝากได้อย่างอบอุ่น ละเมียดละไมค่ะ และขอบคุณที่ทำให้รู้ว่า
รอยต่อระหว่างการพบเจอและการลาจาก คือคุณค่าและความหมายของ " ความทรงจำ "
ขอบคุณมากๆค่ะ
...รู้สึกประทับใจไปด้วยกับ งานของ g2k ในครั้งนี้ แม้ตัวเองไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์อันน่ารื่นรมณ์นั้น
...ท่านพี่แผ่นดินพูดได้กินใจเหลือเกินค่ะ..
ทำไมนะ ความรัก ถึงต้องทำให้คนเราร้องไห้อยู่อย่างไม่รู้เบื่อ ...
ทำไมนะ ความรัก ถึงต้องทำให้คนเราร้องไห้อยู่อย่างไม่รู้ร้าง ...
นั่นนะสิ ทำไมนะ คนเราถึงมีความสุขที่จะแสดงความรักด้วยการร้องไห้
... หากคำรำพึงรำพันที่ว่านั้น ต้องการหาคำตอบ....
...ท่านพี่แผ่นดิน พอจะชี้แจงคำตอบได้บ้างมั๊ยค๊ะ
"JasmiN"
สวัสดีค่ะคุณแผ่นดิน
ดิฉันประทับใจคำถามของคุณแผ่นดินนะคะ
“ทำไมนะ, คนเราถึงรักและผูกพันกันได้มากถึงเพียงนี้”
ดิฉันไม่ได้เข้ามาตอบ : ) แต่อยากบอกตามความรู้สึกจากใจว่า ....บนพื้นที่สาธารณะ ที่เราเปิดเผยตัวตนอย่างมีวุฒิภาวะ และสื่อสารเพื่อถ่ายทอดความเป็นเราอย่างที่เราเป็น
......หากมีผู้สัมผัสได้ และสื่อสารด้วยความเปิดเผยและจริงใจเช่นเดียวกันนั้น ก็ย่อมทำให้เกิดความปิติประทับใจในตัวตนของกันและกัน
....โดยเฉพาะเมื่อได้มาพบกันในโลกที่สัมผัสตัวตนกันได้จริงๆ......
คงไม่แปลกที่เรายังคงมีตัวตนอีกชุดที่อยู่ในโลกส่วนตัว
แต่ก็น่าชื่นใจนัก..ที่ผู้อื่นสามารถ "รู้จัก เข้าใจ และรัก" ตัวตนของเราได้อย่างที่เราเป็น : )
การสื่อสารทำให้เกิดความรัก"และเข้าใจ"เช่นนี้ มิได้เกิดขึ้นง่ายๆในสังคมออนไลน์ทั่วไป
.....เป็นการสื่อสารที่น่ารักมากนะคะ.....
สวัสดีครับ อาจารย์หมอวัลลภ
ผมประทับใจอาจารย์หมอฯ มาก , เป็นกันเองและมีความเมตตาต่อผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด
งานสัมมนาที่เชียงใหม่ได้เรียนรู้และหยิบยื่นอะไรต่อมิอะไรให้กับผู้เข้าร่วมอย่างหลากหลาย การหลอมรวมให้วิทยากรก้าวเช้าไปเป็นส่วนหนึ่งของงานนั้นถือว่าต้องถือเป็นแบบอย่างของการทำงานที่น่ายกย่อง
ในห้องนอนของผมที่ประกอบด้วย พ่อครูบา, อ.พินิจ, อ.ขจิต .. เราคุยกันเรื่องงานในแต่ละวันเสมอ.. บางวันมีเจ้าภาพอย่างคุณเอกมาร่วมวงเสวนา ทั้งปวงนั้นก็เพราะเรามาด้วยใจ จึงอุทิศใจให้กับงานนี้...
เห็นด้วยกับอาจารย์หมอฯ เป็นอย่างยิ่ง .. ควรจัดงานเช่นนี้ขึ้นบ่อย ๆ เอาเป็นปีละ 3 ครั้งพอไหว แต่ให้ครั้งละ 3 ปีตามที่อาจารย์หมอเปรยนั้น.... เห็นทีผมสำลักมิตรภาพและความรู้กลางเวทีแน่ครับ
ขอบคุณครับ...อย่าร้องให้คนที่บ้านเห็นนะ..เดี๋ยวคราวหน้า..อด
คุณแผ่นดิน น้องรัก
ขอบคุณสำหรับบันทึกที่เข้าถึง"หัวใจคนร้องไห้"
ขอบคุณคุณแผ่นดินมากครับ
ผมอ่านบันทึกนี้จบ เกิดอาการน้ำตาซึมเหมือนกันครับ
เพราะภาพทั้งหมดจะพรั่งพรูเข้ามา
โดยเฉพาะ คุณแผ่นดิน เป็นคนที่ลึกมาก...ซึ้งมาก
จนผมต้องแหวกว่ายตามไปเพื่อสัมผัสส่วนที่ลึกที่สุดของคุณแผ่นดินได้
อย่างไรก็ตาม...ผมได้สัมผัสทั้งภายนอก(กอด)และสัมผัสใน(จิต) ของคุณแผ่นดินมาแล้ว
น้องแผ่นดิน..กวีหนุ่มแห่งลุ่มน้ำ..(อะไรอ่ะ..มูล ชี หรือโขง??)
คนมีน้ำตาคือคนมีน้ำใจนะ
ไม่ว่ามันจะไหลรินออกมาอาบแก้มหรือรดรินให้หัวใจฉ่ำชื้น
ก็ล้วนหยาดหยดลดไล่ความแห้งผากของอารมณ์ไปได้
น้ำตาพี่หรือ..ไม่รู้แฮะ..นึกว่าที่มันไหลเพราะว่ามันแสบตาจากเครื่องฉายภาพบนเวทีกับเพราะจ้องคอม......แต่ไม่กล้าสบตาใครอ่ะ.....ได้แต่ท่องน้ำตาไหลหนอ น้ำตาไหลหนอ....(อิอิ)
สวัสดีครับ น้องซูซาน
คงหายเหนื่อยแล้วกระมัง, ...
ไม่เป็นไรนะครับยินดีให้หยิกแซวอย่างแสนสนุก บ่ ต้องเกรงใจอ้ายดอกอีหล่า ... หยิกให้แฮง ๆ อ้ายกะ บ่ ว่าดอกอีนางเอ้ย ...
....
อย่าลืมรักษาความห้าวหาญชาญชัยไว้คู่กับตนเองตลอดไปนะ, ดูแล้วมันเป็นตัวตนของเธอจริง ๆ ...
ว่าแต่อาการปวดหลังหายดีหรือยังน้อ...
สวัสดีครับ อ.แป๋ว
ผมอยากเดินทางในระยะทางอันยาวไกลอย่างไม่รีบร้อน , อยากใช้ชีวิตกับตัวเองบนรถเมล์นาน ๆ หลังจากที่ไม่ค่อยได้นั่งรถโดยสารประจำทางในลักษณะเช่นนี้มานานแล้ว.. รวมถึงการได้ให้เวลากับตนเองได้คิดและรำลึกถึงบรรยากาศของงานที่เพิ่งผ่านมาอย่างประทับใจ
และอีกอย่างอยากให้ทุกท่านได้นั่งรถอย่างสบาย ๆ ...
ผมมีความสุขกับการเดินทางที่มี อ.แป๋ว และ อ.ติ๋ว อยู่ข้าง ๆ เสมอ.. เหมือนญาติผู้ใหญ่ที่มองแล้วอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
....
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ คุณพิชชา
คุณพิชชาก็เห็นมากับตาแล้วว่าผมเป็นคนเขิน ๆ อาย ๆ อย่างไม่เสแสร้ง และแม้แต่บล็อกเกอร์หน้าใหม่หลายท่านก็ทักผมว่าตัวจริงทำไมพูดน้อยจังเลย แต่พอเขียนบันทึกทำไมเขียนเสียยืดยาว ...
ผมเป็นเช่นนี้เสมอ แต่ก็พยายามที่จะปรับปรุงให้ตนเองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี... อยากร้องเพลงได้, ช่างพูดและช่างคุยเหมือนคนอื่น ๆ ...
ระลึกถึงเสมอนะครับ,
สวัสดีครับ
^_^ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชอบมานั่งด้วยกัน
เข้าใจว่าทำไม่พี่ไม่กล้าถ่ายรูปกับท่านอ.ประพนธ์
เพราะว่าเรา
ชี้อายเเละมีโลกส่วนตัวบางส่วนที่อาจจะเหมิอนกัน?? หรือเปล่านะครับ
ขอบคุณมาตรภาพที่งดงามครับ..
สวัสดีครับ
ไม่ว่าวันนี้ หรือวันข้างหน้า ผมก็ยังยืนยันว่าในโลกแห่งการเรียนรู้ใบนี้ เราไม่สามารถสวมหน้ากากเข้าหากันได้หรอกนะครับ
รู้ก็คือรู้, ไม่รู้ก็คือไม่รู้.... เราช่วยกันได้ ...
ขอบคุณครับ...
และผมขอเป็นกำลังใจในการก้าวเดินในโลก G2K นี้เสมอไป
น้ำตาแห่งความปิติ จะวาววิบวับอยู่ในหัวใจใครต่อใครหลายคนนะคะ ^_^ ดีออก ต้อมว่า..
ผมเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง. เงียบขรึม แปลกแยก ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ชอบถ่ายรูป - ห้าวห้วนและตรงไปตรงมาอย่างไม่น่าให้อภัย .. รวมถึงการไม่พึงใจนักต่อการเข้าสังคมในแบบศักดินา ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้หลายคนจึงไม่กล้าและเข้าไม่ถึงที่จะมานั่งคุยอยู่ในโลกเงียบอันรื่นรมย์
ของผม -
อันนี้ ต้อมเองก็เป็นค่ะ เป็นเอามากเสียด้วย
สวัสดีครับ คุณเบิร์ด
งานสัมมนาครั้งนี้ใช้มิตรภาพเป็นตัวขับเคลื่อนในกลุ่มของเจ้าภาพและวิทยากร ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีกำแพงชนชั้นใดมากางกั้นวิถีความสัมพันธ์ ...
ครั้นพอจากลาก็เป็นการจากลาอย่างรื่นรมย์ อัดแน่นไปด้วยความตื้นตัน และห้วงอารมณ์เช่นนั้น จึงไม่แปลกที่หลายท่านปล่อยให้น้ำตาได้หยาดไหลอย่างไม่เขินอาย
ย้ำครับ, นี่คือการจากลาอย่างรื่นรมย์...
สวัสดีครับ อ.ลูกหว้า
สวัสดีครับ คุณแหวว
ผมอ่อนไหวและหวั่นไหวเสมอกับความงดงามของมิตรภาพ และนี่คือการจากลาที่รื่นรมย์ ซึ่งหมายถึงเป็นการจากลาที่เต็มไปด้วยความสุข ..
ยิ่งจากลาอย่างรีบเร่ง ก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงรสชาติแห่งการจากลานั้นว่ายิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่ใช่ญาติ แต่เหมือนญาติที่ขาดไม่ได้จริง ๆ ครับ
สวัสดีครับ
ทำไมนะ ความรัก ถึงต้องทำให้คนเราร้องไห้อยู่อย่างไม่รู้เบื่อ ...
ทำไมนะ ความรัก ถึงต้องทำให้คนเราร้องไห้อยู่อย่างไม่รู้ร้าง ...
นั่นนะสิ ทำไมนะ คนเราถึงมีความสุขที่จะแสดงความรักด้วยการร้องไห้
...
สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นการรำพึงรำพันกับตนเอง ซึ่งเป็นการรำพึงรำพันโดยไม่ปรารถนาซึ่งคำตอบ แต่ถ้าต้องขบคิดว่า สาเหตุอันใดล่ะ คือ มูลเหตุแห่งการร้องไห้ก็ดูประหนึ่งว่าจะยากเอาการอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ผมเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใด และมนุษย์ก็อ่อนไหวต่อการแสดงความรักต่อกันและกันมาแต่ไหนแต่ไร หรือเพราะความรักเดินทางอยู่เหนือเหตุผลหรือไรก็ไม่รู้
สรุปว่า... ผมเองก็คงหาคำตอบไม่ได้จริง ๆ แหละครับ...
รู้แต่เพียงว่า น้ำตา เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของการมีความสุขของมนุษยชาติ ..
...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ
เป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก ครับ นั่นคือ "การสื่อสารทำให้เกิดความรัก"และเข้าใจ"เช่นนี้ มิได้เกิดขึ้นง่ายๆในสังคมออนไลน์ทั่วไป "
นี่คือข้อสังเกตแห่งยุคสมัย และดูจะข้อวิพากษ์สังคมได้อย่างน่าคิด ซึ่งเราก็พบเห็นข้อเท็จจริงอยู่บ้างในโลกออนไลน์ทั่วไป ดังจะเห็นได้จากภาพในหน้าข่าวสื่อสิ่งพิมพ์ หรือแม้แต่โทรศัพท์ที่สื่อให้เห็นผลพวงอันเลวร้ายของโลกออนไลน์
ยกเว้น G2K ที่เป็นโลกออนไลน์ที่มีคุณค่าต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ช่วยให้แต่ละท่านเกิดโลกทัศน์และชีวทัศน์ที่ดีขึ้น
....
ขอบคุณครับ,
ขอบคุณข้อสังกตที่ผมเองก็นึกไม่ออก..
สวัสดีครับ พี่สมนึก
ขอบพระคุณพี่ชายท่านนี้มากเลยที่มาช่วยเตือนสิต
ขืนร้องไห้ให้เขาเห็น มีหวังคราวหน้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่ไหนไกล ๆ เป็นแน่
ว่าแต่, ตอนนี้สงสัยแอบมาอ่านบันทึกนี้แล้วกระมังครับพี่ !
สวัสดีครับ อ.ติ๋ว
ก็อย่างที่ผมบอกแหละะครับ บันทึกนี้ชัดเจนคือเขียนขึ้นเพื่อมอบให้ อ.ติ๋ว.. ผู้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งเสียงหัวเราะและนำพาหยาดน้ำตามาสู่ผู้คน ซึ่งทำให้เสียงหัวเราะและน้ำตากลายเป็นส่วนหนึ่งของงานอย่างเปิดเผย ...
สวัสดีครับ คุณหมอสุพัฒน์
พี่เป็นคนที่มีโลกส่วนตัวในสังคมเสมอ.. ดังนั้นจึงไม่ชอบอยู่กับระบบพิธีรีตอง และมักหลบเร้นปลีกวิเวกมาอยู่ด้านหลังเพื่อเฝ้ามองและเก็บเกี่ยวเรื่องราวต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ...
แปลกแต่ก็จริง, ไม่ชอบเข้าสังคม และก็อยู่กับสังคมแห่งการสังสรรค์อย่างบ่อยครั้ง ...
แต่งานที่เชียงใหม่... เต็มไปด้วยความสุขและความประทับใจ ครับ -
สวัสดีครับ คุณต้อม
ผมดีใจมากครับที่รู้ว่าคุณต้อมก็มีตัวตนคล้ายกันอยู่บ้าง ...
ผมเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง. เงียบขรึม แปลกแยก ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ชอบถ่ายรูป - ห้าวห้วนและตรงไปตรงมาอย่างไม่น่าให้อภัย .. รวมถึงการไม่พึงใจนักต่อการเข้าสังคมในแบบศักดินา ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้หลายคนจึงไม่กล้าและเข้าไม่ถึงที่จะมานั่งคุยอยู่ในโลกเงียบอันรื่นรมย์
ของผม
....
ขอบคุณครับ