ผมนั่งเขียนเรื่องนี้ในโรงแรม หลังจากกลับมาถึงกรุงเทพก่อนเที่ยงคืน ง่วงและเพลียเหมือนคนอื่นนั่นแหละ แต่ถ้าไม่เขียนคืนนี้ รุ่งเช้าก็จะมีเรื่องอื่นมาแซงความงดงามที่เป็นกลิ่นอายที่ยังติดตัวติดใจมาตลอด ความคิดถึง ความห่วงใย เป็นความซาบซึ้งที่พูดไป พวกที่อยู่นอกก๊วนและไม่ได้สะสมต้นทุนประสบการณ์ ไม่ได้ทำบุญร่วมชาติตักบาตรขัน ยากที่จะเข้าใจได้..จริงๆนะ รึมีใครปวดฟันแทนกันได้
สิ่งที่พวกเราแสดงออกเป็นจริตแต่ไม่ใช่เรื่องดัดจริต ไม่มีใครแสแสร้งหรือหลอกตัวเอง มันน่าจะเป็นกรรมดีของคนกลุ่มหนึ่งที่มีมิติทางสังคม ถามว่าช่วยสังคมได้แค่ไหน ก็ตอบว่าไม่รู้ เพราะเป็นเรื่องใหญ่มาก ระดับพวกเราเองคงไม่มีปัญญาไปแบกสังคมได้ เอาแค่ว่ามีมุทิตากับเรื่องทางสังคมบ้างก็ดีแล้ว เพราะทุกคนที่มาก็ไม่ใช่กระจ๊อกงอกง่อยอะไร ถ้าอยู่ในสำนักงานก็แทบว่าจะชี้นิ้วได้ถ้าเป็นคนบ้าอำนาจ แต่มาที่นี่เธอเป็นคุณแจ๋วอย่างสนุกและเต็มใจ
กระบวนการตรงนี้ต่างหากที่มันช่วยลดอัตตาของคนได้ดี ผมชวนอาจารย์ขจิต และน้าอึ่งอ๊อบไปทำบุญตักบาตร ล้างห้องน้ำให้วัด เป็นการช่วยเคาะกะโหลกให้เรา3คนลดความลืมตัวลืมตีนได้อย่างชะงัด ถามว่าเราเก่งดีวิเศษนักหรือ เปล่าเลย อยู่ในระหว่างเรียนรู้เทียบได้กับเด็กอมมือ แต่เป็นเด็กที่ก้าวพ้นเรื่องอวด เก่ง ดี มีความเป็นเลิศประเสริฐศรี เราถอยมาอยู่กับตัวเอง ดูเงา-ดูใจ-ดูวิสัยทัศน์ กันเอง จนรู้สึกว่ามันจูนใจกันเข้าเป็นหัวใจดวงเดียวกันก็เท่านั้น อาจารย์จันทรัตน์ถามว่า ผมรู้สึกอย่างไรกับการพบเพื่อนหน้าใหม่ๆครั้งแรก มีใครบ้างที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของผม อาจารย์คงหมายถึงหน้าตารูปร่าง ผมตอบว่า..ไม่มีใครอยู่นอกเหนือความคาดหมายสักคน เพราะผมไม่ได้มองที่หน้าตาสังขาร แต่ผมมองที่ใจ ก็เลยไม่เคยรู้สึกประหลาดใจใดๆกับญาติที่รักสักคน มีแต่ความอิ่มเอมใจที่ได้รู้จัก จนกล้าพูดบนเวทีว่าชาตินี้ผมโชคดีเพียงพอแล้ว จำได้ไหมจ๊ะ..
ชาวBloggersส่วนใหญ่จะมีมิติทางสังคม ระบบจะคัดกรองเองว่าใครคือเพื่อนที่แท้จริงของเรา กระบวนการตรงนี้มีเรื่องที่น่าศึกษายิ่งนัก การที่เราจะให้คนไทยมาเอื้ออาทรกัน ช่วยกันทำงานอย่างมีความสุข เสียสละเหมือนย้อนรอยไปสู่การทำบุญทำทาน เรียนรู้อย่างอิ่มเอิบใจ มีความผูกพันฉันญาติสนิท สมัยก่อนคนอีสานใช้ประเพณีผูกเสี่ยว แต่พวกเราไม่ได้มีพิธีอะไรเลย มันเกิดสัมพันธภาพที่ดีขึ้นมาได้อย่างอัศจรรย์ ที่ดีกว่าการผูกเสี่ยวคือไม่ได้กำหนดอายุ แต่ระบบเฮฮาศาสตร์กำหนดด้วยจริตแห่งหัวใจ
ในการจัดงานเฮฮาศาสตร์ครั้งแรก แป๊ดลูกสาวผม เธอชวนเพื่อนๆขนลูกหลานมาจากสงขลา ถ้าจะนึกหาเหตุผลมาตอบ นึกให้ตายก็บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร เราไม่เคยพบกันมาก่อนเลย มาถึงโผเข้าหากัน จนหลานๆสงสัยว่าเราไปรู้จักกันตอนไหน ทำไมทำเหมือนคนคุ้นเคยกันมานาน แป๊ด เป็นคนเฉลยเอง เธอบอกว่า “ใจสั่งมา”
กระบวนการอะไรที่มันสามารถสั่งใจได้ ผมคิดว่ามันเยี่ยมที่สุดแล้ว ที่เรากำลังค้นหากันแทบตายก็เรื่องใจนี่เอง ดังนั้นกระบวนการKM. มันไม่ได้จบลงตรงการจัดการความรู้เท่านั้น แต่บูรณาการชีวิตจิตใจเข้าด้วยกัน ในโลกนี้มีกี่ศาสตร์มันมาหลอมรวมกันอยู่ในนี้หมด ผมจึงเชื่อมั่นกับอนุภาพของBlog มันเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับคนที่เข้าใจเข้าถึงอย่างถ่องแท้ สัมพันธภาพที่ก่อหวอดขึ้นในใจค่อยๆเติบโต จนถึงจุดๆหนึ่ง จะมีหนุ่มๆสาวๆหน้าตาดีมาขอเป็นลูกผม ต่อมาไม่จำกัดเฉพาะช่วงวัยหนุ่มสาว คุณน้า คุณอา ครูบาอาจารย์ก็เป็นเครือญาติชั้นเยี่ยมหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้ คุยได้ทุกเรื่อง ไว้วานกันได้ทุกกรณี ฝากผีฝากไข้กัน เกิดความรู้สึกร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอย่างแท้จริง
กราบสวัสดีพ่อครูบาค่ะ
สวัสดีค่ะพ่อฯ
ทำหนูน้ำตาซึมก่อนทานข้าวเที่ยงซะแล้ว ยังไงหละก็ปิดเทอมนี้ อย่าลืมเว้นที่หัวใจไว้ให้หลาน ๆ ได้แวะเวียนไปหาด้วยนะคะ
อ้อ รูปพ่อรูปนี้ เท่ห์มากเลยค่ะ
ใจสั่งมาใช่ไหม ดีเนอะ
ดีจังเลยค่ะ กับใจสั่งมา
เรียนพ่อครูบาที่เคารพ
เมื่อวานขณะนั่งรถกลับจากสนามบินอุดร ไปขอนแก่นเรา (แป๋ว พี่ติ๋ว และน้องกะปุ๋ม) ต่างรู้สึกเสียดายที่รีบกลับ อยากตามพ่อครูบาไปลำพูน ไปล้างห้องน้ำวัดด้วยค่ะ ...
สวัสดีค่ะ พ่อครูบา (เอาอย่าง)
อาจจะจัดโปรแกรมแบบกระชับ เลี้ยงส่งอาจารย์ขจิตไปอเมริกา เดือนหน้าครับ ยังไม่กำหนดวัน
ผมดีใจเป็นที่สุดที่ได้มีโอกาสอ่านบทกวี "เฮฮาศาสตร์" ที่ตนเองแต่งขึ้นต่อสาธารณะ ...
ชั้นเชิงกลอนไม่ได้มาตรฐาน แต่ความตั้งใจ เกินร้อยแน่นอนครับ
....
อยู่ดีมีความสุขครับพ่อฯ