วิจัยท้องถิ่นกับจัดการความรู้ท้องถิ่น
สกว.
สำนักงานภาค ส่งหนังสือ
“วิจัยท้องถิ่น...เฮ็ดจั๋งซี้” เขียนโดย
ดร. พัฒนา กิติอาษา
มาให้ เป็นหนังสือใหม่เอี่ยมตีพิมพ์เดือน
มิ.ย.48 นี่เอง แต่สาระในเชิงข้อมูลเก็บในช่วงปลายปี
46
อ่านแล้วเกิดภาพความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรม 4 ด้าน
เป้าหมายที่สำคัญคือ
การเรียนรู้ของคนในท้องถิ่น/ชุมชน
และการพัฒนาอย่างยั่งยืนของท้องถิ่น/ชุมชน
ผมจะไม่สรุปหนังสือเล่มนี้เอามาเล่า เพราะ ดร.
พัฒนาเขียนในเชิงสรุปและอ่านง่ายมากอยู่แล้ว
ใครสนใจหาซื้อได้จากศูนย์หนังสือจุฬาฯ ราคาเพียง 90
บาท
ผมจะตีความจากหนังสือเล่มนี้เปรียบเทียบระหว่างการวิจัยท้องถิ่นกับการจัดการความรู้ท้องถิ่น
ซึ่งมีความเหมือนหรือคล้ายคลึงกันมากกว่าความต่าง
ส่วนที่เหมือน
1.
เริ่มจากประเด็นชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านเหมือนกัน
2.
มีชาวบ้านหรือคนในชุมชน/ท้องถิ่นเป็น “นางเอก” หรือ “พระเอก”
ในกิจกรรมเหมือนกัน
3.
ไม่เริ่มจากศูนย์/ไม่นับหนึ่งใหม่เหมือนกัน
คือใช้สมมติฐานว่าความรู้เพื่อการแก้ปัญหาในประเด็นวิจัยหรือจัดการความรู้ส่วนหนึ่งมีอยู่แล้วในชุมชน
โครงการวิจัยท้องถิ่นใช้วิธีค้นหา “ผู้รู้" ในชุมชน ส่วน
KM ใช้วิธีหา “ผลสำเร็จ” และกลุ่มคนที่ร่วมกันสร้างผลสำเร็จขึ้น
4. เน้นการเล่าเรื่อง
เพื่อค้นหาความรู้จากเรื่องเล่านั้น
5.
มีการชวนกันไปดูงานภายนอก
เพื่อเก็บเอาความรู้ภายนอกมาปรับใช้ ในภาษา KM
เรียกว่าไปดูดซับ (capture) ความรู้ภายนอกมาใช้
การค้นหาความรู้จากภายในชุมชนตามข้อ 3 ในภาษา KM
เรียกว่าเป็นการค้นหา
(capture) ความรู้จากภายในชุมชนเอง
6.
มีผู้ช่วยเหลืออำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมของชาวบ้านหรือคนในท้องถิ่น
ในภาษาของการวิจัยท้องถิ่นเรียกว่า “พี่เลี้ยง”
ในภาษา KM เรียกว่า “คุณอำนวย” (Knowledge Facilitator)
7. ผลลัพธ์ที่สำคัญคือ
“ความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง” (self – confidence)
ของชาวบ้านหรือคนในท้องถิ่น
ส่วนที่ต่าง
1.
การวิจัยท้องถิ่นรวบรวมความรู้จาก “ผู้รู้”
โดยการสัมภาษณ์และ/หรือการจัดเวทีเสวนา
KM เน้นสกัดความรู้จากกลุ่มผู้สร้างความสำเร็จโดยใช้เทคนิค
storytelling (เรื่องเล่าเร้า
พลัง) และสกัดความรู้โดย “คุณลิขิต” ร่วมกับสมาชิกกลุ่ม
แล้วสังเคราะห์เป็น “แก่นความรู้”
2.
การวิจัยท้องถิ่นเน้นการรวบรวมความรู้จาก “ผู้รู้” เป็นคน
ๆ แต่ KM
เน้นสกัดความรู้จากกลุ่มผู้ร่วมกันสร้างความสำเร็จ
เน้นการมองความรู้เพื่อความสำเร็จจากหลากหลายมุมมอง
3. “พี่เลี้ยง”
ในงานวิจัยท้องถิ่นดูจะมีบทบาทมากกว่า “คุณอำนวย”
ที่เน้นการจุดประกายและคอยช่วยอำนวยความสะดวกอยู่ห่างกว่า
4. KM
เน้นการจดบันทึกมากกว่า และเน้นให้ชาวบ้านคือ “คุณกิจ”
(Knowledge Practitioner)
เป็นจดบันทึกกิจกรรมของตนเอง
5. การ “ถอดความรู้”
ของงานวิจัยท้องถิ่นค่อนไปทาง “ถอด” ออกมาเป็นความรู้เชิงทฤษฎี
(Explicit Knowledge) สำหรับสื่อสารกับคนภายนอก แต่ใน KM
เน้นการ “สกัด” ออกมาเป็นเกร็ดความรู้เล็ก ๆ จำนวนมากมายที่ยังเป็น
“ความรู้ฝังลึก” หรือ “ความรู้ปฏิบัติ” (Tacit Knowledge)
สำหรับให้ชาวบ้านเอาไปใช้งานแล้วร่วมกันตีความ “สกัด”
ความรู้ร่วมกันอีก หมุนเวียนเรื่อยไปไม่รู้จบ
6. หากเป็นไปตามข้อ 5
ดูเสมือนว่า KM จะส่งผลต่อ “ความยั่งยืน”
ของการพัฒนาท้องถิ่นมากกว่า
การตีความของผมอาจมีความลำเอียงอยู่ด้วย และจริง ๆ
แล้วการวิจัยท้องถิ่นที่ดีอาจก่อผลต่อ
ความยั่งยืนของการพัฒนาท้องถิ่นดีกว่า KM
ที่ไม่ค่อยแข็งแรงก็ได้
เราไม่ได้เน้นที่การเปรียบเทียบว่าวิธีการไหนดีกว่ากัน
แต่เราเน้นทำความเข้าใจพลังของเครื่องมือทั้งสองนี้
ผมมองว่าเครื่องมือทั้งสองนี้จะช่วยเสริมพลังซึ่งกันและกัน
และหากมองด้วยใจกว้าง อาจเห็นว่าเป็น 2
ด้านของเหรียญเดียวกันก็ได้
และไม่ว่าจะเริ่มจากฐานวิจัยหรือฐาน KM
ก็น่าจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
และดูดซับวิธีการที่เป็นจุดแข็งของอีกฝ่ายหนึ่งไปใช้
เพราะต่างก็มีเป้าหมายที่การทำให้สังคมท้องถิ่นเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ด้วยกัน
วิจารณ์ พานิช
ไม่มีความเห็น