วันนี้เข้ามาเขียนด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไร เพราะว่ากว่าจะเข้ามาได้ ยากๆแสนยากๆๆๆๆ ไม่รู้เป็นไง สงสัยเน็ตที่บ้านเสียแน่ๆ เฮ้อ.....คนเรานะทำอะไรก็อยู่กับเทคโนโลยีทั้งนั้น ถ้าไม่มีเกิดวันหนึ่ง เทคโนโลยีเหล่านี้มันเกิดช๊อร์ดขึ้นมา ไม่สามารถใช้ได้ทุกอย่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าคนเราสมัยใหม่จะอยู่กันได้เปล่านะ จะสามารถดำเนินชีวิตได้เปล่านะ น่าคิดเหมือนกัน พอพูดถึงเรื่องการดำรงชีวิตก็นึกถึงเรื่องของคุณสุทธิศิลป์ ที่ทำรายงานเรื่องการตำข้าวแบบครกมอง วันนี้ก็เลยจะเอาการตำข้าวแบบครกมองมาให้อ่านกัน ลองดูเลยนะ "การทำ “ครกมอง” ( เครื่องตำข้าวแบบท้องถิ่น)" เพื่อให้คนในชุมชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เกี่ยวกับการตำข้าว หรือโรงสีข้าวแบบท้องถิ่น ซึ่งชาวไทยภูเขาได้สืบถอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงขณะนี้ นับว่าเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวไทยภูเขา “เผ่ากระเหรี่ยง” กับการตำข้าวเปลือกให้ได้มาเป็นข้าวสารในการนำมาบริโภค จนถึงปัจจุบัน การตำข้าวโดยการใช้ครกมองนี้ มีมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ไม่รู้กี่รุ่นสู่กี่รุ่น นับเป็นเวลากว่า 300 ปี ที่ผ่านมา เพราะเมื่อสมัยก่อนยังไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และยังไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวก สบาย เหมือนอย่างเช่นปัจจุบัน เครื่องตำข้าวแบบครกมองนี้ นับได้ว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ภูมิปัญญาของคนในสมัยก่อนอย่างแท้จริง การตำข้าวแบบนี้เป็นการออกกำลังกายภายในตัว และจะต้องใช้คนที่จะมาตำข้าว 2 คนขึ้นไป เป็นภูมิปัญญาที่ควรสืบทอดและอนุรักษ์ไว้สืบต่อไปพ่อหลวง ก๋องคำ ช่างซอ ปัจจุบันอายุ 73 ปี เกิดที่บ้านป่างิ้ว หมู่ที่ 4 ตำบลทาเหนือ กิ่งอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ เกิดภายในหมู่บ้านป่างิ้ว โดยมีหมอตำแยเป็นผู้ทำคลอด ตั้งแต่เกิดมาก็ได้กินข้าวที่ตำจากครกมองมาตลอด พ่อหลวงก๋องคำผู้ให้ข้อมูลกล่าวว่า การตำข้าวโดยการใช้ครกมองนี้ควรเก็บรักษา และอนุรักษ์ไว้คู่กับหมู่บ้านนาน ๆ เพื่อให้เยาวชนที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันหน้า ก็อยากจะให้อนุรักษ์ไว้ให้กับลูกหลานในวันข้างหน้าสืบต่อไป การตำข้าวแบบครกมองนี้จะมีอยู่ในหมู่บ้าน ( ถ้าเป็นเมื่อสมัยก่อน ก็อาจจะมีกันครบทุกครัวเรือน ) หรืออาจจะมีในหมู่บ้าน ๆ ละที่หนึ่ง เพราะในสมัยนั้นยังมีครัวเรือนไม่มาก เริ่มต้นจากการนำข้าวเปลือกมาเทใส่ในครกมอง แล้วใช้คนที่จะทำการตำข้าวขึ้นไปเหยียบที่หางคานตำข้าวให้เป็นจังหวะ เหยียบไปเลื่อย ๆ จนกว่าที่จะได้ข้าวสาร แล้วจากนั้นก็นำข้าวที่ตำในครกมองออกมา ทำการเหิน การเหินนั้นจะต้องใช้ความชำนานเป็นอย่างยิ่ง พอเหินเสร็จก็จะได้ข้าวที่ตำจากครกมอง เพื่อนำมาบริโภคในครอบครัว จะไม่มีการขาย การตำข้าวแบบครกมองจะใช้เวลามากน้อยก็ขึ้นอยู่กับจำนวนข้าวที่นำไปตำกับครกมอง แต่จะมีการตำข้าวทุก ๆ วัน ในตอนเช้า เวลาประมาณ ตี4 หรือ ตี 5 การตำข้าวโดยการใช้ครกมอง จุดที่สำคัญที่สุดคือ การเหินข้าว การเหินข้าวนั้นถ้าไม่มีความชำนานแล้ว จะได้ข้าวที่รำข้าวติดอยู่มาก จะทำให้การนำมาบริโภคนั้นไม่อร่อย และจะทำให้ข้าวเปลือกที่ปะปนอยู่ในข้าวติดคอได้ง่าย การตำข้าวโดยการใช้ครกมองในแต่ละครั้ง จะนำข้าวมาตำแค่เพียงพอในการบริโภคต่อวันเท่านั้น พอวันรุ่งขึ้นก็นำข้าวเปลือกมาตำใหม่ เพื่อเป็นการออกกำลังกายภายในตัว การตำข้าวแต่ละครั้งจะไม่มีการนำข้าวที่ตำแล้วนำมาจำหน่าย เพราะการตำข้าวแบบนี้จะต้องอาศัยพึ่งพาซึ่งกันและกัน เหมือนฉันพี่น้อง เปรียบสะเหมือนครอบครัวเดียวกันชาวบ้านในสมัยนั้นจะไม่ต้องการรายได้ จะอยู่กันอย่างเศรษฐกิจพอเพียง มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถ้ามีของเหลือเก็บก็จะนำสิ่งของเหล่านั้นมาแลกเปลี่ยนกัน โดยจะไม่ใช้เงิน ทองในการดำรงชีวิต การตำข้าวโดยการใช้ครกมอง เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีการเรียนรู้ และมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแพรซึ่งกันและกัน และมีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายโดยไม่มีการแก่งแย่งชิงดี หรือ คิดอิจฉา ริษยา เพราะผู้คนที่อาศัยอยู่ในชุมชนเปรียบสะเหมือนเป็นพี่น้องกัน จึงอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข พ่อหลวงก๋องคำ ช่างซอ นับว่าเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีการดำรงชีวิตอยู่ในชุมชนนี้มามากพอที่จะให้ลูกหลานได้สืบทอด ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่มีมาอย่างช้านาน และยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่พ่อหลวงก๋องคำ ได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษและจากประสบการณ์จริงที่ได้สั่งสมมากว่า 70 ปี
ยาวหน่อยนะครับ แต่เมื่ออ่านจบแล้วมันทำให้น่าคิดนะครับว่า คนในอดีตเขายังอยู่กันได้ โดยไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีต่างๆ แต่มาสมัยปัจจุบันเรากับเสียอารมณ์ในเทคโนโลยีที่ไม่ตอบสนองความต้องการของเรา ทำไงน้า......ถึงจะให้คนเราได้รู้จักคำว่า " พอ" เสียทีนะ ใครรู้วิธีช่วยบอกหน่อยสิครับ