บันทึกนี้เป็นบันทึกที่สองของผมแล้วครับสำหรับการเขียนถึงผู้ที่จากไปจากเหตุการณ์ความไม่สงบ คนที่สองที่เป็นมิตรที่ดีถึงแม้จะไม่ค่อยได้เจอะเจอกันก็ตาม
เมื่อเช้า ผมพาลูกไปฉีดวัคซีนที่อนามัยบ้านสโร่ง ได้เจอพี่เจ้าหน้าที่ ซึ่งนับถือศาสนาพุทธ (รู้สึกว่าจะเป็นคนเดียวในอนามัย) แน่นอนครับ ความรู้สึกแรกคืออยากทักทายในฐานะคนรู้จักกัน แต่ในใจกลับคิดว่า จะใช้คำทักทายว่าอย่างไรดี เพราะในใจผมมีร่องรอยความสลดใจ เสียใจกับการจากไปของพี่อ้อย เจ้าหน้าที่อนามัยตำบลประจัน ซึ่งเป็นอีกคนที่ผมรู้จัก (ผมเชื่อว่าทุกคนคงได้รับทราบข่าวแล้ว)
คำทักทายผมคือ เป็นงัยบ้างครับพี่
พี่ท่านนี้ก็ตอบว่า สบายดี แล้วนิ่งไปสักพักหนึ่งแล้วตอบว่า คงไม่ดีเท่าไรหรอก แล้วเราก็คุยกันเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่อ้อย
ผมได้รับข่าวการบุกยิ่งเจ้าหน้าที่อนามัยจากการโทรศัพท์บอกของภรรยาครับ (ขณะที่ผมอยู่ที่กทม.) ซึ่งเธอโทรบอกผมว่า พี่สาวของผมโทรมาบอก(อีกทีหนึ่ง)ว่า พี่อ้อยถูกยิ่งเสียชีวิตที่อนามัย
ผมไม่ได้ถามรายละเอียดมากครับ เพราะคิดว่าคงติดตามข่าวได้ แต่แล้วก็ไม่ได้ดูข่าวเพิ่มเติม
ผมนึกย้อนไปว่า กรณีของพี่อ้อย คล้ายๆ กับกรณีของ สารวัตรประชาครับ คือ เป็นคนที่คลุกอยู่กับชุมชน เพราะเมื่อหลายเดือนก่อนผมเพิ่งให้พี่อ้อยติดรถไปร่วมประชุมการวิจัยชุมชนของ สกว.
หากมองย้อนไปอีก ผมก็ต้องบอกว่า พี่อ้อยนี้แหละคนที่เป็นจราจรตรวจจับความเร็วการขับรถของผม แฮะ แฮะ แล้วโทรแจ้งพี่สาวผม แล้วพี่สาวก็จะโทรถามผมว่า จะรีบไปไหน มีคนรายงานว่า ขับรถแบบด่วนจี๊
แต่ตอนที่พี่อ้อยไปสัมมนาที่หาดใหญ่พร้อมผม วันนั้นผมต้องรีบขับครับ เยียบร้อยสี่สิบ พี่อ้อยบ่นไม่ออกเลยครับ
ขอเก็บความทรงจำดีๆ ไว้ และขอไว้อาลัยกับการจากไปที่ไม่หวนกลับ
ขอร่วมไว้อาลัยด้วยคนค่ะ
วันที่ทราบข่าวคือวันที่ได้ไปร่วมเป็นวิทยากรเรื่องการจัดารความรู้ด้านสุขภาพให้กับสาธารณสุขจังหวัดตรัง (9-10 สค. 50)
เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันช่วยสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดสันติสุขในภาคใต้ด้วยกันค่ะ
ขอบคุณ
สวัสดีค่ะ อ. จารุวัจน์
ขอไว้อาลัยต่อการจากไปของ "พี่อ้อย" ด้วยค่ะ
ระวังรักษาตัวด้วยนะค่ะ
ด้วยความเป็นห่วงค่ะ
จันทวรรณ