หน้าแรก
สมาชิก
ห้องสมุดกรมบัญชีก...
สมุด
สรุปข่าวประจำวันข...
"อัมมาร" ชี้ทางรอ...
ห้องสมุดกรมบัญชีกลาง CGD Library
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
"อัมมาร" ชี้ทางรอดวางยุทธศาสตร์บาท
"อัมมาร" ชี้ทางรอดวางยุทธศาสตร์บาท
"
อัมมาร" แนะรัฐบาลกำหนดยุทธศาสตร์อัตราแลกเปลี่ยน กำหนดเป้าหมาย "บาท" และไม่ควรให้
ธปท.ดำเนินการโดยอิสระ ทั้งนี้ ค่าเงินที่เหมาะสมอิงดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากสุดไม่เกิน
2%
ของจีดีพี
ด้าน
"ชฎา"เสนอใช้มาตรการภาษีเก็บเงินทุนระยะสั้น ที่เข้ามาเก็งกำไร "ฉลองภพ" นัดแบงก์ชาติ หารือ
20
ส.ค.วางแผนดูแลค่าเงินไม่ให้แข็งค่าเกินไป
ในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มีนาย
มีชัย ฤชุพันธุ์
ประธาน สนช. เป็นประธาน ได้มีการพิจารณาญัตติเปิดอภิปรายเพื่อซักถามข้อเท็จจริงจากคณะรัฐมนตรี ในกรณีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาการแข็งตัวของค่าเงินบาท และนโยบายการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสถานะ
ของประเทศชาติโดยรวม ซึ่งนาย
ประพันธ์ คูณมี
กับคณะเป็นผู้เสนอ
ทั้งนี้ ในส่วนนายประพันธ์ อภิปรายว่าปัญหา
การแข็งตัวของค่าเงินบาทเป็นปัญหาที่ไม่ปกติไม่เป็นไปตามกลไก มีปัญหามาจากการเก็งกำไรค่าเงินจนเกิด
ความผันผวน
ขณะเดียวกัน ในภาวะที่สองตลาด ออนชอร์และออฟชอร์ ห่างกันถึง
4
บาท หรือ
11-12%
ทำให้
มีการเก็งกำไรมากขึ้น เพราะขนเงินไปกลับ หรือใช้วิธีโพยก๊วน เท่ากับว่าทำกำไร
24%
โดยความเคลื่อนไหว
ค่าเงินบาทวานนี้ ตลาดในประเทศ (ออนชอร์) อยู่ที่
33.97-34.02
บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ตลาดเงินบาท
ต่างประเทศ (ออฟชอร์) อยู่ที่
30.80-30.89
บาทต่อดอลลาร์
ดร.
อัมมาร สยามวาลา
อภิปรายว่าปัญหาค่าเงินบาทกลายเป็นปัญหารุนแรงในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจาก
ธปท.ปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวอย่างเสรีมากเกินไป และลอยตัวมากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เมื่อมี เงินทุน
ไหลเข้าในประเทศจำนวนมากค่าเงินบาท จึงแข็งค่ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และกลายเป็นปัญหาต่อ
ภาคเศรษฐกิจจริง ทั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
ขณะเดียวกัน ในการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจของ ธปท.
นั้น
แม้ว่าการใช้เป้าหมายเงินเฟ้อจะเป็นเรื่องที่ดีแต่การที่ ธปท.ยึดติดกับเป้าหมายการดูแลเงินเฟ้อมากจนเกินไป
จนเกือบจะเป็นเป้าหมายเดียวที่ ธปท. มีอยู่จนกลายเป็นปัญหา เห็นได้จากในช่วงเดือน ธ.ค. ปีก่อน ที่ ธปท. ออกมาตรการกันสำรอง
30%
นั้น
ก็ด้วยเหตุผลที่ ธปท. ไม่กล้าปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพราะกลัวจะทำให้
อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น จากการยึดติดกับเป้าหมายเงินเฟ้ออย่างเดียวของ ธปท.ทำให้ธปท.ควรมีเป้าหมายในด้าน
อัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ใช่หันกลับมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบ "คงที่" เช่นอดีต แต่อาจจะเป็นการ
กำหนดเป้าหมายในลักษณะที่ให้อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับที่จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยขาดดุล หรือ
เกินดุลไม่เกิน
2%
ของจีดีพี โดยการกำหนดเป้าหมายด้านอัตราแลกเปลี่ยนนี้ รัฐบาลควรจะมียุทธศาสตร์ในการกำหนดกรอบนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้การดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ดำเนินไปรายวัน อีกทั้งการกำหนดกรอบก็ไม่ควรให้ ธปท.ดำเนินการโดยอิสระ เพราะ ธปท.ควรจะเป็นคนใช้ยุทธวิธีที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเท่านั้น
สำหรับเครื่องมือที่ภาครัฐจะนำมาใช้ในการดูแลค่าเงินบาทนั้นก็ควรมีหลายอย่าง โดยเครื่องมือหลักของ
ธปท. คืออัตราดอกเบี้ยซึ่งจริง ๆ แล้ว ในช่วง
4-5
ปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยแทบจะไม่มีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ
ไม่ว่าจะในทางที่ดีหรือเสีย เพราะสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์มีอยู่จำนวนมาก และเงินเฟ้อก็อยู่ในระดับ
ต่ำ อัตราดอกเบี้ยจึงเป็นเครื่องมือแรก ๆ
ที่ ธปท. ควรนำมาใช้ในช่วงที่เงินทุนไหลเข้าประเทศมีจำนวนมากในช่วงเดือนธ.ค. ปี
2549
แต่ ธปท. กลับไม่ใช้ดอกเบี้ยและเลือกที่จะออกมาตรการกันสำรอง
30%
แทนเครื่องมือ
เครื่องมือที่สองที่สามารถใช้ในการดูแลค่าเงิน ก็คือการแทรกแซงค่าเงินโดยเอาเงินบาทไปซื้อดอลลาร์ ซึ่ง
ในส่วนนี้ก็จะอาจจะทำให้มีปัญหาเงินเฟ้อตามมาได้ ทำให้ ธปท. ต้องออกพันธบัตรมาดูดซับและมีภาระดอกเบี้ย
ซึ่งในกรณีนี้ หาก ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงด้วย ก็จะทำให้ภาระดอกเบี้ยของ ธปท. ลดน้อยลง ซึ่งในหลาย
ประเทศก็ใช้การดูแลค่าเงินด้วยวิธีนี้ทั้งจีน มาเลเซีย และญี่ปุ่น
เครื่องมืออย่างที่สาม ที่ ธปท. สามารถนำมาใช้ในการดูแลค่าเงินบาท คือการมีมาตรการควบคุม
เงินทุนไหลเข้า ซึ่งจริง ๆ แล้ว การใช้มาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้านั้น สามารถใช้ได้ในระดับหนึ่งแต่ต้องค่อย ๆ
ทำอย่างระมัดระวัง และรอบคอบ ไม่ให้ผู้ประกอบการหรือนักลงทุนในตลาดแตกตื่น แต่กลายเป็นว่า ธปท. กลับออกมาตรการออกมาอย่างเฉียบพลัน นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ คาดไม่ถึงจนเกิดความปั่นป่วนขึ้น
ด้านคุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินบาทนั้นปกติเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัจจุบันค่าเงิน
บาทแข็งค่าเกินกว่ากรอบของความพอดี เพราะค่าเงินบาทเปลี่ยนแปลงอย่างผันผวนและแข็งค่ากว่าประเทศอื่น ทำให้กระทบกับความสามารถในการแข่งขันของไทย จึงจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการปกป้องผลกระทบจากเงินบาท โดยเครื่องมือที่จะทำให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพนั้น นอกจากการใช้เครื่องมือด้านอัตราดอกเบี้ยรวมถึงมาตรการที่ ธปท.ได้ออกมาก่อนหน้านี้แล้ว
รัฐบาลควรจะเตรียมมาตรการเก็บภาษีขาออก (
Exit Tax)
ของเงินทุนที่เข้ามาเก็งกำไร
ซึ่งอาจจะยังไม่นำออกมาใช้ แต่ควรจะมีทางเลือกให้คนทั่วไปรู้ว่ามีมาตรการอะไรบ้าง ในเวลาที่นำออกมาใช้ จะได้
ไม่เกิดเป็นความตกใจ รวมถึงจะได้ทำบริหารความเสี่ยงไว้ล่วงหน้าด้วย
คุณหญิงชฎา กล่าวว่า การที่รัฐบาลจะออกมาตรการใดออกมานั้น ควรจะมีการหารือของบุคคลในวงการ
ต่าง ๆ ว่าจะมีมาตรการในการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทอย่างไรได้บ้าง เพื่อศึกษาถึงข้อดีและข้อเสียของ
แต่ละมาตรการ นอกจากนี้ เพื่อรองรับกับการที่ไทยยังคงมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและยังไม่มีการลงทุนที่มีขนาด
ใหญ่พอที่จะดูดสภาพคล่องของเงินทุนที่ไหลเข้ามาจำนวนมหาศาล ภาครัฐจึงต้องมีนโยบายในการบริหารภาวะเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งอาจจะไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ด้วย
ทั้งนี้ สาเหตุของการแข็งค่าของเงินบาทนั้น
คุณหญิงชฎา กล่าวว่า มาจากการที่ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาตลอด ทำให้เงินต่างประเทศเข้ามาในไทยจำนวน
มาก ซึ่งการจัดการกับปัญหานี้จะต้องส่งเสริมการนำเข้าสินค้าของทั้งภาครัฐและเอกชน สาเหตุที่สองคือการที่การลงทุน
โดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามาเฉลี่ยประมาณ
5,000-8,000
ล้านดอลลาร์ ในแต่ละปีซึ่งก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ และสาเหตุจากการลงทุนในตลาดทุนทั้งตราสารหุ้นและตราสารหนี้ เนื่องจากไทยเปิดเสรีทำให้มีสภาพคล่องเงินทุน
ไหลเข้ามาหาผลตอบแทนในประเทศ ซึ่งทางการก็ควรมีกลยุทธ์ในการดูแลให้เงินทุนที่ไหลเข้ามา ไม่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วเกินไป หรือมีความเสี่ยงของเงินทุนไหลเข้าและออก
ด้านนายประมนต์ สุธีวงศ์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปัจจุบันภาคส่งออกนำรายได้มาสู่ประเทศถึง
65%
ของจี
ดีพี และโดยเฉพาะในปัจจุบันที่การลงทุนและการค้าในประเทศ ไม่สามารถขยายตัวได้มากนัก ทำให้การส่งออกเป็นปัจจัยเดียวที่ช่วยในการขยายตัวของเศรษฐกิจ จึงจำเป็นที่จะต้องผลักดันการส่งออกอย่างต่อเนื่อง โดยการผลักดันนั้นถ้าค่าเงินบาทไม่ผันผวน ผู้ส่งออกจะสามารถปรับตัวและคาดการณ์ต้นทุนได้ แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงมีความผันผวนมาก จะยากต่อผู้ประกอบการ
โดยการจัดการค่าเงินบาทมีหลายอย่างต้องพิจารณา อย่างแรกคือถ้าการเปลี่ยนแปลงค่าเงินมีความผันผวนมาก จะต้องมีการจัดการโดยไม่ใช้วิธีธรรมดา เช่น ในกรณีที่จำเป็นต้อง
แทรกแซงก็ต้องแทรกแซงแต่ก็ไม่ควรใช้ตลอดไป เพราะไม่ใช่มาตรการที่ถาวร
นอกจากนี้ ทางการควรมีการ
ปรึกษาหารือกันถึงแนวทางเลือกในการดูแลค่าเงินบาท โดย ธปท. ควรมีที่ปรึกษาทั้งจากสายตลาดทุน ตลาดเงิน กระทรวงคลัง และผู้นำองค์กรเศรษฐกิจเพื่อให้มีมาตรการต่าง ๆ ไว้รองรับในการดูแลค่าเงินบาท
นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องพิจารณามาตรการปานกลาง โดยการพิจารณาตั้งกองทุนเพื่อการจัดการกับเงินในระยะสั้น ซึ่งไม่ใช่
กองทุนที่ตั้งโดย ธปท. เพราะ ธปท. มีข้อกำหนดไม่สามารถทำได้ โดยกองทุนนี้เวลาที่เงินบาทแข็งก็ควรเอาเงินที่
ไหลเข้ามามากออกไปหาผลประโยชน์ในต่างประเทศในระยะสั้น แต่ถ้าบาทอ่อนก็เอาเงินกองทุนที่ไปลงทุนไว้กลับมาซื้อเงินบาทในประเทศ
ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงกับ สนช. เกี่ยวกับปัญหาค่าเงินบาท
ว่า เรื่องค่าเงินถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะปัจจุบันความผันผวนทางการเงินมีมากขึ้น ซึ่งทุกประเทศก็ได้รับ
ผลกระทบไปหมด โดยความผันผวนเหล่านี้ทำให้การบริหารจัดการค่าเงินมีปัญหา เกิดความไม่สมดุล มีความ
ซับซ้อนมากขึ้น เพราะเกิดจากการขาดดุลของสหรัฐ ทำให้มีเงินลงทุนไหลเข้ามาในประเทศอื่น ๆ มากขึ้น
ทั้งนี้
เมื่อเกิดความผันผวนทางด้านการเงิน แต่ไม่มีกลไกอัตโนมัติขึ้นมาดูแล ก็ทำให้เชื่อว่าจะเกิดความผันผวนแบบนี้
ต่อไปอีกหลายปี
"
ปกติธนาคารกลางของแต่ละประเทศจะมีอิสระในเชิงปฏิบัติ แต่ไม่ได้มีอิสระในการเลือกเป้าหมายนโยบาย ซึ่งในกรณีฉุกเฉินจำเป็นกระทรวงการคลังสามารถเข้าไปช่วยเหลือในการปรับเปลี่ยนนโยบายได้ และก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนแล้วรัฐจะหารือกับ ธปท.เพื่อปรับปรุง ซึ่งกรอบความคิดอัตราแลกเปลี่ยน อย่าเปลี่ยนแปลงให้หวือหวาไม่ขึ้น ไม่ลง มีกรอบเป้าหมายสะท้อนความเป็นจริง ซึ่งเราต้องชูเป้าหมายบริหารอัตรา
แลกเปลี่ยน โดยปรับสภาพแวดล้อมให้คนถือดอลลาร์ได้
และที่สำคัญ ประเทศที่พัฒนาแล้วเขามีค่าเงิน
ที่แข็งค่ากว่าไทย เขาไม่พึ่งพาอย่างใดอย่างหนึ่ง ของไทยพึ่งพาภาคส่งออกเพียงอย่างเดียว
เพราะฉะนั้น เวลา
เทียบก็ต้องให้เทียบกับประเทศที่กำลังพัฒนาด้วยกัน"
ดร.ฉลองภพ กล่าวว่า ในวันที่
20
ส.ค.นี้ กระทรวงการคลังจะประชุมร่วมกับธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.)
ผู้ทรงคุณวุฒิ หารือแนวทางดูแลอัตราแลกเปลี่ยน แม้ว่าขณะนี้ เงินบาทจะเริ่มมีเสถียรภาพ แต่ต้องมีมาตรการที่
ต้องดูแลให้เสถียรภาพต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเกินไป
ส่วนกรณีที่เงินสำรองเงินตราระหว่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นนั้น เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านยังอยู่ในระดับที่ไม่สูง แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ
ดร.ฉลองภพ ชี้แจงต่อข้อซักถามของ สนช. ว่า ในส่วนของเรื่องการเก็งกำไรส่วนต่างสองตลาด คือ ตลาด
ออฟชอร์และตลาดออนชอร์นั้น ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วงเพราะในทางปฏิบัตินั้นไม่ได้กระทำได้ง่าย เพราะเวลา
ในการกระทำจริง ๆ ต้องเสียส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน และไม่ใช่ว่าจะนำเงินออกไปแลกแล้วจะได้ในอัตราที่
ประกาศเอาไว้ในแต่ละตลาดนั้น ๆ เช่น การนำเงินออกไป
50,000
บาทต่อคนไปสิงคโปร์ก็ต้องนำเงินบาทไปแลก
ดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมและเสียส่วนต่างด้วยและหากนำดอลลาร์สิงคโปร์ไปแลกดอลลาร์
ก็ต้อง
เสียส่วนต่างด้วย จึงถือว่าไม่คุ้ม
สิ่งที่ต้องจับตามองดูอีกทีคือการติดตามดูเรื่องการนำบัตรเครดิตไปใช้
ในต่างประเทศ เพื่อทำการซื้อสินค้า โดยหวังจะได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ว่าจุดนี้จะเป็นอย่างไร เพราะเท่าที่
ทราบ
การซื้อของผ่านบัตรเครดิต เวลาเรียกชำระเงินค่าบัตร ส่วนใหญ่คิดอัตราแลกเปลี่ยนออนชอร์อยู่แล้ว แต่อย่างไรก็
ตาม
ก็คาดว่าการเก็งกำไรในลักษณะนี้ด้วยการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมีไม่มาก
“
ต้องเข้าไปติดตามดูว่าการนำบัตร
เครดิตไปเก็งกำไรเขาทำกันอย่างไร เพราะเท่าที่ทราบมีบางเคาน์เตอร์รับรูดบัตรเครดิตด้วย แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับ ซึ่งวิธีนี้
ก็คงมีไม่เยอะ
”
ดร.
ธนวรรธน์ พลวิชัย
ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึง
แนวโน้มค่าเงินบาทว่า จนถึงสิ้นปีนี้ แนวโน้มค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นอีก เพราะคาดว่าจะเกินดุลบัญชี
เดินสะพัด อีกทั้งคาดว่าน่าจะมีเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นอีกไม่น้อยกว่า
2,000-3,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น มาตรการของ ธปท. ที่ออกมา
6
มาตรการ เชื่อว่าจะไม่สามารถทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปถึง
34-35
บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้
"
ถ้าปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้น อาจเห็นระดับ
32
บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในสิ้นปีนี้ และขยับขึ้นถึง
30
บาทต่อดอลลาร์
สหรัฐ ในต้นปีหน้า รัฐบาลจะต้องมีมาตรการออกมาเพิ่มเติม รวมถึงอาจตั้งกองทุนอิสระขึ้นมา วงเงินเริ่มต้นประมาณ
5,000-10,000
ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยน แต่ยอมรับว่ามีความเสี่ยงในการจัดการ
หากไม่
เชี่ยวชาญพอ" ดร.ธนวรรธน์ กล่าว
กรุงเทพธุรกิจ 10 ส.ค. 50
เขียนใน
GotoKnow
โดย
ห้องสมุดกรมบัญชีกลาง CGD Library
ใน
สรุปข่าวประจำวันของห้องสมุดกรมบัญชีกลาง
คำสำคัญ (Tags):
#ค่าเงินบาท
หมายเลขบันทึก: 118561
เขียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2007 11:06 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 27 พฤษภาคม 2012 23:12 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
ห้องสมุดกรมบัญชีก...
สมุด
สรุปข่าวประจำวันข...
"อัมมาร" ชี้ทางรอ...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท