ทำอย่างไรดี ถ้าสินค้าเขาดีแต่วิธีการขายแย่


ขอความกรุณาท่านผู้บริหารฯ ช่วยพิจารณาดำเนินการลดความฟุ่มเฟือยของการใช้กระดาษและภาษาในกิจกรรมดังกล่าวด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง

เรียน ท่านผู้บริหารนิตยสาร...
เรื่อง ความเห็นเกี่ยวกับกิจกรรมส่งเสริมการขาย

        ผมเป็นสมาชิกนิตยสาร...ตั้งแต่ฉบับแรก เพราะมั่นใจในคุณภาพของเนื้อหา และความกระชับของการใช้ภาษา แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกไม่สบายใจและเป็นห่วงคือ กิจกรรมส่งเสริมการขายของทางนิตยสาร ซึ่งประกอบด้วย การส่งเอกสารชิงรางวัลมาถึงสมาชิกซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ้นเปลืองกระดาษเป็นจำนวนมาก ด้วยข้อความ..เสมือน..แสดงความรู้สึกจริงใจ เป็นพิเศษเฉพาะบุคคล แต่ในความเป็นจริงนั้น สมาชิกทุกคนทราบดีว่าเป็นกระบวนการทำซ้ำจำนวนมาก  นอกจากนั้นในข้อความยังใช้ภาษาที่วกวนสับสน ไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองเหมือนข้อความในนิตยสาร เช่น ..เราต้องการแจ้งให้ท่านทราบถึงความรู้สึกซาบซึ้งใจ.. ทำไมไม่ใช้ประโยคว่า เราซาบซึ้งใจ ไปเลย เป็นต้น
        ผมใคร่ขอความกรุณาท่านผู้บริหารฯ ช่วยพิจารณาดำเนินการลดความฟุ่มเฟือยของการใช้กระดาษและภาษาในกิจกรรมดังกล่าวด้วย จะเป็นพระคุณยิ่ง

จดหมายข้างบน เป็นจดหมายที่ผมเขียนถึงผู้บริหารนิตยสารฉบับหนึ่งที่ภูมิใจว่ามียอดขายสูงสุดในระดับโลก เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คือ เมื่อ ๓ เดือนก่อน หลังจากเกิดอาการ ทนไม่ได้ ที่จะต้องรับจดหมายขยะ ปึกแล้วปึกเล่า.. ขอเน้น..ปึกแล้วปึกเล่า เพื่อจะให้เห็นความสิ้นเปลืองกระดาษที่เขาใช้ ในขั้นตอนการส่งเสริมการขายนะครับ

ผมขอตัดชื่อนิตยสารออกไป เพราะไม่ได้มีเรื่องอะไรกับทางนิตยสาร และผมก็ยังเป็นสมาชิกเสมอมาอย่างศรัทธาในตัวสินค้า และคิดว่า ยังอาจจะมีสินค้าอื่นๆอีกมากมาย ที่ก็ทำแบบนี้เช่นกัน คือ มีจดหมายมาถึงลูกค้าเป็นระยะ แจ้งว่ากำลังจะให้รางวัลคุณแล้ว อีกนิดเดียว รอจดหมายยืนยันอย่างเป็นทางการอีกนิดเดียว อะไรทำนองนั้น แล้วก็มีสินค้าให้เราสั่งซื้อ เอา sticker จากตรงนี้ไปติดตรงโน่น แล้วให้ส่งกลับภายในกี่วัน

ถ้าเป็นสินค้าที่ไม่มีคุณภาพหรือเราไม่สนใจ พอได้ปุ๊บ มันก็จะถูกเราทิ้งลงถังขยะปั๊บ ็สิ้นเปลืองกระดาษไปอย่างมโหฬารแล้ว แต่นี่เป็นเพราะผมก็อยากรู้ว่า สินค้าหริือ หนังสือดีๆที่เขาผลิตออกมามีอะไรบ้าง เราก็อยากจะซื้อ อยากจะสั่งเหมือนกัน  

แล้วภาษาในจดหมายที่เขาใช้ ผมอยากจะให้ดูตัวอย่างที่ผมยกในจดหมายของผมได้ อ่านแล้วไม่ทราบรู้สึกอย่างไรกันบ้าง ผมรู้สึกมึนหัว คลื่นไส้จะอาเจียนทุกครั้ง มันเยิ่นเย้อวกวน ราวกับแปลมาจากภาษาอังกฤษตามก้นวิธีการของฝรั่ง

วิธีการนี้คงเป็นวิธีการที่ได้ผลในการส่งเสริมการขาย แต่มันจะคุ้มค่ากับความฟุ่มเฟือยในการใช้กระดาษและภาษาแม่ของเราเองหรือไม่  ทั้งๆที่ตัวนิตยสารเองก็เน้นย้ำกับการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องกระชับ แต่สิ่งนั้นมันไม่ได้ถูกถ่ายทอดให้กับฝ่ายส่งเสริมการขายเลย

จนถึงวันนี้ ยังไม่มีจดหมายตอบจากทางสำนักพิมพ์ มีแต่จดหมายขยะที่ยังส่งมาให้ผมไม่ขาดสาย เพราะผมก็ยังสั่่งซื้อหนังสือดีๆของเขาอยู่

สงสัยจังว่า ทำไมเขาไม่ทำเป็นใบแทรก แจ้งหนังสือออกใหม่พร้อมใบสั่งซื้อแนบมากับนิตยสารของตนเอง ใช้กระดาษเพียงแผ่นเดียวเท่านั้น

ช่วยแนะนำผมหน่อยครับ ว่าผมจะทำยังไงดี กับเรื่อง เกลียดตัวกินไข่ แบบนี้ 

 

หมายเลขบันทึก: 118488เขียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2007 07:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 19:29 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)
  • สวัสดิค่ะ คุณเติมศักดิ์
  • ไม่ต้องซีเรียสนะคะเดี่ยวแก่เร็ว
  • อาจเป็นเทคนิคและวิธีการขายเฉพาะของสำนักฯ เค้าเอง หรือไม่ก็การทำงานในระบบของสำนักฯ ไม่มีการประสานงาน ต่างคนต่างทำ
  • ผู้บริหารของสำนักฯ คงต้องคิดหนักนะคะ
  • ไม่ซีเรียสหรอกครับ เพราะกลัวแก่เร็ว
  • แต่เวลาต้องโยนกระดาษปึกใหญ่ๆที่เพิ่งได้รับมา ลงถังขยะทันที แล้วมัน จี๊ด ขึ้นหัวครับ

เข้ามายกมือซ้ายเห็นด้วยกับคุณหมอเต็ม...ศักดิ์ครับ

ผมไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกวารสารอะไรหรอกครับ  แค่ไม่สมัครก็เหน็บกันเต็มหน้าบ้านแล้วครับ  จะบอกเลิกก็ไม่ได้เพราะไม่ได้สมัคร  ได้แต่เก็บกระดาษมารีไซเคิ้ล  หรือไม่ก็โยนลงถัง

พูดถึงขยะแล้วนึกถึงสแปมเมล์นะครับ  ให้ความรู้สึกเดียวกันเลยครับ

สวัสดีครับ

ท่านธรรมาวุธครับ

  • สแปมเมล์ไม่ค่อยเท่าไร มาเยอะๆ เลือก select all แล้ว delete ตอนมันหายวับไปกับตา รู้สึกสะใจเล็กๆ ด้วยซ้ำ แต่ที่เป็นกระดาษนี้สิครับ ตอนโยนทิ้งลงถัง มันเจ็บ
  • ฉลองวันแม่เสร็จแล้ว อย่าลืมร่วมฉลองวันสำคัญของเราที่นี่ด้วยนะครับ 

แล้วจดหมายอาจารย์เต็มได้รับการตอบกลับอย่างไรไหมคะ ดูเหมือนบริษัทแบบนี้คิดว่ากระดาษเป็นทรัพยากรที่ตัวเองมีอยู่แล้วก็เลยใช้อย่างไม่คิดเป็นต้นทุน

อาจารย์อย่าทิ้งลงถังขยะเลยค่ะ แยกไว้ต่างหากแล้วจะยกมาฝากไว้ที่ห้องแล็บ Chem ก็ได้ค่ะ เราแยกขยะกระดาษเก็บไว้ขายให้เขาเอาไปรีไซเคิล ช่วยโลกเราได้ทางหนึ่งนะคะ :-)

P

  • เขาไม่ตอบผมกลับมาเลย มีแต่จดหมายขยะเหมือนเดิมส่งมา
  • จะแยกไว้ขายบ้างเหมือนกันครับ แต่ขัดใจจัง ไม่รู้จะทำยังไงกับสำนักพิมพ์นี้ดี 

          คุณหมอเต็มศักดิ์คะ....กรุณาใจเย็นๆนะคะ  ลองสื่อสารไปอีกครั้งทาง E-mail  ของเขา ดีมั๊ยคะ   เริ่มต้นด้วยการพิมพ์ชื่อนิตยสารนี้  ที่ Google  แล้วเลือก กลุ่มข้อความที่ลงท้ายด้วยคำว่า "ASIA" นะคะ  จากนั้น CLICK ที่แถบด้านบน  ตรงข้อความ "ลูกค้าสัมพันธ์"ค่ะ   แล้วกดไล่ข้อความลงไปเรื่อยๆ  คุณหมอก็จะพบ E-mail address ของเขาปรากฎอยู่ ให้เราสามารถlink เข้าไปแสดงความคิดเห็นติชมได้ค่ะ

          หนูเชื่อว่า ถ้าหากทีมงานฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ได้รับทราบคำติชม  คงจะมีการสื่อสารตอบกลับมาบ้างแหละค่ะ   อย่างน้อย  ความคิดเห็นของคุณหมอ ก็เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงงานให้ดีขึ้นค่ะ  และทีมงานคงดีใจ ที่มีคนแสดงความรัก และหวงแหนภาษาไทย  แถมยังเป็นห่วงภาวะวิกฤติโลกร้อนอีกต่างหาก (หนูปรบมือให้เลยนะคะเนี่ย.....)

          ลองคิดแบบเผื่อใจดูบ้างมั๊ยคะ.....ว่า เขา(ฝ่ายการตลาด)  ก็อาจจะคิดเหมือนคุณหมอคิด (เรื่องการใช้ภาษาไทยเพื่อสื่อสารกับลูกค้า  และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า)    แต่เนื่องจาก  หนูพอจะทราบมาบ้างเล็กน้อยว่า  บริษัทแม่ของนิตยสารค่ายนี้ อยู่ที่อเมริกาค่ะ     ดังนั้น  นโยบายด้านการตลาด รวมทั้งข้อความเพื่อการประชาสัมพันธ์ด้านการตลาด   อาจถูกควบคุมอย่างเคร่งครัด โดยธรรมเนียมข้อตกลงทางธุรกิจ กำหนดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ว่า ให้รับมาโดยตรงจากบริษัทแม่  แล้วค่อยนำมาแปลอีกครั้ง      ปัญหาก็คือ   ผู้ที่สันทัดจัดเจนเรื่องการแปลภาษา   ให้ออกมาเป็นธรรมชาติที่สุด (แบบไม่มีกลิ่นนมเนยของคนฟากกระโน้นติดมา)  น่าจะเป็นกองบรรณาธิการ   แต่เผอิญงานนี้ กลับมาพ่วงอยู่กับทีมงานของฝ่ายการตลาด   ซึ่งหน้าที่หลักและความถนัด ก็คือ  การทำยอดขายให้สูงที่สุด

          เป็นไปได้มั๊ยคะ....ที่ฝ่ายการตลาดเอง  เขาก็คงคิดว่า  นี่คือ ส่งที่เขาได้ตั้งใจที่สุด  ทำดีที่สุดแล้ว เท่าที่รู้วิธี   (คือตั้งใจสื่อสารให้หยาดเยิ้มหยดย้อย ตามหลักการทางจิตวิทยาด้านการตลาด)   เพียงแต่ว่า เขายังไม่ได้ให้ความสำคัญ กับกระบวนการกลั่นกรองภาษาให้กระชับถูกต้อง โดยผู้เชียวชาญของกองบรรณาธิการค่ะ

หมายเหตุ   ข้อนี้ น่าจะใกล้เคียงกันกับหลักจิตวิทยาขั้นพื้นฐาน ของมนุษย์ผู้ชาย  เวลาจีบผู้หญิงนั่นแหละค่ะ    ยิ่งพวกที่ต้องการทำสถิติสูงสุดในรอบ 1 เดือน  วลีที่กลั่นจากใจเขา ก็ไม่ต่างจากไปทัศนาจรในไร่อ้อย   กลุ่มหลังนี่.....อย่าว่าแต่หลักภาษาไทยเลยค่ะ  หลักจริยธรรมในเรือนใจนี่....ยังหาไม่ค่อยเจอเลยค่ะ .....ข้อนี้เป็นปัญหาระดับชาตินะคะ

          ที่เขียนมาข้างต้นนี้  หนูไม่ได้จะเข้าข้างนิตยสารนะคะ  (แล้วก็ไม่ใช่ "หน้าม้า" ด้วยค่ะ) แต่อยากให้คุณหมอลองเพิ่มมุมมองอีกสักนิดค่ะ  เพื่อให้สบายใจ   .......ไม่น่าจะเชื่อเลย....ชีวิตคนเรานั้น  เกี่ยวข้องกับ "วิธีทำใจให้สบาย" จริงๆ เลยค่ะ    

          เอาเป็นว่า  หนูจะสมมติตัวเองนะคะ  ว่า...ถ้าหนูเจอเหตุการณ์แบบคุณหมอ  หนูจะทำอย่างไรบ้าง 

          หนูก็จะเขียนทางเลือกให้ตัวเอง  3  ทางค่ะ   เพราะว่า หนูเคยอ่านนิตยสาร A  DAY  มีคอลัมน์หนึ่ง เขาเขียนถึงด้านของเหรียญบาท  (หนูจำชื่อคนเขียนไม่ได้แล้วค่ะ)   เขาเห็นว่า  เหรียญบาท  ไม่ได้มี แค่ 2 ด้าน   แต่เขาเห็นว่า มี 3 ด้านค่ะ  คือ ด้านหัว  ด้านก้อย  แล้วก็สันของเหรียญค่ะ  หนูเห็นว่า คิดอย่างนี้ ก็น่าสนุกดีค่ะ      ถ้าอย่างนั้น  เรามาดูกันนะคะ

               เหรียญด้านที่ 1      หนูจะเป็นสมาชิกต่อไป   และสนุกสนานกับการเลือกคิด เลือกทำในเชิงบวก   ทำอย่างนี้นะคะ

                         1.1  หนูจะเปรียบเทียบธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ ที่มีนโยบายการตลาดแบบนี้  กับธุรกิจอื่นๆ     หนูมองเห็นเลยนะคะ   ว่า  น่าจะดีกว่า ธุรกิจมอมเมาเยาวชน หลังพระอาทิตย์ตกดิน   หรือไม่ก็ธุรกิจเงินกู้นอกระบบ   ไม่ทราบว่า คุณหมอ เคยอ่านใบปลิวที่เขาแจกต่างแหล่งชุมชนมั๊ยคะ   ใช้กระดาษขนาดเล็กนิดเดียว   มีข้อความเขิญชวนให้มากู้เงิน  เขาไม่ต้องอารัมภบทอะไรมากมาย  สื่อสารได้ตรงใจ  แต่กลับทำให้หลายๆ คนตกอยู่ในวังวนของการเป็นหนี้สินตลอดชีวิต   เงินกู้วงนี้  ส่งดอกเบี้ยไม่ทัน   ก็ไปกู้อีกวงมาโปะ  พัวพัน  และพันพัวไปเรื่อยๆอย่างนี้  น่าปวดศีรษะแทนจริงๆเลยค่ะ  แต่นี่ ก็เป็นเรื่องจริงของมนุษย์เงินเดือน

                          1.2  หนูจะย้ายจุดเพ่งเล็งใหม่  จากเดิมที่มองการใช้กระดาษฟุ่มเฟือยเพื่อสนองนโยบายการตลาด   ไปเพ่งเล็งที่ ขนาดของหนังสือแทนค่ะ  ขนาดเล็กว่า หนังสืออื่นๆ ครึ่งต่อครึ่งค่ะ  สมมติว่า หนังสือขนาดปกติ  กับหนังสือของเขา มียอดพิมพ์ ต่อเดือน = 50,000  เล่ม เขาสามารถลดการใช้กระดาษได้เยอะเลยค่ะ   ถ้าคูณออกมาต่อปี  ก็นับว่ามูลค่ามหาศาลเลยทีเดียวค่ะ

                          1.3  ถ้าหนูได้รับจดหมายประชาสัมพันธ์ด้านการตลาด เป็นกระดาษปริมาณมากมาย  แล้วรู้สึก  "ขัดใจจัง"  อีก หนูก็จะถือเสมือนว่า  จดหมายมาเมื่อไหร่  ก็คือ ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะต้องโดนทดสอบ  การวางอุเบกขา ภาคปฏิบัติ   ออกเกรดให้ตัวเองไปเลย  แรกๆ อาจจะได้แค่ C  ถ้าจดหมายมาอีก  จะต้องเอาเกรด C + ให้ได้ค่ะ

                         1.4  หรือไม่ก็  คิดว่า  "ส่งมาอีกแล้วใช่มั๊ย.....ส่งมาอีกก็จะปลูกต้นไม้ 1 ต้น เป็นการประชดภาวะวิกฤติโลกร้อนล่ะ.....(ว่าแล้ว หนูก็เดินไปหยิบอุปกรณ์ทำสวน  แล้วเดินไปขุดดินหลังบ้าน  เพื่อเอาต้นไม้ที่เพิ่งซื้อจากตลาดนัดสวนจตุจักร เมื่อวานนี้ มาลงปลูกค่ะ)   ปลูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว  หนูก็อาจจะเขียนจดหมายไปเล่าให้พี่บรรณาธิการของนิตยสารนี้ฟัง  ว่าหนูทำอย่างนี้ๆๆๆๆๆนะคะ .......ถ้าพี่ส่งมาอีก หนูก็จะปลูกต้นไม้อีกล่ะ.............ดีไม่ดี......เขาอาจจะติดต่อกลับมาเพื่อขอสัมภาษณ์หนู ลงคอลัมน์ของเขาก็ได้นะคะ ........ไม่แน่นะคะ   หนูอาจจะได้เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาแข่งกับดาบตำรวจวิชัย ก็ได้ค่ะ  ถึงเวลานั้น หนูก็เป็นกระบอกเสียงบอกให้ทุกๆคน ช่วยกันใช้ทรัพยกร  ดิน/น้ำ/ลม/ ไฟ  อย่างประหยัดค่ะ

                         1.5  หนูถือว่า สมองส่วนที่มีหน้าที่วิเคราะห์วิจารณ์ +ประเมินผล  เป็นสมองส่วนมหัศจรรย์  พอๆ กับสมองส่วนที่มีหน้าที่ด้านความคิดเขิงสร้างสรรค์    เพราะฉะนั้น  หนูจะไม่ไปยุติการทำงานของเขาค่ะ   แต่จะบอกเขาว่า   ให้ลองโฟกัสไปที่จุดที่เราเสียเงินซื้อนิตยสารนี้โดยตรง  คือ บทความแปลของแต่ละคอลัมน์ค่ะ   ถ้าอ่านแล้ว เห็นว่า ใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้อง  หนูก็จะแจ้งบรรณาธิการบริหารไปทันทีค่ะ   ส่วนใหญ่คนที่ทำงานด้านสื่อสารมวลชน ถ้าเราแจ้งข้อบกพร่องไป  เขามักจะดีใจที่เราให้ความสนใจผลงานเขาค่ะ   ไม่แน่นะคะ.....ถ้าเราเขียนไปคุยกับเขาบ่อยๆ  หนูอาจจะได้พวกเขาเป็นเพื่อนก็ได้ค่ะ

                         1.6  การส่งจดหมายมาบ่อยๆอย่างนั้น เป็นการเกื้อหนุนรายได้ให้กับกรมไปรษณีย์ค่ะ  พี่บุรุษไปรษณีย์ จะได้มีงานทำค่ะ  แล้วถ้าได้มีโอกาสเจอกับพี่บุรุษไปรษณีย์ หนูก็จะตีซี้กับเขาเลยค่ะ  เพราะเวลากรมไปรษณีย์  ออกดวงตราไปรษณีย์ที่ระลึกแบบสวยๆ  หนูพลาดทุกที  ถ้าเรารู้จักกับคนวงใน  เขามักรับอาสาให้เราสมหวังได้ค่ะ

                         1.7  ข้อนี้ เป็นข้อดีที่หนูได้อ่านจากบล็อกคุณหมอค่ะ  คือ  ได้ผู้มีจิตศรัทธา อาสารับกระดาษสิ้นเปลืองนั้น ไปใช้งานต่อ  ถ้าหนูเป็นคุณหมอนะคะ  หนูก็จะนัดกับคุณโอ๋ อโณ ไปเลยว่า "ผมจะขนกระดาษไปให้ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 นะครับ"    เมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 คุณหมอก็หอบขนมใส่กล่องไปฝากด้วยสิค่ะ   ส่วนคุณโอ๋  อโณ  พอรับกล่องขนมแล้ว   คุณโอ๋ อโณ   ก็ต้องเอากล่องขนมไปล้างใช่มั๊ยคะ   แล้วก็หาขนมอร่อยๆ ใส่กล่องคืนคุณหมอมาอีก       เป็นการย้อนยุคเศรษฐกิจระบบบาร์เตอร์แบบไทยๆ ไงค่ะ   (แม่ของหนูมักใช้มุกนี้ประจำกับเพื่อนๆ ข้างบ้านค่ะ)

                        1.8  ข้อนี้ ก็ไม่ต่างจากข้อ 1.7 นะคะ  คือ ทำให้คุณหมอมีเรื่องราวเขียนลงบล็อก แล้วมีคนมาโพสต์ออกความคิดเห็น  บล็อกไม่ร้างค่ะ  แต่บล็อกจะรกค่ะ (ที่รกนี่ ก็เพราะข้อความของหนูค่ะ   ข้อนี้  ต้องกราบขออภัย มา ณ ที่นี้ค่ะ)

                         1.9  ทำให้เรารู้สึก อยากขอบคุณ คนที่อยากสร้างความดีงามในสังคมด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม  และคนที่ใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง  สำหรับหนู  เท่าที่คิดได้ตอนนี้ค่ะ  ก็คือ คุณลุงพิจิตต์ รัตตะกุล    (ท่านมีแนวคิดให้เทศกิจปลูกต้นไม้ตามริมถนนที่ว่าง  สมัยท่านดำรงค์ตำแหน่งเป็นผู้ว่า ก.ท.ม.ค่ะ)    คุณอภิรักษ์  โกษะโยธิน  ผู้ว่า ก.ท.ม. คนปัจจุบัน    ที่ใช้แนวคิด ปลูกต้นไม้ โดยการตีรั้วระแนงกับป้ายรถเมล์ทุกๆ แห่งของ กรุงเทพฯค่ะ)   

                          1.10  ถ้าหนูรู้สึกคลื่นไส้ เวียนหัว เพราะได้อ่าน จดหมายรักจากนิตยสารแห่งนั้น หนูก็จะไปซื้อยาหม่อง ยาดม ยาลม ยาหอม  มาเตรียมไว้ค่ะ     นายห้างผู้ผลิตยา คงดีใจ ที่หนูมีส่วนสนับสนุนให้ยอดขายเขาเพิ่มขึ้นค่ะ

      เหรียญด้านที่ 2   หนูอาจจะเลือก ยังคงเป็นสมาชิกเหมือนเดิม  แต่เกิดอาการ "หัวฟัดหัวเหวี่ยงต่อไป" ทุกครั้งที่ได้รับจดหมายจากสำนักพิมพ์แห่งนี้

                       แต่ว่า หนูไม่อยากแนะนำให้คุณหมอเลือกเหรียญด้านนี้เลยค่ะ  เพราะว่า หนูมองดูรูปคุณหมอแล้วเห็นว่า  แค่นี้ ก็ "ป๋า" จะแย่อยู่แล้วค่ะ   ถ้าเครียดกว่านี้  โอ๊ย!  หนูเกรงว่า คุณหมอ จะทะลุมิติ ความเป็น "ป๋า"  หนักข้อไปมากกว่านี้ค่ะ

          เหรียญด้านที่ 3  หนูจะประกาศก้องไปเลยว่า  หนูจะเลิกเป็นสมาชิกแล้วค่ะ  เดาได้ว่า คงทำได้ไม่เกิน 3 เดือน  แล้วหนูจะค่อยๆ กระมิดกระเมี้ยน หรือไม่ก็ "ทำฟอร์มขรึม" ไปเลย (เพื่อไม่ให้คนอื่นมาถามอะไรมาก ในเรื่องที่เราเปลี่ยนใจ)  แล้วบอกรับสมาชิกกับเขาใหม่ โดยใช้มุมมองของเหรียญด้านที่ 1   

                             ช่วงที่ไม่ได้เป็นสมาชิก หนูก็อาจจะแวะเข้าไปที่ห้องสมุดที่ไหนสักแห่ง แล้วมองซ้าย  มองขวา  เย้ !  ไม่มีคนรู้จักอยู่แถวนี้  แล้วหนูก็จะค่อยๆ เดินตรงไปที่ชั้นวารสาร  หยิบนิตยสารเล่มนั้นแหละค่ะ....มาอ่าน   ไม่งั้น หนูจะเอาข้อมูลที่ไหนไปคุยกับเพื่อนๆ หรือเอาไปสร้างมุกใหม่ๆ ละคะ

                            จบแล้วค่ะ  เหรียญทั้ง 3 ด้าน  คุณหมอจะลองเลือกเล่นๆ ดูสักด้านมั๊ยคะ

 

 

ไม่มีรูป

  • ขอบคุณน้องน้อยโหน่งครับ สำหรับความเห็นที่ยาวจน แย่งซีน บันทึกเจ้าของ blog อย่างผมไปจนตกเวที
  • ตอนนี้ ผมก็ใช้วิธีเหรียญด้านแรกนะครับ แต่ความเห็นของน้องก็ทำให้ผมมีทางเลือกมากขึ้น ตั้งใจว่า จะหมุนเวียนงัดออกมาใช้ สุ่มข้อตามจำนวนเส้นผมที่ร่วงอยู่บนหมอนตอนเช้า
  • ที่คิดเอาไว้เอง คือจะเอากระดาษอย่างว่ามาพับถุง แล้วยกให้แม่ค้ากล้วยแขกปากซอย เป็นการเพิ่ม value ตามทฤษฎีการตลาดนะครับ
  • ต้องบอกตามตรงว่า เกิดอาการเลือดขึ้นหน้า เมื่อน้องน้อยโหน่งเรียกผมว่า ป๋า ทำให้ตอนนี้ใบหน้าผมเป็นสีขาวอมชมพูด้วยความเขินอาย
  • อยากจะบอกความลับอะไรอย่างหนึ่งว่า รูปใน blog นั้นมันรูปป๊ะป๋าของผมอีกที ตามความเห็นของพระ ดังบันทึกนี้

อ่านความเห็นน้องน้อยโหน่งแล้วต้องบอกว่าขโมยซีนอ.เต็มได้เนียนมากๆค่ะ อ่านเพลินจนเหมือนอ่านบันทึกน้องหนูเองเลยค่ะ เปิดบล็อกเขียนเองบ้างเลยนะคะ อยากอ่านความคิดในเรื่องอื่นๆของหนูบ้าง เชื่อว่าเป็นนักคิดนักเขียนที่น่าติดตามทีเดียวค่ะ เปิดแล้วอย่าลืมตามไปบอกพี่โอ๋ด้วยนะคะ

อ้อ...ป๋าเต็มนี่ตัวปลอมค่ะ ตัวจริงๆหนูอาจเผลอเรียกพี่หมอแทนที่จะเป็นคุณลุงหมอหรือคุณอาหมอก็ได้นะคะ น้องน้อยโหน่ง

คุณหมอเต็มศักดิ์คะ...

     1. คนถนัดซ้าย อย่าง "พี่สิงห์Eซ้าย" เวลาตกเวที ควรจะตกด้านไหนคะ 

     2. หนูได้เข้าไปอ่านบันทึกนั้นแล้วค่ะ  จากนั้น หนูเป็นเหมือนตัวการ์ตูนญี่ปุ่น เวลาที่ตัวการ์ตูน  เกิดอาการ "งง....เครียด....กินส้มตำ"    ตัวการ์ตูนก็จะกระเด้งหกคะเมน หัวจิ้มดิน เด้งขึ้นเด้งลง ดึ๋งๆๆๆๆๆๆอยู่ 5 รอบ ค่ะ  (นึกออกมั๊ยคะ)   (เพราะว่าพลิกความคาดหมายอย่างแรง    แรกสุดที่เข้ามาโพสต์ หนูก็นึกว่า คุณลุงที่มาในชุดโฉบเฉี่ยวไฉไล   แนวพระเอกหนัง  เจมส์ บอนด์ 007 ใช้ชื่อว่า "นายเต็มศักดิ์"  และมีบันทึกเกี่ยวกับคำสอนของพระ    ท่านนี้  จะเป็นใครไปไม่ได้         ลุงต้องเป็น  "ท่านมหา"  แน่ๆ เลย..........หนูยังนึกในใจเลย   "แหม....ท่านมหา  ท่านนี้  วิทยาการคอมพิวเตอร์  ท่านล้ำยุคซะจริงๆ       ลูกหลานคงซื้อ "คอมฯ"  และติด internet  ไว้ท่านเล่น แก้เหงา......ปกติ ลุงคงเลี้ยงไก่ กุ๊กๆๆ อยู่กับบ้าน." ฯลฯ )  ที่จริงยังไม่จบนะคะ   แต่วันนี้ หนูมีเวลาโพสต์นิดเดียวค่ะ   และ หนูเกรงว่า   พี่สิงห์E ซ้าย  จะเกิดอาการ  เลือดขึ้นหน้าอีกรอบ   แต่คราวนี้ น่าจะมีควันพวยพุ่งออกจากหูด้วยนะคะ.............

คราวนี้ ขอคุยพี่โอ๋นะคะ ....ดีใจมากเลยค่ะ ที่ได้รู้จักพี่โอ๋ผ่านบล็อกของคุณหมอเต็มศักดิ์นะคะ....

          1. บล็อคของคุณป๋า เปรียบประดุจ บล็อกทางเลือก (ALTERNATIVE BLOG) สำหรับนักโพสต์พเนจรอย่างหนู  ซึ่งทำบล็อกไม่เป็น  และยังจัดตารางสอนที่เหมาะสม ให้ชีวิตไม่ได้ค่ะ.... จัดทีไร  ก็เป็นโรคติดเชื้อ ในระบบทางเดินชีวิต (ด้วยเรื่องงาน)ทุกที (หนูเป็นพนักงานบริษัทเอกชนค่ะ.....)  ไม่งั้นหนูคงแย่งแฟนคลับของคุณป๋าด้วยค่ะ 

               ยังไงก็ต้องขอบคุณพี่โอ๋  ที่กรุณาจุดประกายไฟให้หนูเปิดบล็อกค่ะ   ขอเวลาหน่อยก็แล้วกันนะคะ

หมายเหตุ   ALTERNATIVE  BLOG - ALTERNATIVE ป๋า  ค่ะ

        2. หนูได้กระดึ๊บๆ ไปอ่านบันทึกของพี่โอ๋ บ้างแล้วนะคะ  แต่ยังไม่มีเวลาเข้าไปคุยในบล็อกพี่โอ๋ค่ะ  (หนูชอบเรื่องต้นไม้ที่พี่โอ๋เขียนไว้ค่ะ)

        3. พี่โอ่คะ......สงขลา ไปทางไหนละคะ

ไม่มีรูป

  • น้องน้อยโหน่ง คงอู้งานมาเข้า  blog
  • ควันมันออกหูผม จนมัวไปทั้งทุ่งเลยครับ

คุณหมอเต็มศักดิ์คะ............ 

                 หนูเกิดอาการ  ฮึดฮัด...ตั๊ดสู้ฟุดอยู่นานมากๆๆๆๆๆๆๆๆ....สู้ไม่ได้แล้วค่ะ.....ต้องยอมแพ้เมื่อเจอมุก "อู้งาน" นี้.....หนูขออนุญาตไปหา โลชั่น(แก้ร้าวรานใจ)ก่อนค่ะ........เดี๋ยวจะกลับมาใหม่นะคะ....(ที่หนูหายไป.....ก็ไม่ได้หายไปไหนค่ะ    คือหนูต้องไปแปลงร่างเป็นแม่มดซะก่อน...  แล้วจะกลับมาดู "ไก่ กุ๊กๆ  ของ "ท่านมหา"  ตรงทุ่งหมอก........555555555)

                          จาก  น้อยโหน่ง  พอตเตอร์  (ตระกูลเดียวกับ แฮร์รี่  พอตเตอร์ค่ะ)

ขอมาคุยกับน้องน้อยโหน่งที่บันทึกอ.เต็มหน่อยนะคะ แหม ชอบสำนวนคุณน้องมากๆเลยค่ะ อยากให้เปิดบล็อกใน GotoKnow เร็วๆ จะรีบไปเก็บเข้าแพลนเน็ตของพี่โอ๋เลย

ไม่ต้องตามมาบอกพี่โอ๋ถึงหาดใหญ่ สงขลาหรอกนะคะ บอกผ่านทางนี้ก็พอค่ะ

ในที่สุดก็มาถึงวันนี้จนได้ วันที่ตัดสินใจเลิกเป็นสมาชิกนิตยสารข้างบน ทั้งๆที่เป็นสมาชิกเหนียวแน่นมาตั้งแต่ฉบับแรกจนถึงปัจจุบัน เป็นสิบปี

เหตุผล

  • ตามความเห็นในบันทึกด้านบน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีขยะส่งมาถึง ผมเสียดายกระดาษ
  • วันนี้ผมลองไปหยิบฉบับแรกขึ้นมาเปรียบเทียบกับฉบับล่าสุด พฤษภาคม ๒๕๕๒ อืมม..มันต่างกันจัง ฉบับปัจจุบันหนากว่ามากนัก เกือบสองเท่าแหนะ แต่พอเปิดเข้าไปข้างใน อืมมมม...โฆษณาแอบแฝงปาเข้าไปเกือบค่อนเล่ม
  • ผมรู้สึก..สงสัย.. บางบทความ และความเนียนของโฆษณาแฝง
  • เดี๋ยวนี้มีเวลาอ่านนิตยสารน้อยลง เพราะมัวแต่หลงใหล G2K เลยเอานิตยสาร ๕ ฉบับที่รับอยู่มาดู แล้วก็ตัดสินใจ บอกเลิก ฉบับที่ได้ประโยชน์และอยากอ่านน้อยที่สุด

ขอบคุณกับสาระดีๆที่เคยได้

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท