แนะนำ ต้วละคร เล่าเรื่องย่อ ชมปราสาทราชวัง
๑.บริเวณ เมือง กายนคร
เมืองกายนคร ( เมืองสังขาร ) นี้ มีเนื้อที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ
มีกำแพง ๔ ชั้น …ชั้นที่ ๑ ชื่อ กำแพงตโจ (กำแพงหนัง)
………………… ชั้นที่ ๒ ชื่อ กำแพงมังสัง (กำแพงเนื้อ)
………………… ชั้นที่ ๓ ชื่อ กำแพงนะหารู (กำแพงเอ็น)
………………… ชั้นที่ ๔ ชื่อ กำแพงอัฐิ (กำแพงกระดูก)
มีป้อม ๔ ป้อม … ป้อมที่ ๑ ชื่อ ปราการเกศา (ปราการผม)
………………… ป้อมที่ ๒ ชื่อ ปราการโลมา (ปราการขน)
………………… ป้อมที่ ๓ ชื่อ ปราการนะขา (ปราการเล็บ)
………………… ป้อมที่ ๔ ชื่อ ปราการทันตา (ปราการฟัน)
มีประตูพระนคร ๙ ประตู
ประตูที่ ๑ ชื่อ มุขทวาร สำหรับนำอาหารเข้าไปบำรุงเลี้ยงภายในพระนคร
ประตูที่ ๒ ชื่อ อุจจารทวาร สำหรับนำอาหารที่เสีย ๆ ออก
ประตูที่ ๓ ชื่อ ปัสสาวทวาร สำหรับถ่ายน้ำเสียออก
ประตูที่ ๔ กับ ประตูที่ ๕ ชื่อ ฆานทวารซ้าย ฆานทวารขวา สำหรับสูดลมเข้า ออก และรับกลิ่นที่ดีและไม่ดี
ประตูที่ ๖ กับประตูที่ ๗ ชื่อ โสตทวารซ้าย โสตทวารขวา สำหรับคอยรับฟังข่าวสารต่าง ๆ จากภายนอกพระนคร
ประตูที่ ๘ กับประตูที่ ๙ ชื่อ จักษุทวารซ้าย จักษุทวารขวา สำหรับคอยสอดส่องดูแลเหตุการณ์ ทั้งปวง
มีปราสาทอยู่ ๕ หลัง
หลังที่ ๑ ชื่อว่าจักษุปราสาท มีนางสนมชื่อรูปา มีรูปร่างสวยงาม คอยบำเรอ ผู้มาพำนักในปราสาทหลังนี้
หลังที่ ๒ ชื่อว่า โสตปราสาท มีนางสนมชื่อ สัททา มีความสามารถด้าน คีตกวี คอยขับกล่อมประโคมดนตรี และถวายรายงานเหตุการณ์ต่างๆ ให้ผู้มาพำนักได้รับรู้
หลังที่ ๓ ชื่อว่า ฆานปราสาท มีนางสนมชื่อ คันธา นางจะนำเครื่องสุคนธ์รสเข้าถวายผู้มาพำนักอยู่เสมอ
หลังที่ ๔ ชื่อว่า ชิวหาปราสาท มีนางสนมชื่อ รสา มีความสามารทางด้านปรุงอาหาร จะคอยนำอาหารคาว หวาน เข้าไปให้แก่ผู้ที่เข้ามาพำนัก มิได้ขาด
หลังที่ ๕ ชื่อว่า กายาปราสาท มีนางสนมชื่อ ผัสสา นางมีความสามารถ เอาอกอาใจให้แก่ผู้มาพำนักเก่ง นางจึงหมั่นปรนนิบัติให้ความอบอุ่น อยู่ตลอดเวลา
๒.ผู้ครองกายนคร
..........กษัตริย์จิตราชทรงเป็นผู้ครองกายนคร มีมเหสี ๒ พระองค์ องค์หนึ่งพระนามว่า พระนางอวิชชา เป็นพระมเหสีฝ่ายขวา อีกองค์พระนามว่า พระนางตัณหาเป็นพระมเหสีฝ่ายซ้าย พระเจ้าจิตราชทรงลุ่มหลงในพระนางตัณหามาก ทรงให้เป็นผู้สำเร็จราชกิจ เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยเป็นที่สุด
..........อีกทั้งมเหสีทั้งสองกราบทูลอะไร พระเจ้าจิตราชเป็นต้องทรงเห็นชอบกับพระนางทั้งสองทุกประการ
..........ในกายนครมีมหาอำมาตย์ผู้ใหญ่ ๔ คน คือ หลวงโลโภ หลวงโทโส หลวงโกโธ และหลวงโมโหหลวงโลโภกับหลวงโมโหทำหน้าที่รวบรวมทรัพย์เข้าพระคลัง หลวงโทโสกับหลวงโกโธ ทำหน้าที่ ตีรันฟันแทง บุกรุกไม่คิดถอย
..........มีขุนคลัง ชื่อขุนมัจฉริยะ เป็นคนตระหนี่ถี่เหนี่ยวแน่นมาก ไม่ยอมจ่ายเงินทองให้แก่ใครง่าย ๆ มีขุนทหารประสานพระนครไว้ ๔ นาย คือขุนปฐพี ขุนอาโป ขุนเตโช และขุนวาโยมีเสนาประจำพระนครเข้าเฝ้า พระเจ้าจิตราช ทุกวัน 3 เหล่า คือ เหล่าเสนา อัญญสะมานา ๑ เหล่า เหล่าเสนา โสภณเจตะสิก หรือที่เรียกว่า อนุศาสก ๑ เหล่า และเหล่าเสนา อกุศลเจตสิก ๑ เหล่าซึ่งขึ้นตรงต่อ พระนางอวิชชากับพระนางตัณหานั่นเอง
หมายเหตุ 3
๒.๓ เหล่าเสนา อกุศลเจตสิกเสนา มี ๑๔ นาย คือ
นายโมหะ – คอยชักพาให้เกิดความลุ่มหลงมัวเมา
นายอหิริกะ – คอยชักนำให้ทำชั่วโดยปราศจากความละอาย
นายอโนตตัปปะ – คอยชักนำให้กล้าทำชั่วโดยไม่กลัวต่อผลบาป
นายอุทธัจจะ – คอยชักพาให้เกิดความฟุ้งซ่าน จนขาดสติสัมปชัญญะ
นายโลภะ – คอยชักพาให้เกิดความดิ้นรนอยากได้ไม่รู้จักพอ
นายทิฐิ – คอยชักนำให้เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชอบเป็นผิด
นายมานะ – คอยชักจิตให้เกิดความเย่อหยิ่ง ถือตัวว่าไม่มีใครเสมอเหมือน
นายโทสะ – คอยชักนำให้จิตคิดประทุษร้าย ขาดเมตตา กรุณา
นายอิสสา – คอยชักชวนให้คิดตัดรอนคนอื่น ในเมื่อเห็นคนอื่นจะได้ดีกว่า ไม่อยากให้ใครได้ดีกว่าตน
นายมัจฉริยะ – คอยชักนำให้ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่อยากให้อะไรแก่ใคร แต่อยากได้ของคนอื่น
นายกุกกุจจะ – คอยชักพาให้เกิดความรำคาญ หมดความสงบ
นายถีนะ – คอยชักพาให้เกิดความหดหู่ซบเซา ไม่อยากได้ใคร่ดี อะไรทั้งหมด
นายมิทธะ – คอยชักให้ง่วงเหงาหาวนอน ไม่อยากจะทำอะไร ดีชั่วไม่เข้าใจ
นายวิจิกิจฉา - คอยชักพาจิตให้ลังเลสงสัยตัดสินใจไม่ถูก
๑๐.ข้าศึกที่ไม่เห็นตัว
ฝ่ายทัพขุนพยาธิ ซึ่งเป็นทัพหนุน ของทัพหลวงชรา พอทราบว่า กายนครถูกทัพของหลวงชรา ซึ่งเป็นกองหน้าเข้าจู่โจมจนบอบช้ำแล้ว จึงสั่งให้เคลื่อนทัพหนุน ให้ขุนโรคาเข้าประชิดพระนคร เตรียมคบเพลิงเพื่อเผากายนคร
เมื่อมาสมทบกับทัพของหลวงชรา ขุนพยาธิ ก็ยังไม่เห็นทหารจากกายนคร ออกมาป้องกันพระนคร จึงได้แต่มองหน้า หลวงชรา ว่า ทำไมมันง่ายอย่างนี้ พร้อมทั้งเริ่มโจมตีพระนคร ระลองสองอย่างหนัก
ทันใดนั้น ทางประตูพระนคร ปรากฏ พวก กิมิชาติ พยาธิร้าย ต่างพากันเปิดประตู ฆานทวารซ้าย ขวา เพื่อต้อนรับขุนโรคา ทันที
ขุนโรคา ดีใจมากที่มีไส้ศึกออกมาต้อนรับ
อันทัพของขุนโรคานี้ มีร่างกาย โปร่งบางเบา เป็นมนุษย์ล่องหน ไปหนทางใด ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็น เว้นแต่ผู้มีตาทิพย์เท่านั้นจึงจะเห็น และทัพของขุนโรคานี้เป็นผู้ชอบทรมานผู้อื่น มากกว่า การจับเป็น หรือจับตาย ชอบเห็นผู้อื่นมีความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ยิ่งเจ็บ ขุนโรคายิ่งชอบ ชอบทรมาน
ทัพของขุนโรคา เมื่อบุกเข้ากายนครได้ ก็เริ่มทรมานชาวเมืองด้วยวิธีการต่าง ๆ นา ๆ จนได้ยินเสียงร้องโอดครวญไปทั่วพระนคร
สำหรับตัวขุนโรคา ได้เข้าไปในพระราชวังของท้าวจิตราช ได้เห็นท้าวจิตราชกับพระมเหสีทั้งสองกำลังบรรทมหลับสนิทอยู่ จึงเข้าตรงจู่โจมทำร้ายท้าวจิตราชโดยทันที
“โอ้ยยยยยยยยย” ท้าวจิตราช ทรงสะดุ้งจากพระบรรทม “มันเกิดอะไรขึ้น” ทรงรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วพระวรกาย มองเหลียวซ้าย แลขวา มองหาคนที่มาทำร้ายตนก็ไม่เห็นตัว ได้ยินเสียงหวิว ๆ ระรัวคล้ายกลอง สะเทือนสะท้านกังวาล ไปทั้งโสตะ แลร่ายกายเจ็บปวดมาก
“น้องหญิงช่วยพี่ด้วย” ท้าวจิตราชตรัสเรียกมเหสีทั้งสองให้ตื่นจากบรรทมให้มาช่วยพระองค์
“เป็นไงบ้างล่ะ” ขุนโรคา นึกอยู่ในใจ
พระนางตัณหา และพระนางอวิชชาทรงตื่นจากบรรทม เห็นพระอาการของพระสวามีแล้วทรงตกใจมาก ที่เห็นพระอาการของพระสามี สั่นสะท้านไปทั่วพระวรกาย ต่างเข้าประคองจิตราช ราชา “พระองค์เป็นอะไรเพค่ะ” พระนางอวิชชา ทรงตระหนกถามพระสวามีอย่างเสียงสั่น
“พระองค์อยากเสวยอะไรหรือเพค่ะ” พระนางตัณหา ตรัสถาม ด้วยเข้าใจว่าท้าวจิตราชทรงหิวพระกระยาหาร “อยากเสวย สุรา ยาฝิ่น กัญชา หรือหมู เห็ด เป็ด ไก่ ก็มีไว้พร้อมแล้ว อย่าได้ทรงอดเลย ถ้าทรงอดของเหล่านี้แล้ว พระองค์จะซูบผอมได้ จะทำเหมือนไม่ทรงรักพระองค์เอง หรือจะทรงประสงค์สิ่งไรอีก ก็ขอได้ทรงบอกเถิด น้องจะจัดมาถวาย ตามพระประสงค์ทุกอย่าง”
ท้าวจิตราช ทรงปฏิเสธทุกอย่าง ตรัสว่าเบื่อไปหมดไม่อยากเสวยอะไรเลย ...
“เอาเหอะ เราจะไม่ฆ่าเจ้า ในตอนนี้หรอก เราจะให้เจ้าทรมาน ทรมาน จนกว่า เจ้าจะตายเอง”ขุนโรคา รำพึงในใจตนเองอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เพราะ มันได้ วางยาบั่นทอนชีวิต ไว้ในตัวของท้าวจิตราช
“วันนี้ข้าไปก่อนล่ะ ขอให้เจ้าทรมาน ไปจนวันตายเถิด ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ขุนโรคา วางยาบั่นทอนชีวิตในร่างกายของท้าวจิตราชแล้ว ก็ได้ออกไปสมทบกับหลวงชรา เพื่อทำลาย ป้อม ประตู กำแพงทั้งหมดของกายนคร
ฝ่ายจิตราชราชา ทรงเจ็บปวดพระวรกายมากเพราะยาบั่นทอนชีวิตของขุนโรคา มเหสีทั้งสองเห็นอาการของพระสวามีให้แปลกใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เห็นพระวรกายของของพระสามีเป็นอย่างนั้น จึงให้เรียกหมอหลวงมาพยาบาล ให้หมอผี แม่มดมาปัดรังควาน ก็ไม่หายไม่ทุเลา เพราะพิษของยาบั่นทอนชีวิต เป็นยาที่มีคนรู้จักน้อยนัก ท้าวจิตราชราชา จะทรมานไปถึงไหนกัน
๑๑.พระสุบิน
พระเจ้าจิตราชราชา ครั้นทรงบรรเทาอาการเจ็บปวดดังกล่าวไปได้พอสมควร อีกทั้งยังอ่อนเพลียด้วยพิษไข้จากยาบั่นทอนชีวิตของขุนโรคา จึงบรรทมหลับไป ได้ทรงพระสุบินว่า
มีผู้วิเศษเหาะเข้ามาทางช่องพระแกล พระหัตถ์ซ้ายถือคันชั่ง พระหัตถ์ขวาถือค้อนที่ลุกโพลงไปด้วยเพลิงอันโชติช่วง แล้วได้ถามปัญหาพระเจ้าจิตราช ๒ ข้อ “พระองค์นรราชาแห่งกายนครปัญหาสองข้อนี้มีว่า ๑.ยาวให้บั่น ๒.สั้นให้ต่อ ขอพระองค์ทรงตอบปัญหา สองข้อนี้ว่าคคืออะไร ถ้าคิดไม่ออก ในสามวันจะมีอันตราย ถ้าคิดออกจะหายจากโรคาพาธ ความเกษมสำราญสวัสดีจะมีต่อพระองค์ทุกราตรีกาล” ครั้งถามปัญหาแล้ว ผู้วิเศษ ก็หายไปในทันที
พระเจ้าจิตราช ตกพระทัย ผวาตื่น แลยังจำพระสุบินนิมิตนั้นได้เป็นอย่างดี จึงตรัสเรียกเสนาอนุศาสกทั้ง ๒๕ นาย ให้เข้าเฝ้าแล้วตรัสเล่าถึงอาการประชวรและพระสุบินนิมิต ที่มีผู้วิเศษมาถามปัญหาให้แก้ ๒ ข้อนั้นทุกประการ
อนุศาสกทั้ง ๒๕ นาย ปรึกษากันและเห็นพ้องต้องการจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ การที่พระองค์ต้องรับบาปเคราะห์กรรมถึงกับทรงประชวรครั้งนี้ ก็เพราะเหล่าเสนาพาล ๑๔ นาย ยุยงให้พระองค์เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชอบเป็นผิด การที่พระองค์ประชวรเพราะต้องยาบั่นทอนชีวิตของขุนโรคา เสนาของมรณานคร ที่ข้าศึกภายนอกเข้ามาโจมตีถึงภายในเช่นนี้ ก็เพราะภายในมีเสี้ยนหนามศัตรูอยู่ เปิดโอกาส ให้ข้าศึกภายนอกเข้ามาได้โดยง่าย
อนึ่ง สุบินนิมิต ของพระองค์ที่ ปรากฏขึ้นนั้น เป็นมงคลนิมิต และผู้ที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ก็เห็นอยู่แต่ สมเด็จพระสังฆราช คือ พระธรรมมุนี ขอพระองค์ได้อาราธนาท่านมาวิสัชนาให้ฟังเถิด พระเจ้าข้า”
ท้าวจิตรา ทรงยินดียิ่งนัก จึงตรัสให้ขุนศรัทธา ไปนิมนต์ สมเด็จพระสังฆราชมาในวัง
เมื่อสมเด็จพระสังฆราชมาถึง จิตราชราชา จึงถวายนมัสการ แล้วเล่าเหตุการณ์ที่ปรากฏแก่พระองค์ให้สมเด็จพระสังฆราชาฟังทุกประการ
๑๒.แก้พระสุบิน
สมเด็จพระสังฆราขา ได้ฟังพระดำรัสตรัสเล่า ดังนั้น ก็ทราบความทุกประการ จึงถวายพระพรว่า “ขอมหาบพิตร อย่าได้ทรงพระวิตก ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อย่างใดเลย อันสุบินนิมิตที่ปรากฏนั้น เป็นนิมิตดี เกิดขึ้นด้วยอำนาจกุศลแสดงว่าพระองค์จะทรงสำราญอยู่ต่อไป แต่ในชั้นต้นนี้ ขอพระองค์จงสมาทานศีล ๕ ประการเป็นหลักเสียก่อน คือ ให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ให้มีเมตตาจิตต่อสรรพสัตว์ถ้วนหน้า ไม่ฉกชิงลักทรัพย์ของผู้อื่น ไม่ผิดลูกเมียของใครเขา ไม่พูดปดมดเท็จให้เขาเข้าใจผิด ไม่ดื่มเครื่องดองของเมาอันเป็นเหตุให้เสียสติ ศีล ๕ นี้เป็นเสมือนเกราะแก้วเป็นมงคลต่อผู้สวม สามารถประจันกับข้าศึกฝ่ายไม่ดีให้พ่ายแพ้ไป
สำหรับ พระสุบินนิมิต ที่กล่าวมาผู้วิเศษ ถือคันชั่งมา ก็ขอให้พระองค์ทรงเที่ยงตรงดั่งคันชั่งนั้น แลปริศนาธรรม ๒ ข้อคือ ยาวให้บั่น กับสั้นให้ต่อ รูป จะขอแก้วิสัชนาเป็นข้อ ๆ ดังนี้
ทีว่า ยาวให้บั่น คือ คนเรามีทุกข์ ซึ่งมีมาจากเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเศร้าโศก เสียใจ แค้นใจ คับใจ พลัดพรากจากของรัก ปรารถนาสิ่งใดไม่สมหวัง ความทุกข์เหล่านี้ เกิดจากตัณหา 3 ประการ คือ กามตัณหา ความอยากในกาม ภวตัณหา ความอยากเป็นโน่น เป็นนี่ วิภวตัณหา ความไม่อยากเป็นอะไรสักอย่าง และ อวิชชานี้ ทำให้เกิดทุกข์ไม่สิ้นสุด จึงควรบั้นทอนให้หมดไป ถ้าไม่บั่น ก็จะทำให้เกิดทุกข์ไม่สิ้นสุด ดังนั้นจึงว่า - - - ยาวให้บั่น
ที่ว่า สั้นให้ต่อ คือ คนเราเกิดมามีอายุน้อยนัก หากจะก่อกรรมทำอกุศล ก็จะหมดดีไม่มีชื่อเสียง เพราะสูญเสียความดี ที่ควรทำไปพร้อมกับชีวิตอันสั้น ฉะนั้นจึงควรประกอบกรรมดี เพื่อให้ความดีดำรงยั่งยืน โดยละ อกุศลกรรมเหล่านี้ คือ
ละโมหะ ความหลง
โทสะ ความโกรธ
มัจฉะริยะ ความตระหนี่
ถีนมิทถะ ความง่วงเหงาซึมเซา
อหิริกะ ความหมดอาย
อโนตะตัปปะ ความไม่กลัวบาป
อุทธัจจะกุกกุจจะ ความฟุ้งซ่าน รำคาญ
อิสสา ความริษยา
โลภะ ความละโมบอยากได้ไม่สิ้นสุด
ทิฐิ ความเห็นนอกลู่นอกทาง
มานะ ความถือตัว
วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย
เมื่อละอกุศลเหล่านี้ได้ ก็ขอพระองค์ ประกอบกุศล มีการให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น
เมื่อทำเช่นนี้ได้ ก็จะทำให้อายุอันสั้นนี้ ได้ดำรงคุณงามความดี อยู่ได้ตลอดไป ดังปริศนาว่า สั้นให้ต่อ”
จิตราชราชา ทรงเลื่อมใสในวิสัชนา ของสมเด็จพระสังฆราชยิ่งนัก มีพระทัยผ่องใส การที่พระเจ้าจิตราช ทรงมีพระทัยผ่องใสทำให้ขับพิษของยาบั่นทอนชีวิตของขุนโรคา สลายไปในที่สุด
อยากให้ส่งไป
อ่านจบแล้ว ยาวจังยังไม่ค่อยเข้าใจ