จากประสบการณ์การทำงานในระดับต่างๆ ของผม ทั้ง
ผมพบว่า ระดับความคิดของนักวิชาการนั้น อาจจะแยกได้เป็น ๓ ระดับ ดังนี้
ระดับความเป็นไปได้ (Possibility)
· ที่เน้นการใช้ทฤษฎีต่างๆ นำทางในการทำงาน
· ที่มีทางเลือกในการทำงานมากมายจนเลือกไม่ถูก และ
- ไม่ทราบว่า งานใดสำคัญกว่างานใด
· ไม่ทราบว่าอะไรควรมาก่อนหลัง
- เคยมีการตัดสินโดยการจับสลาก
ระดับความน่าจะเป็น (Probability)
· ที่เน้นการใช้ประสบการณ์ต่างๆทั้งของตนเองและผู้อื่น ทั้งโดยตรงและโดยการประเมินสถานการณ์ มาประมวลหาทิศทางการทำงาน
· มีกรอบงานชัดเจนขึ้น
· แต่ก็ยังมีทางเลือกมากพอสมควร
· อาจสามารถกำหนดลำดับความสำคัญในบางสถานการณ์ได้
· แต่อีกหลายสถานการณ์ที่ไม่เคยชินจะตัดสินใจไม่ได้
ระดับความเป็นจริง (Actual result)
· ที่เน้นการใช้ผลเชิงประจักษ์เป็นตัวชี้นำและวัดผลในการทำงาน
· สามารถจัดลำดับความสำคัญ ตามความจำเป็นที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละสถานการณ์ พร้อมเงื่อนไขการตัดสินใจ
· มีทางเลือกที่สอดคล้องกับทรัพยากร และสถานการณ์
เมื่อเรามีความแตกต่างเช่นนี้ จึงทำให้ระบบคิดในการทำงานของนักวิชาการ เป็นความคิดต่างระดับกัน สื่อกันไม่ค่อยได้ และเป็นสาเหตุหนึ่งในการทำงานแยกกลุ่มกันทั้งๆที่ทำในเรื่องเดียวกัน คล้ายๆกับการจัดการความรู้ ๔ ระดับ(http://gotoknow.org/blog/sawaengkku/115704) ที่เคยกล่าวไว้แล้ว
ผมไม่แน่ใจว่าใครจะมีหน้าที่เชื่อมโยงความคิดเหล่านี้เข้าด้วยกัน ให้เกิดพลังในการพัฒนา
แต่ เท่าที่ผมคิดออกและกำลังทำอยู่ พบว่าแนวทางพัฒนาที่สำคัญก็คือ การใช้ KM ธรรมชาตินำทาง แนะให้ใช้ผลเชิงประจักษ์เป็นตัวชี้นำและวัดผลในการทำงาน ก็จะเปิดช่องให้ทุกฝ่ายเข้าใจกันมากขึ้น มีเป้าหมายที่ชัดเจนร่วมกัน
ถ้า แม้นักวิชาการก็ยังร่วมทำงานกันไม่ได้ การทำงานกับชาวบ้านและชุมชนก็จะยิ่งมีช่องว่างกว้างกว่าแน่นอน
แต่ก็อาจมีบทกลับที่
ถ้านักวิชาการมาร่วมกันทำงานกับชุมชน เช่นในกรณีมหาชีวาลัยอีสาน
ก็อาจเป็นช่องทางให้นักวิชาการที่เปิดใจ มีความพร้อม เข้ามาทำงานร่วมกันจนเกิดพลังร่วม ที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน