ต่อจากบทความ เราได้อะไรจาก โอริงามิ ตอนที่ 1
ผลึกปัญญาแห่งโลกตะวันออก
โอริงามิ มีความหมายตรงตัวว่า “การพับกระดาษ” มีที่มาจากคำว่า “โอริ” แปลว่าการพับ ส่วน “คามิ” แปลว่ากระดาษ (เพียงแต่เมื่อนำคำมาต่อกันได้เปลี่ยนการออกเสียงเป็น “งามิ” เท่านั้นเองครับ)
การพับกระดาษแบบญี่ปุ่นนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กล่าวคือเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงการตัดกระดาษและการทากาว แต่ในบางครั้งเขาก็จะใช้การตัดกระดาษบ้างในแบบพับที่ยากและจำเป็นเท่านั้น กล่าวกันว่าสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในโอริงามิมีเพียงสองอย่างเท่านั้น อย่างแรกคือกระดาษ และอย่างที่สองคือจินตนาการ เสน่ห์ของโอริงามิที่แท้จริงจึงไม่ได้อยู่ที่ความยากความง่ายของสิ่งที่พับ แต่อยู่ในความเรียบง่ายที่แฝงไว้ด้วยความงาม และนี่เองคือ ปรัชญาแห่งโอริงามิ เสน่ห์แห่งโลกตะวันออก
ศิลปะการพับกระดาษเริ่มต้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศจีน แต่ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเมื่อไร นักวิชาการคาดว่าการพับกระดาษมีมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2000 ปี คือหลังจากการคิดค้นกระดาษขึ้นครั้งแรกนั่นเอง เพราะในสมัยนั้นเห็นจะไม่มีสิ่งไหนที่สามารถนำมา “พับ” ได้ หากไม่ใช่กระดาษ
วัฒนธรรมโอริงามิไหลเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อประมาณ 700 ปีก่อน ในสมัยนั้นโอริงามิถูกนำไปใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา ในศาลเจ้าชินโตเท่านั้น จากนั้นการพับกระดาษก็ได้พัฒนาไปอย่างช้าๆเป็นเวลาหลายร้อยปี เพราะอาจารย์จะเป็นผู้ถ่ายทอดโอริงามิให้ลูกศิษย์เท่านั้น จนมาถึงสมัยเอโดะ (1603-1867) พิธีกรรมทางศาสนาได้ลดความเข้มงวดลงไปกว่าแต่ก่อน สาธารณชนจึงได้มีโอกาสรู้จักกับโอริงามิอย่างแพร่หลายเป็นครั้งแรก
หนังสือเกี่ยวกับการพับนกที่มีชื่อเสียงมาก คือ เซ็นบะทซึรุ โอริคาตะ แปลเป็นไทยว่า วิธีพับนกกระเรียนพันตัว เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1797 เดิมทีชาวญี่ปุ่นใช้กระดาษวาชิ (กระดาษสาญี่ปุ่น) ซึ่งมีราคาแพงในการพับโอริงามิ ดังนั้นชนชั้นสูงจึงมีโอกาสได้สัมผัสกับโอริงามิมากกว่าชนชั้นอื่น ต่อมาเมื่อเครื่องทำกระดาษจากยุโรปเข้าไปในสมัยเมจิ หรือราว 150 ปีก่อน ราคากระดาษจึงถูกลง และโอริงามิก็แพร่หลายมากยิ่งขึ้น
หนังสือเกี่ยวกับโอริงามิในยุคแรกเริ่มนั้นยังไม่มีการใช้สัญลักษณ์สื่อความหมายให้เข้าใจ สัญลักษณ์ที่เราใช้กันอยู่จนทุกวันนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 50 ปีมานี้เอง คิดค้นขึ้นโดยปรมาจารย์โอริงามิชาวญี่ปุ่น อากิระ โยชิซาว่า เพราะท่านมีความเห็นว่าการพับโอริงามิควรทำให้ง่ายขึ้น ไม่ต้องใช้ความรู้ทางภาษาอีกต่อไป นี่เป็นความจริงทีเดียว เมื่อครั้งที่ผมเองเริ่มฝึกโอริงามิจากตำราภาษาญี่ปุ่น ผมก็เพียงแต่ดูตามภาพประกอบเท่านั้น ไม่ได้อ่านภาษาญี่ปุ่นประกอบแต่อย่างใด ต่อมาผมจึงเริ่มศึกษาเพิ่มเติมภาษาญี่ปุ่นในภายหลัง
ในปัจจุบันนี้ แบบพับกระดาษสมัยใหม่ได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และหลายประเทศได้ตื่นตัวเป็นอย่างมาก โอริงามิสามารถผลงานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น กล่องกระดาษ ดอกไม้ แจกัน ตุ๊กตา สัตว์สารพัดชนิด และอื่นๆอีกมากมาย ในทางทฤษฎีแล้ว เราสามารถพับกระดาษเป็นอะไรก็ได้
โอริงามิสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ตั้งแต่เป็นกิจกรรมยามว่าง วันสำคัญของครอบครัว เช่น วันเกิด วันครบรอบแต่งงาน เป็นต้น กิจกรรมในชั้นเรียน กิจกรรมเสริมสร้างสมาธิ ปฏิภาณไหวพริบ ความแม่นยำ และความอดทน โอริงามิจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงเด็กประถมเท่านั้น แต่โอริงามิเป็นประโยชน์แก่คนทุกเพศ ทุกวัย เพียงแค่เขาเหล่านั้นมีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตนเองเท่านั้นเอง
“Everything should be made as simple as possible, but not simpler.”
--Albert Einstein
ผู้สนใจโอริงามิหลายท่านกระตือรือร้นที่จะลงมือพับกระดาษแทบจะทันทีที่รู้จักมัน แต่หลายคนต่างต้องผิดหวังและท้อแท้ เพราะในหนังสือสอนพับกระดาษเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ภาพซึ่งง่ายที่จะมอง แต่ยากจะเข้าใจ
คุณอาจจะทดลองด้วยการเตรียมกระดาษหนึ่งแผ่น แล้วลองเปิดไปพับแบบที่คุณชอบในหนังสือเล่มนี้ หากคุณไม่มีปัญหากับแผนภาพต่างๆ ผมขอแสดงความยินดีด้วยครับ นั่นหมายความว่าคุณพร้อมที่จะเปิดโลกโอริงามิด้วยตัวของคุณเองแล้ว ถึงกระนั้นผมก็ยังยืนยันที่จะให้คุณได้อ่านผ่านเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว เพราะในเรื่องนี้คุณจะได้รู้จักกับคำสองคำที่มีความหมายอย่างยิ่งซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญต่อการเรียนรู้โอริงามิต่อไป นั่นคือ
พับภูเขา (ยามะโอริ – Mountain folding)
และ
พับหุบเขา (ทานิโอริ – Valley folding)
เสน่ห์ในการพับโอริงามิมีหลายประการ หนึ่งในนั้นคือ การประหยัดเวลาที่จะเรียนรู้มัน ในโลกของโอริงามิ คุณสามารถเรียนรู้ได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะเทคนิคที่ใช้ในการพับโอริงามิช่างเรียบง่ายเหลือเกินครับ หากคุณฝึกฝนการพับเบื้องต้นอย่างจริงจังเป็นเวลาเพียงสัปดาห์เดียว คุณก็สามารถพับแบบที่ค่อนข้างซับซ้อน และน่าทึ่งได้แล้ว
นักพับกระดาษหลายคนยังคงหลงใหลในเสน่ห์ของโอริงามิอย่างไม่รู้เบื่อ สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะ พวกเขาได้ค้นพบว่าพัฒนาการในโลกแห่งโอริงามิเป็นไปอย่างรวดเร็วจริงๆ และมีความท้าทายผ่านเข้ามาอยู่เสมอ
เมื่อคุณเริ่มพับกระดาษ สิ่งที่คุณจะได้คือ รอยพับ มีรอยพับแรก แล้วก็มีรอยพับอื่นๆตามมา จากสิบ เป็นร้อย ประกอบกันขึ้นมาเป็นผลงานโอริงามิของคุณนั่นเอง ความลับที่ไม่ลึกจนเกินไปของโอริงามิก็คือ รอยพับต่างๆสามารถพับไปได้สองทาง คือ พับออกด้านนอก และพับเข้าด้านใน
ในรอยพับสองชนิดนี้ รอยพับหนึ่งดูเหมือนภูเขา และอีกรอยพับหนึ่งดูเหมือนเป็นหุบเขา เหมือนกับคำว่า “สวัสดี” และ “ขอโทษ” รอยพับทั้งสองเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในตอนแรกเริ่มนี้ ขอให้คุณจำไว้ให้ดีนะครับ - “พับภูเขา” กับ “พับหุบเขา” รอยพับทั้งสองนี้มีสัญลักษณ์เป็นของตัวเองครับ และมันจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องเข้าใจและจดจำมันให้ได้
แล้วการอ่านแบบพับกระดาษจะง่ายยิ่งกว่าการบวกเลขเสียอีก เอาล่ะ สิ่งที่คุณจะต้องมีในตอนนี้คือ มือ กระดาษสักแผ่น และรอยพับ รอยพับที่เรามักจะคุ้นเคยกันดี คือ รอยพับหุบเขาครับ เพียงแค่คุณพับตามปกติ รอยพับที่แสดงด้วยเส้นประก็จะซ่อนอยู่ด้านใน เหมือนกับเส้นประนี้ตกลงไปในหุบเขานั่นเองครับการพับกลับไปอีกทางหนึ่ง คือ รอยพับภูเขา แสดงด้วยเส้นประ และจุดสลับกันไป ใช้ควบคู่กับลูกศรที่มีหัวสีขาวครับ วิธีสังเกตง่ายๆก็คือ เส้นประดังกล่าวจะนูนเป็นสันเมื่อพับเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหมือนกับถูกยกให้ขึ้นไปอยู่บนภูเขานั่นเองครับ
“Imagination is more important than knowledge.”
--Albert Einstein
การเริ่มพับในเบื้องต้นที่นิยมกันจริงๆมีไม่กี่แบบนักหรอกครับ คุณลองเดาดูสิครับว่าคุณจะเริ่มพับกระดาษสี่เหลี่ยมแผ่นหนึ่งเป็นอะไรได้บ้าง คุณอาจจะพับครึ่งตามขวาง กระดาษก็จะกลายเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือคุณอาจจะพับครึ่งแนวเฉียงกลายเป็นสามเหลี่ยมก็ได้ แบบพื้นฐานต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นจากรอยพับภูเขา และรอยพับหุบเขาตั้งแต่หนึ่งรอยขึ้นไปนั่นเอง
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับว่าแบบพับทั้งหมดต้องเริ่มจากแบบพื้นฐานเหล่านี้ เมื่อคุณได้ศึกษาต่อไปมากขึ้น คุณก็จะพบว่าบางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มด้วยแบบพื้นฐานก็ได้ เพราะในโลกของโอริงามิแล้ว จินตนาการสำคัญที่สุด เราจะไม่ตีกรอบความคิดสร้างสรรค์ของเราด้วยแบบแผนที่ตายตัวจริงไหมครับ
ผมได้สรุปแบบพื้นฐานไว้แล้วดังรูป มันดูคล้ายๆการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอะไรทำนองนั้น จากรอยพับง่ายๆ ค่อยๆกลายเป็นแบบอื่นๆตามมา แบบพื้นฐานที่เรียบง่ายที่สุดคือ แบบพับครึ่ง ซึ่งมีอยู่เพียง 2 แบบเท่านั้น ได้แก่ แบบพับหนังสือ และแบบพับสามเหลี่ยม สองแบบนี้มีรอยพับเพียงรอยเดียวเท่านั้น จากนั้น แบบพับหนังสือก็จะพัฒนาไปเป็น แบบพับตู้ ส่วนแบบพับสามเหลี่ยมจะพัฒนาไปสู่ แบบพับรูปว่าว ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของ แบบพับรูปข้าวหลามตัด และ แบบพับปลา ต่อไป
แบบพับหนังสือ |
แบบพับตู้ |
แบบพับลูกโป่ง |
แบบพับเรือคู่ |
แบบพับกังหันลม |
แบบพับสามเหลี่ยม |
แบบพับรวมศูนย์ |
แบบพับรูปว่าว |
แบบพับรูปข้าวหลามตัด |
แบบพับปลา |
แบบพับจัตุรัส |
แบบพับนก |
แบบพับลูกเบอร์รี่ |
แบบพับกบ |
ส่วน แบบพับรวมศูนย์ อาจจะเริ่มจากแบบพับหนังสือ หรือเริ่มจากแบบพับสามเหลี่ยมก็ได้ เพราะจริงๆแล้วเราแค่ต้องการจุดกึ่งกลางกระดาษเท่านั้น จากนั้นก็นำมุมทั้งสี่พับไปรวมไว้ตรงกลางกระดาษ เท่านี้ก็เรียบร้อย แบบพับเรือคู่ กลายพันธุ์มาจากแบบพับตู้ ซึ่งแบบพันเรือคู่นี้ต่อไปอาจนำไปดัดแปลงให้กลายเป็นหมู แบบพับดั้งเดิมอย่างหนึ่งของญี่ปุ่น หรือเราอาจดัดแปลงเป็น แบบพับกังหันลม เพียงแค่พับเพิ่มมาเพียงสองครั้งเท่านั้นเอง
แบบพับที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นไปอีกได้แก่ แบบพับลูกโป่ง ที่เด็กๆสามารถเป่าลมเข้าไปเพื่อทำให้กระดาษพองออกคล้ายลูกโป่ง ส่วนแบบพับที่นิยมใช้กันบ่อยที่สุดแบบหนึ่งคือ แบบพับจัตุรัส ซึ่งจากแบบพับพื้นฐานนี้ เราจะพัฒนาไปเป็นผลงานได้อีกหลายอย่าง จากดอกไม้ที่เรียบง่าย ไปจนถึงม้าปีกเปกาซัสที่ซับซ้อน
เป็นที่น่าสังเกตว่า แบบพับจัตุรัส และ แบบพับลูกโป่ง มีความคล้ายกันมาก แต่ต่างกันตรงที่มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมเท่านั้น เรายังสามารถแปลงแบบพับจัตุรัสเป็นแบบพับลูกโป่งกลับไปกลับมาได้ด้วย แบบพับจัตุรัสยังพัฒนาต่อเป็น แบบพับลูกเบอร์รี่ และ แบบพับกบ ที่เด็กๆชื่นชอบ แบบพับนก ซึ่งพัฒนามาจากแบบพับจัตุรัส สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น นกกระเรียนแบบดั้งเดิมซึ่งมีประวัติความเป็นเก่าแก่กว่า 200 ปี นกกระพือปีก และที่ผมถนัดมากที่สุดเห็นจะเป็นการพับไดโนเสาร์ด้วยแบบพื้นฐานนกนี้เอง
ตอนนี้คุณพร้อมที่จะลองพับแบบพื้นฐานเหล่านี้แล้วหรือยัง ?
“Knowledge is limited. Imagination encircles the world.”
--Albert Einstein
ไม่มีความเห็น