บันทึกนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากบทความของ ดร อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชน วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2549 ขอขอบคุณ รศ. บรรจงศรี จิระวิพูลวรรณ ซึ่งได้สำเนาบทความนี้แจกจ่ายอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เราได้รับบทความนี้มานานพอสมควร แต่ไม่มีเวลาเขียนบันทึกเกี่ยวกับบทความนี้ จนกระทั่งถึงตอนนี้
ชื่อของบทความนี้ืคือ "อาจอง แนะต้องปั้นเด็กดีมากกว่าเด็กเก่ง ชี้นำศีล-สมาธิ-ปัญญาบูรณาการวิชา"
ในบทความนี้ ดร อาจอง ได้กล่าวว่า "ปัจจุบันการศึกษาสอนให้เข้าใจผู้อื่นมากกว่าตนเอง สอนให้เป็นคนเก่งมากกว่าคนดีจึงต้องเปลี่ยนระบบการศึกษาใหม่ด้วยการสอนให้เป็นคนดีเหนือสิ่งอื่น เพราะถ้าเป็นคนดีแล้วจะเป็นคนเก่งโดยอัตโนมัติ การศึกษาที่ถูกต้องควรนำหลักจริยธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา ไปบูรณาการกับการเรียนการสอนทุกวิชาซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวกระโดดเหนือประเทศที่เจริญทางเทคโนโลยีได้"
เราเห็นด้วยกับสิ่งที่ ดร อาจองกล่าวไว้จากประสบการณ์ของเราเอง ตัวเราเองนั้นไม่ใช่เป็นคนเก่ง แต่เป็นคนที่พยายามเป็นคนดี ด้วยความที่เราพยายามที่จะเป็นคนดี ก็ทำให้เราพยายามที่จะทำตัวให้เป็นประโยชน์กับผู้อื่น ซึ่งการที่จะำทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น ก็ต้องทำตนเองให้ศักยภาพของตนเองสูงขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เป็นคนเก่งขึ้น ถ้าจะสอนหรืออบรมอะไรให้กับผู้อื่น เราก็ต้องพยายามเข้าใจและลองทำก่อน
ดร อาจองกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้คือ 'จิต' ไม่ใช่สมองอย่างที่เข้าใจกัน การเรียนรู้ที่ถูกจะต้องใช้จิตสำนึก เพราะจิตสำนึกมีความละเอียดอ่อนกว่าสมอง เมื่อสติอยู่กับตัวเองจะสามารถเรียนรู้ได้เร็ว
หลายคนก็คงจะเคยพบว่า เมื่อจิตเราสงบเป็นสมาธิ เราจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้รวดเร็วและสนุกกับสิ่งที่เราได้เรียนรู้
ดร อาจองได้เสนอแนะว่า เป้าหมายในการจัดการศึกษาสมัยใหม่ควรมี 9 ข้อ คือ
1. การรู้จักตนเองถือเป็นปัญญาสูงสุดในชีวิต
2. การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ
3. เข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้
4. มีอุปนิสัยทีดีงาม
5. การนำความรู้ไปปฏิบัติ
6. ใจกตัญญู
7. มีเกียรติหมายถึงความซื่อสัตย์ สุจริต
8. มีความเ็ป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
9. ความสง่างาม
ส่วนตัวแล้ว คิดว่าหากสถาบันการศึกษาใดสามารถผลิตคนหรือบัณฑิตที่มีลักษณะดัง 9 ข้อนี้ สถาบันการศึกษานั้นประสบความสำเร็จในการผลิตบัณฑิตที่พึงประสงค์ของสังคมมากกว่าสถาบันการศึกษาที่ได้รับการยกย่องดีเลิศด้านการเรียนการสอนและด้านการวิจัย แต่ไม่ได้หมายความการเรียนการสอนและการวิจัยไม่สำคัญและไม่ควรมุ่งเน้น จริง ๆ แล้วหากบุคคลใดเป็นบุคคลที่มีลักษณะดัง 9 ข้อข้างบนแล้ว เขาย่อมปฏิบัติการงานได้ดี ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนการสอน หรือด้านวิจัย และยังทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ไม่ได้ทำงานโดยยึดประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก
ดร อาจองได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "นอกจากนั้นครูต้องเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้นักเรียนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูและนักเรียนไม่สอนให้นักเรียนชิงดีชิงเด่น โดยให้ทำงานเป็นกลุ่มเพื่อให้เด็กไ้ด้ช่วยเหลือกันเกิดความเมตตาและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ผมเชื่อว่าจะเป็นวิธีสร้างคุณธรรมที่ดีที่สุด ส่วนหลักการสอนที่ดีต้องเริ่มจากครูต้องทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี อยากให้นักเรียนเ็ป็นแบบไหน ครูต้องเป็นอย่างนั้น"
เห็นด้วยว่าถ้าเราอยากจะให้นักศึกษาเป็นเช่นไร อาจารย์ต้องเป็นอย่างนั้น อยากให้นักศึกษาติดตามเทคโนโลยี สามารถศึกษาสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง อาจารย์ก็ต้องเป็นอย่างนั้นก่อน อยากให้นักศึกษามีความซื่อสัตย์ สุจริต ยุติธรรม และช่วยผู้อื่นเท่าที่กำลังตนเองจะช่วยได้ อาจารย์ก็ต้องเป็นเช่นนั้นก่อน ไม่ใช่ง่ายเลยที่จะเป็นอาจารย์ที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรม แต่ก็ไม่ยากเกินกำลัง หากตั้งใจจริงและฝึกสติในการรู้สึกตัวเองทุกขณะ
ดร อาจองกล่าวในตอนท้ายของบทความว่า "จากนั้นครูต้องพยายามดึงเอาสิ่งที่เด็กมีอยู่มาใช้ด้วย สำหรับกระบวนการสอนต้องเริ่มจากการทำสมาธิทุกวัน สร้างบรรยากาศที่ดีในห้องเรียนให้เด็กรู้สึกปลอดภัย ตลอดจนสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กอยากเรียนด้วยความรักความเมตตาจากครู"
จากประสบการณ์การสอนเกือบ 4 ปีทำให้เราเรียนรู้ว่า การเ้ข้าใจเด็กและการแสดงออกความรักความเมตตาที่มีให้กับเด็ก เป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้เด็กอยากเรียนและตั้งใจทำการบ้านในวิชาเรา ความเข้าใจ ความรัก และความเมตตาที่มีให้กับลูกศิษย์นั้น บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าปริญญาเอกที่อาจารย์มหาวิทยาลัยได้รับมา
สวัสดีค่ะ
ขออนุญาตนำไปสอนหลานด้วยค่ะ
สวัสดีครับท่านอาจารย์
สวัสดีครับอาจารย์กานดา
อ. เก่งจังเลยคับ
มาสอน comsci บ้างดิคับ
> <
แต่ผมเรียนจบแล้วนี่นา
ขอบคุณค่ะที่เข้ามาเยี่ยม หาก อ เห็นว่ามีประโยชน์และควรจะนำไปสอนหลาน ก็ดีใจค่ะที่ได้ให้อะไรที่มีประโยชน์
เม้ง สมพร ช่วยอารีย์ ---------> http://www.somporn.net
คุณเม้งกับต้อมคงเป็นแฟนพันธุ์แท้บล็อกพี่เบิร์ด แนวคิดอะไรหลายอย่างของพี่เบิร์ดกับต้อมก็สอดคล้องกันค่ะ
การสอบวิชาคุณธรรมคงไม่ได้ช่วยอะไรมาก แต่การส่งเสริมสื่อทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ให้เสนอเรื่องราว นิทาน หรือสารคดีที่สอดแทรกคุณธรรมให้กับคนทุกวัย น่าจะมีประโยชน์มากกว่า จริง ๆ ถ้าอยากให้เด็กเป็นเด็กดี ก็ต้องทำให้ผู้ใหญ่เป็นคนดีก่อน
ถ้าเราตั้งปัญหาว่า เราจะทราบได้อย่างไรว่าเค้าเป็นคนดี คงเป็นปัญหาที่ตอบยาก และไม่แน่ใจว่าจะเกิดผลที่มีประโยชน์ตามมาหรือไม่ แต่เราตั้งปัญหาว่า เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราเป็นคนดี อันนี้ก็ตอบยากอีกเช่นกัน แต่การถามเช่นนี้อยู่บ่อย ๆ คงทำให้เราเผลอที่ะจะทำอะไรไม่ดีน้อยลง
ขอบคุณค่ะที่เข้ามาเยี่ยม และแ้จ้งให้ทราบว่าบทความนี้มีประโยชน์
ค่ะ เห็นด้วยกับอาจารย์ค่ะว่า แม่ปูเดินไม่ตรงคงสอนให้ลูกเดินตรงยาก ตัวเองก็เป็นแม่ปูที่หลายครั้งก็เดินไม่ตรง ก็จะพยายามปรับให้ตนเองพยายามเดินตรงค่ะ
นม.
ขอบคุณค่ะที่เข้ามาเยี่ยมและทักทาย
คิดว่าปริญญาหรือความรู้เป็นเพียงแค่องค์ประกอบในสิ่งที่อาจารย์ต้องมี สิ่งหลักที่อาจารย์ต้องมีคือวิญญาณของความเป็นครู จิตที่เมตตา ปรารถนาให้ลูกศิษย์ประสบความสำเร็จและมีความสุข
อรัณย์ ชนะนาขอบคุณค่ะที่เข้ามาเยี่ยม
สวัสดีจ้ะน้องต้อม
พี่เดินอ่านบันทึกของกัลยาณมิตรทุกๆท่านที่อยู่ในแพนเน็ตของพี่ ย้อนมาเรื่อยๆ จนมาถึงบันทึกของต้อม ที่ทำให้พี่ต้องเข้ามาคุยด้วย เพราะเห็นด้วยอย่างแรง
การสร้างคนให้เป็นคนดีนั้นต้องเริ่มตั้งแต่ตัวเล็กๆ และปลูกฝังกันอย่างต่อเนื่องไปจนโต เรามีเวลาจริงๆในเรื่องของ คุณธรรมไม่มากนักเลยนะจ๊ะ มีเวลาเพียงแค่่ 6 ปีแรกของชีวิตเค้าเท่านั้นเอง ที่จะเหมาะสมที่สุดในการปลูกฝังหน่อออ่นของความดี ส่วนการทำนุบำรุงนั้นต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้แคระแกร็น หรือ้ถูกโรค แมลงทำลายจนเสียหายหมดไป
ส่วนที่ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนนี้ดี เป็นสิ่งที่ตอบยากมากเลยนะจ๊ะ เพราะเรามีการปกป้องตัวเองอย่างมากมายกว่าจะพบว่า " ดีจริงหรือปลอมนั้น " อาจต้องใช้เวลามากมายเลยทีเดียว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากการสร้่างคนแล้ว คือการเลือกคนในทุกระดับ โดยการคัดสรรอย่างรอบคอบที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าจะได้คนดีตามที่ต้องการร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีการคัดสรรเลย์เนอะจ๊ะ และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ( ซึ่งกรณีนี้เราคงมองเห็นได้ชัดล่ะจ้ะ เพราะถูกตีตราแล้วว่าไม่ดี อิ อิ ) ดังนั้นระบบที่ชัดเจน และการเผยแพร่สิ่งดีๆเพื่อสร้างกระแสในสังคมจึงเป็นสิ่งจำเป็น เราจึงต้องมีส่วนอื่นเข้ามาช่วยดูแลสังคมมากกว่ากฎหมายนะจ๊ะ
บันทึกของต้อมทำให้พี่คิดถึงโรงเรียนทางเลือกต่างๆที่กำลังเบ่งบานในสังคมอยู่ตอนนี้โดยเฉพาะโรงเรียนสัตยาไสย ของ ดร.อาจอง ชุมสาย ฯ คนที่ต้อมเอาแนวคิดของท่านมาเป็นแรงบันดาลใจนั่นแหละจ้ะ ^ ^ ..โรงเรียนนี้สวดมนต์ไหว้พระตอนเช้าด้วยการกล่าวบทสวดมนต์เคล้าเสียงเปียโน เก๋และสงบเย็นมากเลยล่ะจ้ะ เพราะพี่ก็เพิ่งทราบว่าบทอรหัง สัมมานั้นเมื่อคลุกเคล้ากับเสียงเปียโนแล้ว ไพเราะจับใจ ไม่แพ้บทสวดของคริสต์เลยล่ะจ้ะ
ครูก็เป็นครูโดยแท้จริง สภาพแวดล้อมก็สงบงาม ไม่มีความฟุ้งเฟ้อ วุ่นวาย ธรรมชาติเรียบง่าย และอ่อนโยนมากเลยล่ะจ้ะ มีแต่รอยยิ้มที่สดใส เสียงทักทายอย่างเป็นมิตร และน้ำใจที่งดงาม ชื่นใจจริงๆเลยล่ะจ้ะ
เรามาร่วมสร้างคนดี และอนุรักษ์คนดีให้เป็นมรดกโลกกันเนอะจ๊ะ ^ ^
ขอบใจมากๆจ้ะสำหรับคำว่าแฟนพันธุ์แท้ ทำให้พี่ต้องเพิ่มความรับผิดชอบในการเขียนบันทึกขึ้นไปอีกเพราะมีแฟนๆที่น่ารักอย่างน้องต้อมเป็นกำลังใจอยู่นี่จ๊ะ และขอบใจมากๆจ้ะสำหรับบันทึกดีๆ ของต้อมที่ทำให้พี่ยิ้มปลื้มด้วยความสุขใจ
สวัสดีครับ อาจารย์กานดา
ขอบคุณครับ :)