ไหมเลี้ยงแขก
วิโรจน์ แก้วเรือง
ผมได้มีโอกาสไปฝึกอบรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมที่เมืองไมซอร์และบังกาลอร์ เมืองทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย ใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินประมาณ๒ ชั่วโมงครึ่ง จากกรุงเดลลีถึงเมืองบังกาลอร์ก่อนที่จะต่อด้วยรถบัสไปที่เมืองไมซอร์อีก ๑๔๒ กิโลเมตร ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของเมืองบังกาลอร์ เป็นที่ตั้งของศูนย์ฝึกอบรมและวิจัยการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเขตร้อน(๑) ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ถึงจะมีเวลาฝึกอบรมเพียง ๑๒ วัน (๑๕-๒๖พฤศจิกายน ๒๕๓๖) เพราะเป็นหลักสูตรสำหรับผู้บริหารหรือนักวิชาการที่มีส่วนในการวางแผนงานวิจัย หรืองานส่งเสริมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมของประเทศต่างๆ ที่กำลังพัฒนา แต่มีความตั้งใจที่จะเก็บสิ่งที่พบเห็นมาเล่าสู่กันฟัง
การไปอินเดียครั้งนี้ มีอุปสรรคมากมายในการเดินทาง ต้องช่วยเหลือตัวเองตลอด กว่าจะไปถึงที่ฝึกอบรมเมืองไมซอร์ต้องอดข้าวอดน้ำตลอดวัน ความคิดในเบื้องต้นก่อนเดินทางจากเมืองไทยคาดว่าจะได้มีโอกาสไปดูแขกเลี้ยงไหม แต่หลังจากกลับจากอินเดีย ได้เห็นกิจกรรมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมของอินเดียแล้ว ความคิดและความรู้สึกผมเปลี่ยนไป
วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๖ ได้มีโอกาสไปเยี่ยมกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมที่หมู่บ้านบัลเลนาฮาลี ตำบลศรนาคาพัฒนา เมืองไมซอร์ รัฐคานาตากะ มีเกษตรกรเพียง ๕ ราย เลี้ยงไหมลูกผสมระหว่างพันธุ์ที่ฟักออกตลอดปีกับพันธุ์ฟักออกปีละ ๒ ครั้ง ในฤดูร้อน เป็นพันธุ์พื้นเมืองของอินเดียกับพันธุ์ ต่างประเทศ ถ้าเปรียบกับของไทยก็เรียกว่า พันธุ์ไทยลูกผสมในฤดูหนาวจะเลี้ยงพันธุ์ลูกผสม ที่ฟักออกปีละ ๒ ครั้ง หรือที่เราเรียกว่าพันธุ์ต่างประเทศลูกผสม ในฤดูร้อนจะมีอุณหภูมิเฉลี่ยไม่เกิน ๓๕0ซ. ในฤดูหนาวอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ ๒๖0ซ. สภาพภูมิอากาศของรัฐนี้เหมาะสมต่อการเลี้ยงไหม ได้ตลอดปี พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตชลประทาน วัสดุในการเลี้ยงไหมใช้กระด้งแบบของไทย มีทั้งการเลี้ยงในบ้าน และโรงเลี้ยงไหม ซึ่งก่ออิฐ ถือปูนผนังหนา ทำให้อุณหภูมิภายในต่ำกว่าภายนอกมาก เช่นเดียวกับโบสถ์ตามวัดต่างๆของไทยที่มีอากาศเย็นสบายทุกฤดูกาล ทำให้อุณหภูมิเหมาะสมต่อการเลี้ยงไหม ไหมแข็งแรงไม่อ่อนแอต่อโรค
นอกจากนั้น เกษตรกรทุกรายจะไม่อาศัยรายได้จากการเลี้ยงไหมเพียงอย่างเดียว แต่จะทำการเกษตรผสมผสานร่วมกับการปลูกมะเขือเทศ ข้าว มะพร้าว อ้อย ทำให้มีรายได้ตลอดทั้งปี
ตอนบ่ายได้ดูตลาดรังไหมที่เมืองรามานาการัม(๒) ซึ่งควบคุมโดยรัฐบาลของรัฐคานาตากะเป็นตลาดเปิด เกษตรกรจากที่ต่างๆ จะนำรังไหมที่เลี้ยงได้ขายที่ตลาดแห่งนี้ โดยเสียภาษีให้รัฐ ๑๐ รูปี/ถาด(๓) ถาดขนาดประมาณ ๑.๐ x ๒.๕ x ๐.๑๕ ม.๓ (กว้างxยาวxสูง) ผู้สาวไหมจะมาประมูลซื้อรังตามคุณภาพของรังไหมและความพอใจ ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในจำนวน ๗๕ แห่งทั่วประเทศโดยจะรังไหมหมุนเวียนวันละ ๓,๕oo กิโลกรัม เกษตรกรผู้ประกอบอาชีพสาวไหมในเมืองนี้จะมีถึง ๒,ooo ครอบครัว
ไม่มีความเห็น