สวัสดีค่า หายไปเสียนานเลยคะ พอดีกับที่หยุดปิดไปหลายวันเลยมีเวลาอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ซื้อมานานแล้วแต่อ่านไม่จบสักทีคะ ตอนที่ซื้อเพราะเห็นชื่อแปลก ปกสวย คำโปรยหน้าปกที่บอกว่า
"สร้างปรากฏการณ์ยอดขายติดอันดับ 1 นานข้ามปี จากทุกสถาบันหลักของโลก อาทิ New York Times, Publishers Weekly, Amazons.com, Barnes & Noble"
เดอะ เลิฟลี่ โบนส์
ฉันเห็นฆาตกรจากสวรรค์
THE LOVELY BONES
เลยอยากรู้คะว่าที่เค้าว่ากันว่าขายดีนักดีหนาเนี้ยจะเป็นอย่างไง..... แต่ที่ทำให้ตัดสินใจซื้อมาอ่านจริงๆ กลับเป็นเรื่องราวของผู้แต่งหนังสือที่มีการเขียนเล่าไว้ที่คำนำสำนักพิมพ์คะว่า
"อลิซ ซีโบลด์ ไม่เชื่อว่าคนเราเมื่อสูญเสียแล้ว จะต้องสูญเสียไปตลอดกาล เธอคือนักสู้โดยแท้ เพราะชีวิตจริงของเธอเคยถูกข่มขืนมาแล้วตอนสมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย ทว่าเธอไม่คิดสั้น และมีสติอยู่กับตัวตลอดแม้ขณะกำลังถูกข่มขืน โดยไม่ยอมขัดขืนคนร้ายเพราะเกรงว่าถ้าทำเช่นนั้น ชีวิตเธอก็จะหาไม่ เธอคิดว่า "คนที่บอกว่าขอสู้จนตัวตายดีกว่ายอมถูกข่มขืนคือคนโง่ส่วนฉันขอถูกข่มขืนย่ำยีสักพันครั้งยังดีกว่า" นั่นเป็นเพราะเธอคิดว่า ชีวิตข้างหน้าเธอยังมีโอกาสได้เห็นแสงสว่างเรืองรอง
นอกจากนี้ อลิซ ยังไม่เชื่อเรื่องของ "การแก้แค้น" อีกด้วย เพราะนั่นมิได้ทำให้พ้นทุกข์ หากแต่จะส่งผลให้ทุกข์ยิ่งกว่า"
Alice Sebold
สงสัยคะว่าผู้หญิงที่มีแนวคิดเด็ดเดียวและกล้าหาญอย่างนี้จะแต่งแต้มบรรจงขีดเขียนเรื่องราวออกมาในรูปแบบไหนกันน่า........
เรื่องราวที่ Alice Sebold ได้เขียนออกมานี้บอกเล่าเรื่องราวที่เรียบง่ายแต่ซับซ้อนทางอารมณ์อย่างที่สุด อารมณ์ที่พูดถึง คือ อารมณ์ความรู้สึกของการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งไปก่อนเวลาอันสมควร การเหนี่ยวรั้งฉุดรั้งสิ่งที่ไม่มีวันกลับมาได้ การหลีกหนีจากสิ่งที่ต้องทนทุกข์ การหันหน้าเผชิญกับเรื่องราวโดยมีเงาสะท้อนของผู้ที่จากไปฉาบอยู่บนหน้าของผู้ที่ยังคงอยู่ การเรียนรู้เรื่องการตายจากและการพยายามเข้าใจมันของเด็กน้อย เป็นต้น
จากชื่อเรื่อง ฉันเห็นฆาตกรจากสวรรค์ คงเดาได้ไม่ยากคะว่าตัวละครเอกของเรื่อง คือ ผู้ที่ตายจากแล้วเฝ้ามองกลับลงมายังบุคคลอันเป็นที่รัก ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ น้องสาว น้องชาย คุณยาย แฟนหนุ่ม เพื่อนรัก เพื่อนที่โรงเรียน เพื่อนบ้าน และบุคคลที่ตัวละครเอกของเราไม่เคยเอ่ยชื่อนำหน้าเค้าว่า มัน เลย คือ "คนที่ข่มขืนและฆ่า หรือ ฆาตกร" นั่นเอง
เรื่องราวและเนื้อหาอยากให้ทุกท่านได้ลองสัมผัสและอ่านกันดูเองนะคะ โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้รู้สึกชอบมากเป็นพิเศษอะไรนักเพียงแต่อ่านแล้วก็ได้ข้อคิดแนวคิดดีในหลายๆ จุดเลยคะ
มันคงยากเหลือเกินนะคะ ที่จะปล่อยเรื่องราวหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งไป ทั้งๆ ที่เรารักเค้ามากปานนั้น อย่างในหนังสือจะมีบางฉากบางตอนที่แม้แต่ตอนนี้ยังฝังย้ำอยู่ในความรู้สึกของผู้เขียนบันทึกอยู่เลยคะ การเศร้าเสียใจที่ทนเก็บต่อไปอีกไม่ไหวของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเสาหลักของบ้านที่แสดงต่อหน้าลูกชายตัวน้อยนิด การโอบกอดกันของพ่อลูกที่แม้ไม่ต้องเอ่ยเอื้อนถ้อยคำใดๆ ออกมาก็สามารถช่วยพยุงและค้ำจุ้นความรู้สึกที่แตกร้าวของผู้เป็นพ่อได้ มันซาบซึ้งและยากนะคะ ที่จะไม่รู้สึกร่วมไปกับอารมณ์ ณ ตอนนั้น
อย่างที่บอกคะว่าคงต้องให้ทุกท่านลองสัมผัสกันดูเองคะว่าหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างไร แต่ที่อยากจะนำมาแบ่งปันกับทุกท่านอีกเรื่อง คือ หนังสือเล่มนี้ได้ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปเพื่อจัดทำเป็น ภาพยนตร์ เป็นที่เรียบร้อยแล้วคะ แล้วทราบไหมคะว่าใครเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้............... คนนี้เลยคะ
Peter Jackson
สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นคอหนัง ไม่ต้องแปลกใจกันไปนะคะว่า เอ!! ชายหนุ่มหน้าหล่อคนนี้เป็นใครกัน คงเป็นผู้กำกับหน้าใหม่หรือเปล่าน่า ผิดแล้วคะผิด ถ้าบอกว่า เค้าคนนี้แหละคะที่กำกับหนังมหากาพย์ทั้งสามภาค เรื่อง The Lord of the Rings นั่นเอง แม้แต่คอหนังบางท่านอาจจะงงว่าผู้เขียนบันทึกนี้มึนหรือเปล่า Peter Jackson เค้าต้องตุ้ยนุ้ยเจ้าเนื้อกว่านี้สิ แต่จะบอกว่านี่แหละคะภาพปัจจุบันของเค้าหละคะ สงสัยจะโหมงานหนักไปนิดเลยเพรียวขึ้นตั้งเยอะ....... 5555
ส่วนนักแสดงที่มารับบทนำเด่นๆ ในเรื่องนี้ก็มี ตามนี้เลยคะ
Saoirse Ronan
รับบทตัวเอกของเรื่อง เป็นผู้ที่เฝ้ามองครอบครัวจากสรวงสวรรค์
นักแสดงคนนี้ผู้เขียนบันทึกต้องยอมรับตรงๆ คะว่าไม่คุ้นหน้าสักเท่าไรนัก แต่จากการพยายามหาข้อมูลดูก็ทำให้ทราบว่าปลายปีนี้จะได้พบกับผลงานเรื่อง Atonement หนังรักและหนังสงครามที่เธอรับบทเป็นน้องสาว (ตอนวัย 13 ปี) ของ Keira Knightley คะ
Rachel Weisz
ดาราระดับออสการ์ มารับบทแม่ผู้สูญเสีย และพยายามหาทางออกโดยการหนีทั้งจากเงาของผู้ที่ตายจากและบุคคลอันเป็นที่รักที่ยังคงอยู่
นักแสดงมากฝีมือคนนี้ คงไม่ต้องการรันตีเรื่องความสามารถกันให้มากเลยคะ เก่งและสวยมากอยู่แล้วคะ.......
Ryan Gosling
นักแสดงหนุ่มหน้าสวย นัยตาโศก ผู้นี้มารับบทพ่อผู้สูญเสียคะ
<p align="justify"></p>
Susan Sarandon
</font></strong><p align="justify">อีกหนึ่งนักแสดงมากฝีมือ ระดับรางวัลออสการ์การันตี มารับบทคุณยาย ผู้เข้ามาประสานและคอยค้ำจุ้นครอบครัวที่เกือบจะแตกร้าวนี้ไว้</p><p align="justify">ดาราคนนี้ผู้เขียนบันทึกชอบมากเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วคะ จากหนังเรื่อง Lorenzo ‘s oil หนังน้ำดีที่เรียกน้ำตาจากคนดูได้ไม่ยาก แต่เก่ามากๆ แล้วนะคะ ใครมีโอกาสหาดู แนะนำคะว่าควรดูอย่างยิ่ง…..</p><p align="justify"> </p><p align="justify"> </p><p align="justify">สุดท้ายกับตัวละครหลักอีกหนึ่งตัวที่จะไม่พูดถึงเลยก็จะกระไรอยู่ นั่นคือ ฆาตกร ประจำเรื่องคะ รับบทโดย Stanley Tucci นักแสดงคนนี้รับบทไนเจล ในเรื่อง The Devil wears Prada ไงคะ... จำได้ไหมเอ่ย........</p><p align="justify"> </p><p align="justify"> หนังเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ผู้เขียนบันทึกตั้งตาคอยด้วยความอยากดูเป็นที่สุด อยากรู้เหลือเกินว่าผู้กำกับที่เคยแต่กำกับหนังเอพิค ระดับบล๊อกบลัสเตอร์ จะกำกับหนังชีวิตกลั้นอารมณ์ออกมาในรูปแบบไหน อีกอย่างนักแสดงมากฝีมือที่พาเหรดกันมาอย่างคับคั่งนี้จะแสดงออกมาเหมือนหรือแตกต่างจากที่เราจินตนาการไว้เมื่อครั้งอ่านหนังสือ อารมณ์ของหนังที่ออกมาจะออกมาในโทนใด คงต้องรอพิสูจน์เมื่อตอนหนังออกฉายนั่นแหละคะ……….. </p><p align="justify"> สุดท้ายคงต้องแอบเอาคำพูดสุดท้ายของตัวละครเอกของเรามาบอกคะว่า……….. </p><p align="center">"ขอให้คุณอายุยืนและมีความสุขนะคะ" </p><p align="justify"></p><table border="0" cellspacing="0" cellpadding="0" width="780"><tbody><tr>
</tr></tbody></table>
คิดว่าความรู้สึกสูญเสียหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าชีวิตเรา "ให้ความสำคัญกับอะไร" เพราะถ้าเราเสียในสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากๆ มันก็คงทำใจลำบากกับการยอมรับความสูญเสียอันนั้น
แต่เห็นด้วยนะว่า ชีวิตของคนเราไม่ได้สูญเสียอยู่ตลอดเวลา มีลงก็ต้องมีขึ้น ขึ้นอยู่กับว่าใครจะอดทนฝ่าฟันกับสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดว่าสูญเสียไปได้มากน้อยกว่ากันเท่านั้น
ขอบคุณนะคะคุณพี่ Ninko สำหรับความคิดเห็นที่พี่ให้ไว้
จริงอย่างพี่ว่าคะว่ามันขึ้นอยู่กับว่า "เราให้ความสำคัญกับอะไร" ยิ่งเราคิดว่าสิ่งนั้นสำคัญมาก เวลาสูญเสีย ยิ่งเสียใจและเป็นทุกข์หนัก........เห็นซึ้งเรื่องนี้ว่าจริงแท้เลยคะ.........
ต้องขอบคุณพี่อีกครั้งนะคะสำหรับข้อคิดชวนจำนี้คะ
เขียนได้น่าอ่านมากกกก แต่อาจานทิพย์ดูจะว่างงมากจริงๆนะเนี่ย อิอิอิอ ล้อเล่นนน ขยันอ่านภาษากิตบ้างนะจ๊ะ ว่างๆๆก็ส่งหนังมาให้ดูมั้งนะ อิอิอิอ อยากดู
แหม คุณ tunster อันที่จริงก็ไม่ได้ว่างหรอกคะ เพียงแต่มันต้องผ่อนคลายกันบ้างจริงไหม.... ขยันมากเดี๋ยวเครียดเกินไป........555......... อันที่จริงก็ขี้เกียจนั่นแหละ.......
อยากดูหนังเรื่องไรหละ ถ้ามีจะส่งไปให้ดู บอกมาเลยเดี๋ยวจัดให้ค่า..............