การให้สุขศึกษาในเชิงรุก ตั้งแต่ยังไม่ป่วยหรือเป็นแค่ญาติผู้ป่วย จนมีทัศนคติที่ดีต่อการสาธารณสุขซึ่งสำคัญที่สุด เพราะทัศนคตินี่แหละคือต้นตอของปัญหา เมื่อทัศนคติดี จิตใจมีความสุข ได้รับการรักษาทั้งกายและใจ ปัญหาใหญ่แค่ไหนก็เป็นปัญหาเล็กได้
ปัจจุบันจะทราบข่าวเกี่ยวกับปัญหาระหว่างแพทย์และผู้ป่วย
ญาติผู้ป่วยมากขึ้น นำมาซึ่งความเสื่อมของการสาธารณสุขในประเทศไทย
เป็นที่น่าหดหู่นัก
-
หากมองย้อนถึงวิวัฒนาการทางด้านสุขภาพของมนุษย์เท่าที่ผมทราบ
-
เริ่มแรกมนุษย์ก็พึ่งพาภูตผี วิญญาณ อำนาจอิทธิฤทธิ์
ซึ่งยังหลงเหลืออยู่บ้างในปัจจุบัน
-
ต่อมามนุษย์รู้จักยา สมุนไพรจะช่วยรักษาสุขภาพ
-
ต่อมาอีกมนุษย์เน้นการตรวจด้วยวิธีการต่าง ๆ
-
ปัจจุบันมนุษย์เรียนรู้ว่าจะต้องรักษาสุขภาพด้วยตัวเอง
ต่างก็ใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อความมีอายุยืนยาวสุขภาพแข็งแรง เช่น
อาหารเสริม การออกกำลังกาย
ส่วนทางด้านฝ่ายผู้ให้การดูแลสุขภาพคือฝ่ายสาธารณสุขนั้น
รับผิดชอบใน 4 ด้าน คือ
รวมเป็น
4 ด้าน ถ้านำมาคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ การรักษาโรค เป็นเพียง 1 ใน 4
ของการดูแลสุขภาพ ซึ่งเท่ากับ 25% เท่านั้น
แต่พอมองถึงการจัดของฝ่ายบริหารระดับสูงจะเน้นไปแต่เพียงส่วนนี้อย่างมากมาย
ปัญหาก็คือ บุคลากรทางการสาธารณสุขถูกใช้ไม่สมดุล
คือเน้นการรักษาโรค แต่ไม่ได้รักษาคนป่วย
ถามว่าแตกต่างกันตรงไหน
-
การรักษาโรคคือใช้วิชาความรู้ทำให้โรคหาย
โดยผู้ป่วยหนึ่งคนเข้าไป โรงพยาบาลทำบัตรประจำตัวผู้ป่วย
รอซักประวัติตรวจร่างกายจากพยาบาล
พยาบาลก็เขียนอาการและอาการแสดงการป่วยของผู้ป่วย
แล้วเข้าคิวรอพบแพทย์
แพทย์ก็อ่านจากที่พยาบาลเขียนมาแล้วก็ซักประวัติซ้ำตรวจร่างกายซ้ำตามแนวการคัดกรองของพยาบาล
แล้วแพทย์ก็ทำการวินิจฉัยสั่งยา หรือให้การรักษา
-
ส่วนการรักษาผู้ป่วยคือการทำให้ผู้ป่วยหายจากการป่วยด้วยวิธีการทั้ง 4
ด้าน คือทั้งป้องกัน ส่งเสริม รักษา และฟื้นฟู และรักษาจิตใจ
ให้ความรู้ แนะนำการปฏิบัติ
จนมีทัศนคติที่บวกคือรักษาใจคนไข้และญาติด้วยในเวลาเดียวกัน
ผลแตกต่างก็คือ
วิธีแรกแพทย์กับผู้ป่วยมีอัตราส่วนที่ต้องรับผิดชอบสูงมาก
ทำให้แพทย์มีเวลาพบผู้ป่วยแต่ละรายน้อย
ทำให้ต้องเร่งรีบในการตรวจ วินิจฉัย
ซึ่งความเร่งรีบอาจทำเกิดความผิดพลาดได้
ส่วนผู้ป่วยเองก็คาดหวังสูงเหลือเกินว่า
ถ้าได้พบแพทย์แล้วจะต้องหายเท่านั้นอันเป็นผลมาจากฝ่ายผู้ป่วยขาดการให้สุขศึกษาความรู้จากบุคลากรที่เพียงพอ
จึงทำให้เกิดปัญหาจากความคาดหวังนั่นเอง
ว่าแพทย์ต้องทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ต้องหายต้องไม่ตาย
ซึ่งความเป็นจริงไม่ใช่ ปัจจัยการป่วยนั้น ขึ้นอยู่กับสามสิ่ง
คือ ความต้านทานโรคในตัวผู้ป่วย ปริมาณของสิ่งที่ทำให้เกิดโรค
และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดโรค
ปัจจัยการหายก็แก้ไขกันที่สามส่วนนี้ ผลก็คือทำให้เกิดผลสามแบบ
คือ
ผู้ป่วยและญาติส่วนใหญ่ไม่ทราบความจริงเรื่องนี้อย่างถ่องแท้
หรือทราบบางส่วนไม่เพียงพอในการทำความเข้าใจหรือยอมรับความจริงได้
ทำให้เข้าใจผิดมีความรู้ผิดว่าเมื่อป่วยแบบนี้แพทย์ต้องรักษาอย่างนี้
ต้องทำแบบนี้ หรือต้องหายแบบนี้ แล้วไงอีก
ก็คือถ้าไม่ได้อย่างนี้แพทย์ผิดต้องเอาผิดต้องลงโทษ ต้องเรียกร้อง
คือมีทัศนคติที่เป็นลบขึ้นมาทันที
อันนี้ก็ห้ามไม่ได้เพราะเขารู้มาแค่นั้น
ส่วนแพทย์เองกว่าจะจบมาก็ยากเย็นแสนเข็ญไม่มีแพทย์คนไหนที่ไม่อยากรักษาผู้ป่วยให้หายหรอก
เพราะความชื่นใจภูมิใจของแพทย์และบุคคลากรสาธารณสุขคือการให้สุขภาพที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้แก่ประชาชน
ทีนี้เราจะแก้กันตรงไหนดี ต้องแก้ทุกส่วน คือ ต้องทำ การป้องกัน
ส่งเสริม รักษา และฟื้นฟูให้สมดุลกัน
แก้กันตั้งแต่ระดับผู้บริหารระดับสูงเลยส่งเสิรมงบประมาณมาอย่างทั่วถึงด้วย
เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้องนะครับ เน้นการป้องกันการเกิดโรค
การเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค และการฟื้นฟูสุขภาพด้วย
อย่าเน้นให้แพทย์รับผิดชอบแต่ผู้เดียว
แพทย์ก็เป็นคนก็มีโอกาสผิดพลาดได้เช่นกัน
แต่ก็มีแพทยสภาคอยควบคุมอย่างเข้มงวด
ต้องสอบความรู้ทุก ๆปี
ถ้าผิดก็ต้องถูกลงโทษตามสมควรแก่กรณีของความผิด
รวมทั้งการให้สุขศึกษาในเชิงรุก
ตั้งแต่ยังไม่ป่วยหรือเป็นแค่ญาติผู้ป่วย
จนมีทัศนคติที่ดีต่อการสาธารณสุขซึ่งสำคัญที่สุด
เพราะทัศนคตินี่แหละคือต้นตอของปัญหา เมื่อทัศนคติดี
จิตใจมีความสุข ได้รับการรักษาทั้งกายและใจ
ปัญหาใหญ่แค่ไหนก็เป็นปัญหาเล็กได้ เพราะทั้งหลายเกิดแต่เหตุ
ดับก็ดับที่เหตุ