ความหมายของ Judicial Policy Making
“Judicial policy making, to put the matter most simply, is policy making by a judge.”
(กล่าวโดยง่ายที่สุด Judicial Policy Making ก็คือการวางนโยบายสังคม จากการตัดสินคดีโดยฝ่ายตุลาการ.)
Malcolm M. Feeley & Edward L. Rubin,
Judicial Policy Making and the Modern State: How the Courts Reformed America’s Prisons,
Cambridge: Cambridge University Press, 1998: 4
ความหมายของ Judicial Activism
“Judicial activism means the making of new public policies through the decisions of judges.”
(Judicial Activism หมายถึงการวางนโยบายสังคมเรื่องใหม่ๆ ในการตัดสินคดีโดยฝ่ายตุลาการ.)
Steve Kangas, Glossary of Political & Economic Terms
http://home.att.net/~Resurgence/glossary.htm
นิติพลวัตรฉบับนี้: เมื่อพูดถึงการวางนโยบายสังคมโดยฝ่ายตุลาการ พวกเรานักกฎหมายไทย มักไม่ค่อยได้ยินเรื่องนี้ ว่าในต่างประเทศมีการถกเถียงกัน เช่นไรบ้าง.
บทความนี้ จะเสนอความคิด ๒ แนว (ฝ่ายค้าน & ฝ่ายหนุน) ในเรื่อง “ตุลาการวางนโยบายสังคม” (Judicial Policy Making) โดยไม่ชี้ว่า ผู้เขียนเห็นเช่นไร แต่มุ่งเสนอเพียงข้อมูล ให้คนไทย ได้เปิดใจไตร่ตรอง. เมื่ออ่านจบ ถ้าผู้อ่านท่านใดแย้งว่า นี่คือปัญหาของชาติ Common Law เช่นสหรัฐอเมริกา Civil Law เช่นไทยไม่เกี่ยว ก็ขอความกรุณาเก็บไว้คุยกันใหม่ ในภายหน้านะครับ.
Legal Dynamics ครั้งนี้ ขอแนะนำหนังสือชื่อ Judicial Policy Making and the Modern State: How the Courts Reformed America’s Prisons, Cambridge: Cambridge University Press, 1998. นี่คือหนังสือเล่มหนา ๕๐๖ หน้าที่เขียนร่วมโดยอาจารย์ ๒ ท่านแห่ง University of California at Berkeley ได้แก่ Prof. Malcolm M. Feeley (รัฐศาสตร์) และ Prof. Edward L. Rubin (นิติศาสตร์). ณ ที่นี้ ขอตั้งข้อสังเกตไว้ด้วยว่า นี่คือหนังสือที่พิมพ์โดย Cambridge University Press ซึ่งมีชื่อเป็นประกันว่า ได้รับการประเมินทางวิชาการ อย่างสูงยิ่งแล้ว.
Judicial Policy Making นี้ บางทีก็มีคำเรียกว่า:
Judicial Policy Making คือนิติพลวัตรที่สำคัญในสหรัฐอเมริกาขณะนี้ โดยเฉพาะในการแต่งตั้งตุลาการศาลฎีกา ซึ่งเปรียบเหมือนมวย ๒ ยก.
ยกที่ ๑ ซึ่งจบไปแล้ว ได้แก่ นายจอห์น ร็อบเบิร์ทส์ (Mr. John G. Roberts) ขึ้นชิงตำแหน่งประธานศาลฎีกาคนใหม่ แทนนายวิลเลียม เรห์นควิสท์ (William H. Rehnquist) อดีตประธานศาลฎีกาที่ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๓ กย. ๐๕.
ยกที่ ๒ ที่ยังไม่จบง่ายๆ ได้แก่:
ขณะนี้ เรื่องการตั้งตุลาการศาลฎีกายกที่ ๒ ยังไม่จบ เพราะกำหนดว่า นายอะลิโตจะขึ้นให้การต่อวุฒิสภา ตั้งแต่ ๙ – ๒๐ มค. ๐๖ ปีหน้า. เหตุนี้ นางแซนดรา เดย์ โอ’คอนเนอร์ จึงลงจากตำแหน่งไม่ได้ และต้องทำหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะมีผู้มาแทน.
Judicial Policy Making เป็นนิติพลวัตรในอเมริกาขณะนี้ ก็เพราะ สส. พรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม (Conservative) จึงรังเกียจ Judicial Activism และมักซักถามเรื่องนี้มาก. ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา จึงต้องให้การว่า ถ้าเข้าไปอยู่ในตำแหน่งแล้ว จะตัดสินคดีในลักษณะ Judicial Activism หรือไม่. ทั้ง John Roberts และ Harriet Miers ต่างให้การเรื่องนี้ มาแล้วทั้งสิ้น และแน่นอนว่า Samuel Alito ก็ต้องให้การในหัวข้อนี้ต่อไป.
ส่วน สส. พรรคเดโมแครทมีความคิดเสรีนิยม (Liberal) จึงนิยม Judicial Activism. นี่คือความคิด ๒ แนวทาง ที่ต่างกันชัดเจน ระหว่าง Conservative Camp กับ Liberal Camp ของ ๒ พรรคการเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ แต่ไม่ใช่จุดเน้นของบทความนี้. สิ่งที่ Legal Dynamics ฉบับนี้จะนำเสนอ ได้แก่ความเห็นจากนักวิชาการ & จากตุลาการ ที่ต่างกันในเรื่อง Judicial Policy Making.
“นายจอห์น ร็อบเบิร์ทส์ (กำเนิด ๑๙๕๕, อายุ ๕๐ ปี) ประธานศาลฎีกาคนใหม่” |
“นางแซนดรา เดย์ โอ’คอนเนอร์ (กำเนิด ๑๙๓๐, อายุ ๗๕ ปี) ตุลาการศาลฎีกา ผู้ลาออก" |
“นส. แฮเรียต ไมเออร์ส (กำเนิด ๑๙๔๕, อายุ ๖๐ ปี) ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลฎีกาคนแรก และถอนตัวไปแล้ว” |
“นายแซมมุเอล อะลิโต (กำเนิด ๑๙๕๐, อายุ ๕๕ ปี) ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นตุลาการศาลฎีกาคนใหม่” |
จารีตประเพณีที่มุ่งต้าน Judicial Policy Making: หนังสือของ Feeley & Rubin ชี้ว่า นักกฎหมายมักถูกสอนว่า ศาลที่ตัดสินคดีวางนโยบายสังคม เป็นศาลที่ทำการเกินอำนาจ. โดยจารีตประเพณี นักกฎหมายเชื่อว่า ศาลมีหน้าที่ตีความ & ปรับใช้กฎหมายเท่านั้น ไปไกลถึงวางนโยบายสังคมไม่ได้. บางทีก็มีผู้กล่าวหาว่า ผู้พิพากษาตัดสินวางนโยบายสังคม เพราะง่ายกว่าการตีความกฎหมาย. แม้บางครั้ง นักวิชาการจะยอมรับความจริงว่า ศาลได้ตัดสินคดีวางนโยบายสังคมเสมอ แต่พวกเขายังติดอยู่กับความคิดที่ว่า ศาลเช่นนั้นเป็นศาลที่ไร้หลักการ และลำเอียงตามความคิดตนเองได้ง่าย.
เนื่องจากตุลาการผู้ตัดสินคดี ที่มีลักษณะวางนโยบาย มักจะถูกสังคมตำหนิ เหตุนี้ ผู้พิพากษาส่วนใหญ่ จึงไม่กล้ายอมรับความจริง และจำต้องแย้งว่า ตนไม่เคยตัดสินคดีวางนโยบาย. แม้ผู้พิพากษาบางคนจะรับว่า ต้องนำนโยบายสังคม เข้ามาพิจารณาประกอบ ในการตีความกฎหมาย แต่ก็จำต้องแย้งว่า สิ่งที่ตนตัดสิน เป็นเพียงการตีความกฎหมาย ไม่ได้ก้าวก่าย ถึงเข้าไปวางนโยบาย แต่อย่างใด. ถ้ายอมรับความจริง ว่าตัดสินคดีวางนโยบายเมื่อใด ก็จะถูกโจมตีจากทุกฝ่าย ที่จะอ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ตุลาการไม่มีหน้าที่วางนโยบาย.
ในสหรัฐอเมริกา ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา จะต้องให้การว่า ถ้าเข้าไปอยู่ในตำแหน่งแล้ว จะตัดสินคดีวางนโยบายหรือไม่. ผู้ได้รับการเสนอชื่อเหล่านี้ ย่อมไม่มีทางเลี่ยง นอกจากจะยืนยันว่า จะตัดสินคดีโดยตีความกฎหมายเท่านั้น และจะไม่ก้าวก่าย เข้าไปวางนโยบายด้วย เพราะถ้าไม่พูดเช่นนั้น ก็จะไม่มีใคร ให้คะแนนรับรอง (โดยเฉพาะ สส. พรรครีพับลิกันทั้งหมด).
Feeley & Rubin แย้งว่า โดยแท้จริงแล้ว เราย่อมตระหนักกันดีว่า ผู้พิพากษาศาลฎีกาอเมริกัน ก็คือผู้วางนโยบายสูงสุดของชาติ แน่นอนเช่นกัน.
แนวโน้มใหม่: หนังสือของ Feeley & Rubin ชี้ว่า ในระยะหลังๆ น้ำเสียงต้าน เริ่มอ่อนลง. นักวิชาการบางคนเริ่มแยกความแตกต่างระหว่างการตัดสินคดีทั่วไป (Routine Cases) กับคดีสำคัญๆในสังคม (Leading Cases). นักวิชาการเช่นนี้เริ่มชี้ว่า แม้ในคดีแบบแรก ศาลจะไม่ตัดสินวางนโยบายสังคม แต่ในคดีแบบหลัง ก็ต้องยอมรับว่า ศาลจำต้องวางนโยบายสังคมเสมอ.
นักกฎหมายหลายคน เริ่มยอมรับว่า ศาลตัดสินคดีวางนโยบายสังคม ทั้งอย่างอ่อน (Less Complex) และอย่างแข็ง (More Complex) โดยแบ่งได้ ๔ ระดับ คือ:
Feeley & Rubin แย้งว่า คำอธิบายทั้ง ๔ นี้ มีส่วนให้เราเข้าใจ Judicial Policy Making ได้ดีขึ้น แต่ก็อธิบายเพื่อควบคุม Judicial Policy Making เพราะถือว่าเป็นแนวทางของ Judicial Activism. คำอธิบายเหล่านี้ บอกเราเพียงว่า What judicial policy making does? (ทำอะไรให้สังคมบ้าง?) แต่ไม่บอกเรื่อง What judicial policy making is? (คืออะไร?). บางครั้งก็อธิบายคล้ายกับว่า Judicial Policy Making เป็นเสมือน Black Box (กล่องดำ) ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจ ของเหล่าตุลาการ นั่นทีเดียว.
“ปกหนังสือ Judicial Policy Making โดย Feeley & Rubin
จาก Amazon.Com ซึ่งห้องสมุดไทยควรซื้อไว้
เพราะเข้าใจว่าเหลือน้อยแล้ว”
สรุปย่อข้อแย้งในหนังสือ Judicial Policy Making and the Modern State: ในหนังสือนี้ Feeley & Rubin มุ่งอธิบายเรื่อง Judicial Policy Making ต่างจากผู้อื่น คือแย้งว่า Judicial Policy Making เป็นหน้าที่ของตุลาการ กล่าวคือ ในความจริงแล้ว ศาลทำหน้าที่ ๓ ประการ:
ในสหรัฐอเมริกา ตุลาการได้ตัดสินวางนโยบายสังคม มาแล้วหลายเรื่อง เช่น:
แต่การใช้คดีทุกหัวข้อนี้มาพิจารณา ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะแต่ละคดีล้วนมีความซับซ้อน ที่ลงลึกยากมาก. เหตุนี้ Feeley & Rubin จึงเลือกใช้คดีปฏิรูประบบเรือนจำเป็น Case Study เดียว แต่เจาะลึก เพื่อสรุปเป็นทฤษฎีออกมา.
Feeley & Rubin ใช้วิธีวิจัยว่า ตุลาการอเมริกันได้ตัดสินคดีเช่นไร ที่ทำให้เกิดการปฏิรูประบบเรือนจำ โดยตรวจคำพิพากษาเรื่องนี้ทั้งหมด ตั้งแต่ปี ๑๙๖๕ - ๑๙๙๕ (๓๐ ปี). คำพิพากษาเหล่านี้ ล้วนชี้ว่า ตุลาการอเมริกันแทบทุกรัฐ ตัดสินคดีวางนโยบายสังคม มีผลให้ต้องปฏิรูปเรือนจำแทบทั้งหมดอเมริกา จึงไร้ข้อกังขาว่า: Judges were the most important prison reformers during that period. (ตุลาการคือสถาบันผู้ปฏิรูปเรือนจำ ที่สำคัญสุดใน ๓๐ ปีนั้น) Feeley & Rubin ให้รายละเอียดด้วยว่า ศาลให้เหตุผลเช่นไรในการตัดสินแต่ละคดี และในการสั่งเรือนจำ ให้ปฏิบัติตามคำสั่ง.
ต่อจากนั้น ผู้เขียนได้ใช้ Case Study เรื่องเรือนจำ ไปพิจารณาปัญหาที่กว้างกว่านั้น คือเรื่องบทบาทของตุลาการ ต่อระบบราชการในรัฐสมัยใหม่ (Modern Bureaucratic State) และชี้ว่าคำพิพากษาเช่นนี้ มีผลกระเทือนเช่นไร ต่อทฤษฎีตามจารีตประเพณีที่มุ่งต้าน Judicial Policy Making ซึ่งได้แก่:
หนังสือนี้สรุปว่า: “Judges have always made policy, and will continue to do so, especially in the modern administrative state.” ฝ่ายตุลาการก็วางนโยบายสังคมเสมอ และจะวางนโยบายเช่นนี้ต่อไป โดยเฉพาะในการปกครองของรัฐสมัยใหม่ ซึ่งฝ่ายตุลาการ คือสถาบันหลักผู้ตัดสินคดี. หนังสือนี้ชี้ว่า รัฐสมัยใหม่จำต้องมีฝ่ายตุลาการที่วางนโยบายสังคมอย่างแข็งขัน แต่ที่สำคัญ ควรตัดสินคดีในแนวเสรีนิยม (Liberal) ไม่ใช่อนุรักษ์นิยม (Conservative).
หนังสือนี้ ก่อปัญญาให้เราว่า: Judicial Policy Making คือหน้าที่อันสำคัญยิ่งของศาล. หน้าที่นี้มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง, มีกฎเกณฑ์ของตนเอง, มีวิธีของตนเอง, และมีเกณฑ์วัดความสำเร็จ & ความล้มเหลวของตนเอง. ผู้เขียนแย้งว่า หน้าที่เช่นนี้มีความชอบธรรม เพราะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จากบทบาทของศาลในฐานะสถาบันสมัยใหม่ในสังคม จึงไม่ละเมิดหลักการใด ๆ ในการปกครอง. ผู้เขียนชี้ว่า Judicial Policy Making สอดคล้องกับกฎหมายธรรมชาติ & วิธีตัดสินคดีในรัฐสมัยใหม่. เหตุนี้ มนุษย์ควรเปิดใจทบทวนความเข้าใจเสียใหม่ ในเรื่องของศาสตร์แห่งตุลาการ (Adjudication).
ทัศนะของ Mr. John Roberts ประธานศาลฎีกาคนใหม่ในสหรัฐฯ
ที่ให้การต่อ Senate Judiciary Committee Hearing
ตุลาการ & การแก้ปัญหาสังคม: “I don't think the courts should have a dominant role in society and stressing society’s problems." (13 Sep 05) (ข้าพเจ้าเห็นว่า ศาลไม่ควรมีบทบาทหลักในสังคม และไม่ควรเน้นแก้ปัญหาใดๆในสังคม) |
ตุลาการ & การแก้ปัญหาสังคม: “Judges must be constantly aware that their role, while important, is limited. They do not have a commission to solve society’s problems, as they see them, but simply to decide cases before them according to the rule of law.” (2 Aug 05) (ตุลาการต้องตระหนักเสมอว่า ตนมีหน้าที่อยู่จำกัด แม้หน้าที่นี้ จะมีความสำคัญ. ตุลาการไม่มีหน้าที่แก้ปัญหาสังคม ตามที่ตนเห็นควร มีแต่หน้าที่ตัดสินคดีที่ขึ้นสู่ศาล ตามหลักนิติธรรมเท่านั้น.) |
ศาล & การตัดสินวางนโยบายสังคม: “Courts should not intrude into areas of policy making reserved by the Constitution to the political branches.” (2 Aug 05) (ศาลไม่ควรก้าวก่ายไปวางนโยบายสังคม เพราะรัฐธรรมนูญสงวนไว้ ให้เป็นอำนาจทางการเมือง.) |
ศาล & Judicial Activism: “To the extent the term "judicial activism" is used to describe unjustified intrusions by the judiciary into the realm of policy making, the criticism is well-founded.” (2 Aug 05) (การที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ Judicial Activism ว่าศาลเข้าไปก้าวก่าย ในการวางนโยบายสังคมนั้น เป็นคำวิจารณ์ที่ชอบแล้ว.) |
ศาล & Judicial Law Making: “It is not part of the judicial function to make the law, a responsibility vested in the Legislature; or to execute the law, a responsibility vested in the Executive.” (2 Aug 05) (ศาลไม่มีหน้าที่บัญญัติกฎหมาย เพราะเป็นอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ. ศาลไม่มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เพราะเป็นอำนาจฝ่ายบริหาร) |
ทัศนะของ “Lord Denning”
(1899 – 1999) ตุลาการที่ยิ่งใหญ่ในอังกฤษ
|
ทัศนะของ Mr. E. W.
Thomas
ว่าที่ตุลาการศาลฎีกานิวซีแลนด์
|
พิเชษฐ เมาลานนท์, นิลุบล ชัยอิทธิพรวงศ์, พรทิพย์ อภิสิทธิวาสนา
ทีมวิจัย ๓ คน แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนีกาตะ ญี่ปุ่น
บทความนี้เสนอครั้งแรกในวารสาร กฎหมายใหม่, ฉบับที่ ๖๓, ๑ พย. ๐๕, น. ๓๐ - ๓๕
ไม่มีความเห็น