เมื่อวานนี้ผมได้มีโอกาสเป็นตัวแทนของนักศึกษาระดับปริญญาโทเข้าไปให้ถูกสัมภาษณ์ พร้อมกับคุณ สุภัทร ชูประดิษฐ์ และพี่เหมียวนักศึกษาปริญญาเอก สาขาวิจัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยผู้ประกันคุณภาพของมหาวิทยาลัย ก่อนที่จะเข้าไปในห้องเราทั้งสามได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการศึกษาระดับปริญญาเอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมสนใจและใคร่รู้ ก็พบว่าการเรียนปริญญาเอกนั้นต้องทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ และแรงสมองค่อนข้างมาก และต้องมีการเตรียมองค์ความรู้ไว้ให้พร้อม เพื่อรองรับกับอุบัติเหตุความรู้(Knowledge Accident) ผมเรียกอย่างนี้เพราะว่าความรู้ที่เกิดจากการรีบเร่งค้นคว้า อ่าน วิเคราะห์สังเคราะห์อย่างเร่งด่วนเพื่อใช้ในการสอบหลังจากที่อาจารย์นัดเพียงไม่กี่วัน ซึ่งเป็นความรู้ที่วูบวาบเดี๋ยวมาได้ก็หายไปได้ หรืออาจจะเป็นแผลเป็นฝังลึกก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าอุบัติเหตุความรู้นั้นจะรุนแรงมากแค่ไหน
พูดมามากจะได้เข้าเรื่องซักที กับคำถามที่ผู้ประกันคุณภาพของมหาวิทยาลัยซึ่งก็คืออาจารย์ในมอนี่เองแหละเป็นผู้ถาม คำถามเดียวที่ผมไม่ได้ตอบและอยากตอบแต่ไม่มีโอกาสจึงนำมาเล่าสู่กันฟังที่นี่ คำถาม? มีอยู่ว่า ปัจจุบันนี้ภาพลักษณ์ของการศึกษาทั้งของไทยและของโลกดูเหมือนว่าจะตกต่ำ(Down) ลงทุกที ท่านคิดว่าเป็นเพราะอะไร : พี่เหมียวตอบว่าเป็นเพราะในมหาวิทยาลัยขาดการถ่ายโอน(Tranfer) ความรู้ ประสบการณ์จากอาจารย์รุ่นเก่ามายังอาจารย์รุ่นใหม่ อันนี้ผมก็เห็นด้วยว่าเป็นปัจจัย(Factor) หนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญ ในส่วนที่เป็นคำตอบของผม คือ มุมมอง(Point of view) ของคนต่างหากที่ทำให้การศึกษาดูตกต่ำลง หากมองในแง่ปริมาณจะพบว่าปัจจุบันมีผู้รู้หนังสือมีสูงมาก แทบจะเรียกได้ว่าเด็กทุกคนในประเทศไทยจะต้องได้รับการเรียนหนังสือทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนด้านคุณภาพก็จะพบว่ามีองค์ความรู้เพิ่มขึ้นมากมายทั้งที่อยู่ในหนังสือ แหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น แต่คนมักจะนำเอาการศึกษาไปเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีซึ่งจะเปรียบเป็นรถ การศึกษาก็เป็นเหมือนรถโฟล์คเต่า ส่วนเทคโนโลยีเหมือนรถสูตร F1 มันเอามาแข่งกันมันก็แพ้ นอครอบกันกี่รอบก็ไม่รู้ ที่ผมเปรียบเทียบว่าการศึกษาเป็นรถโฟล์คเต่านั้นมีนัยว่าการศึกษาเป็นสิ่งที่เก๋า มีคุณค่า มีราคา ตกแต่งแล้วสวยงาม ไม่ได้เชื่องช้าประหนึ่งลักษณะของตัวมัน หากมีการบำรุงรักษามันอย่างดี เราก็จะสามารถขับมันให้ถึงเส้นชัยได้เหมือนกัน
ผมมักจะคุยกับแฟนเวลาที่นังรถไปด้วยกัน ขณะที่ขับรถคู่มากับรถเบนซืเปิดประทุน ผมจะพูดว่าเดี๋ยวเราก็ติดไฟแดงเดียวกัน เรานั่งได้ 4 - 5 คน มันนั่งได้แค่ 2 สอง เปรียบเทียบคามคุ้มแล้วต่างกันลิบลับ ดังนั้น ในคำตอบของผมก็สรุปได้ว่าการศึกษาของไทยและของโลกไม่ได้ตกต่ำลงเลยมีกระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และอาจจะเรียกได้ว่าก้าวหน้าอย่างรวดเร็วด้วยซ้ำเมื่อมีการนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ เช่น การเรียนการสอนผ่านดาวเทียม การเรียนการสอนผ่านอินเตอร์เน็ต ฯลฯ แต่นั่นก็ไม่ได้ความว่าสิ่งที่เรามีอยู่ เป็นอยู่จะเป็นเลิศแล้ว เรายังต้องเผชิญกับปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง และอื่นๆ อีกมากมาย นั่นคือขวากหนามที่การศึกษาจะต้องก้าวผ่านไปให้ได้ การมองว่าการศึกษาของไทยและของโลกตกต่ำไม่ใช้มุมมองที่เลวร้ายแต่จะช่วยให้เราเห็นปัญหาและร่วมกันแก้ไขได้ เพียงแต่ผมไม่อยากให้เกิดภาพลักษณ์ว่าการศึกษากำลังตกต่ำโดยมองในด้านเดียว
เป็นบันทึกที่น่าสนใจมากครับเก่ง ผมกับเก่งและพี่เหมียวก็เป็นสามคนของตัวแทนนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของคณะในการเข้าร่วมให้สัมภาษณ์ต่อคณะกรรมการประเมินภายใน ครั้งนี้
ปัญหาสำคัญของการถ่ายโอนความรู้ จากคนรุ่นเก่า สู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะยิ่งรุ่นห่างกันมาก ๆ ประสบการณ์ และความรู้ที่จะเชื่อมโยงหากันดูห่างไกลกันทุกที ประเด็นนี้คือ เกิด "Knowledge Gap" หรือ "ช่องว่างของความรู้" นี่คือปัญหาทาง KM~ และ LO ที่อย่างไรจึงจะให้ทำ KM และ LO~ ในองค์การและเป็นปัจจัยหนึ่งที่น่าขบคิดต่อยอดกันครับ.
ไว้แลกเปลี่ยนกันอีกน่ะครับ
สุภัทร