เทศกาลปีใหม่เวียนมาถึงทั้งที
คงไม่มีใคร อยากอยู่นับถอยหลังเข้าสู่ปี 2549 คนเดียว
จริงไหมค่ะ
นอกจากนั้นแล้ว ปีใหม่เปรียบเสมือนวันรวมญาติอีกต่างหาก
ไม่ว่าลูกหลานที่อยู่ไกล หรือเพื่อนฝูงที่ไม่ได้เจอกันมานาน
วันนี้แหละ เป็นวันพบปะสังสรรค์กันดีๆนี่เอง
ยิ่งถ้าใครเป็นสิงห์นักดื่มด้วยแล้ว
ย่อมไม่ยอมให้โอกาสนี้หลุดลอยจากไปง่ายๆแน่นอน อาหารหลากหลายมากมาย
กินไป-คุยไป ช่างเป็นบรรยากาศที่แสนสุขอะไรเช่นนี้
แต่อย่าเพิ่งเคลิ้มตามนะค่ะ โดยเฉพาะผู้ป่วยเบาหวานอย่างเราๆ
จะทำอย่างไรดีล่ะ
จะมัวให้ท่องแต่..ขันติ...ขันติ...ขันคงจะแตกซะก่อน
ผู้ป่วยเบาหวานบางคนคิดว่า “ไหนๆก็ไหนๆแล้ว
ขอกินทุกอย่างที่ขวางหน้าก่อนล่ะกัน พรุ่งนี้ค่อยอด” หรือ
“พรุ่งนี้ค่อยเพิ่มยาเบาหวานกินเอง”
ผู้อ่านบางคนอาจจะยิ้มกริมโดนใจ แต่ในความเป็นจริง
หากเรากินทุกอย่างที่ขวางหน้าแล้ว
เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าน้ำตาลในวันพรุ่งนี้ของเราไม่สูงปรีดจนต้องมานอนโรงพยาบาล
หรือถ้าเพิ่มยากินเอง จะแน่ใจได้อย่างไรว่า
ปริมาณยาที่กินเข้าไปจะไปช่วยลดน้ำตาลในเลือด
หรือไปบั่นทอนสุขภาพของเรา
เพราะทุกครั้งเวลาเรามารับยาเบาหวานที่โรงพยาบาล
แพทย์จะต้องทราบค่าน้ำตาลในเลือดที่แท้จริงของเราก่อนที่จะมีการเพิ่มหรือลดยา
เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว
เราอาจต้องมาฉลองปีใหม่โดยการนอนโรงพยาบาลเป็นแน่แท้เชียว
เคล็ดลับง่ายๆ ที่ผู้ป่วยเบาหวานทุกคนสามารถทำได้
1.
ก่อนจะเริ่มงานเลี้ยงสังสรรค์ฉลองปีใหม่
เราควรหาอาหารที่มีเส้นใย(กากใย)รองท้องก่อน เช่น
ผักจิ้มน้ำพริก เกาเหลาลูกชิ้น
หรือส้มตำที่สามารถหาได้ง่ายตามบ้านเราก็ได้ รองท้องนะคะ
อย่ากินจนไม่สามารถเติมอะไรลงท้องได้อีก
เพราะอาจทำให้งานเลี้ยงหมดสนุกได้
2.
ไม่ควรอดอาหารทั้งวัน
เพื่อจะได้กินอาหารเวลามีงานสังสรรค์ได้มากๆ
เพราะผู้ป่วยเบาหวานควรกินอาหารให้ครบ 3 มื้อต่อวัน
แต่ในมื้อที่ไม่ใช่งานเลี้ยงให้กินอาหารเบาๆแทน เช่น ข้าวสวยกับผัดผัก
หรือข้าวสวยกับกับข้าวพื้นบ้านของเราก็ได้
ถ้าเป็นข้าวเหนียวจะหนักไปนะค่ะ
3. ถ้าต้องจัดงานเลี้ยงที่บ้าน
ควรจัดให้มีอาหารผักไว้เยอะหน่อยนะค่ะ เช่น ส้มตำ
ผักลวกหรือผักสดจิ้มน้ำพริกก็ได้ ซึ่งตามบ้านเราหาได้ง่ายมากๆ
4.
หากต้องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า ไวน์ หรือ
เบียร์ อนุญาตให้ตนเองดื่ม 1 แก้วเท่านั้นนะค่ะ (1แก้วจริงๆ
คือ 1 แก้ว เติม 1 ครั้ง ไม่ใช่ 1 แก้วแต่เติมหลายครั้ง)
เพราะเครื่องดื่มดังกล่าวได้มาจากการหมักข้าว
ดังนั้นน้ำตาลในข้าวจะไปไหนเสีย
ถ้าไม่อยู่ในเครื่องดื่มที่เราๆท่านๆกระดกเข้าปากไป
5. ขนม...ขนม...ขนม
ที่ลูกหลานถือมาฝากสามารถกินได้นะค่ะ แต่ไม่ให้กินเยอะ กิน 1
ชิ้นพอดีคำ ถือว่ากำลังดี
เพราะถ้าเราห้ามใจตนเองไม่ให้กินสิ่งที่เราชอบแล้ว
มักทำให้ความอยากที่จะกินมีมากขึ้นทีหลังทุกครั้งไป
ดังนั้นเราควรแกะแบ่งให้ผู้อื่นช่วยกำจัดให้หมดทันที
เพราะถ้าเก็บไว้ล่อตาล่อใจ
มีหวังจะเข้าไปอยู่ในกระเพาะเราแต่เพียงผู้เดียว
ผลที่ตามมาคงไม่ต้องบอกใช่ไหมค่ะว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ถ้าไม่ใช่น้ำตาลในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้น
6. การออกกำลังกาย
เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
พอๆกับการควบคุมอาหารและการกินยาของผู้ป่วยเบาหวาน
การออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญน้ำตาลในเลือด
ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ดังนั้น
หลังกินข้าวแล้วเราควรออกไปเดินเล่น
เพื่อให้อาหารที่กินเข้าไปเผาผลาญเป็นพลังงานนะค่ะ
“เบาหวานเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่การดูแลรักษาตนเอง
ทั้งที่โรงพยาบาลและที่บ้าน จะช่วยให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้
ขอเพียงแต่ให้เรากินอย่างมีสติและรู้เท่าทัน
เราก็สุขสันต์ในวันปีใหม่เสมอ”
หมายเหตุ : เนื้อหาส่วนใหญ่นำมาจากนิตยสาร "เบาหวาน" ฉบับเดือนธันวาคม 2548
เภสัชกรต้นรัก แห่งดินแดนกระทิงสาวบริสุทธิ์
ดีใจที่สุดที่ได้เจอบล็อกของชาวเมยวดี ฝากความคิดถึงพี่แหม่มด้วยค่ะคงสบายดีนะค่ะสุขสันต์วันสงกรานต์ pcu เมยทุกท่านค่ะ ดีใจที่จะได้แลกเปลี่ยนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้สงสัยอีกแล้วค่ะที่เมยวดีมีกระทิงเหรอค่ะหมายความตามนั้นจริงๆค่ะ คือประวัติของชุมชนเมยวดีมีกระทิงมากเหรอค่ะ ไปเยี่ยมและแลกเปลี่ยนกันบางนะค่ะที่ www.gotoknow.org/tsopavonnakul
bloger หายไปไหนแล้วนะครับ ไม่เห็นเคลื่อนไหวเลย อยากคุยกับbloger เมืองเมยวดี แห่งสาเกตุนคร