"สมัยเราเรียน....มันไม่เป็นอย่างนี้" เป็นประโยคที่ได้ยินบ่อยครั้ง เมื่อคุณแม่คุยกับเพื่อน ๆ หมายให้ได้รู้ถึงความใส่ใจในเรื่องการเรียนของคุณลูก แต่ประโยคต่อมา... "ก็เลยสอนการบ้านลูกไม่ได้" ด้วยเหตุนี้ สถานกวดวิชา ติววิชา สอนพิเศษ จึงรับบทบาทแทน
ด้วยความใส่ใจคุณลูกจริง ๆ หลังโรงเรียนเลิก คุณแม่กับคุณลูกก็จูงมือกันไปต่อที่โรงเรียนของอาจารย์ผู้ทุ่มเทให้กับการสอน ซึ่งดูเสมือนจะไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตั้งแต่เช้าที่โรงเรียนจริง ตกเย็นมาต่อกันที่โรงเรียนตึกแถว จนถึงสองทุ่ม สามทุ่ม จึงค่อยแยกย้ายกลับบ้าน
ทั้งแม่ลูก ครูบาอาจารย์ ต่างทุ่มเทให้กับการเรียนแทบทุกวัน รวมทั้งเสาร์ อาทิตย์ ก็ยังต้องงดเที่ยว งดพักผ่อน เพื่อเรียน นอกจากว่าวันไหนอาจารย์ติดธุระนั่นแหละ ทุกอย่างสามารถหยุดได้อย่างสบายใจ โดยไม่รู้สึกผิดในใจ ว่าไม่ทุ่มเทให้กับการเรียนของลูก
ทุกคนในเรื่องนี้ล้วนเหนื่อยยาก ทุ่มเทเวลา ทุ่มเทกำลังใจ ผลที่ได้รับเป็นอย่างไร...? และไม่มีวิธีอื่นใดอีกหรือ...!
ถ้าเป็นอย่างนี้จะได้มั้ย
ด้วยความใส่ใจการเรียนของลุกเป็นทุนอยู่แล้ว แทนที่จะต้องเหนื่อยนอกบ้านที่ต้องไปรับลูกจากโรงเรียนกลางวัน ไปส่งที่โรงเรียนกลางคืน รอลูกจนเลิก พากันกลับบ้าน เปลี่ยนเป็น
วันนี้ -3 พ.ค. 2552 ขอเล่าเรื่องต่อ ด้วยความเชื่อว่าถ้าพ่อแม่จะเรียนไปกับลูกด้วยกัน ไม่ต้องให้เหนื่อยยากเกินเหตุเกินควร เรื่องก็มีอยู่ว่า ลูกก็ไม่ได้เรียนกวดวิชา เรียนพิเศษ อะไรทั้งสิ้น อาจมีบางช่วงไปเรียนศิลปป้องกันตัว แต่เวลาที่นอกจากการเรียน ส่วนใหญ่แล้วก็พักผ่อนตามปกติ อ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องที่สนใจบ้าง ก็เป็นนักเรียนส่วนน้อยที่ไม่ได้กวดวิชาอะไรกับเขา ก็ทำเกรดได้ 3 แก่ ๆ มาตลอด จนกระทั่งถึงชั้น ม.6 ก็เป็นคนเดียวของห้องที่ยังคงไม่กวดวิชา แต่ในภาคสุดท้ายก็(เป็นคนเดียวที่)สอบได้ที่ 1 และสอบข้อเขียน (สอบตรง) เข้ามหาวิทยาลัย 2 สถาบัน หลักสูตรอินเตอร์และหลักสูตรไทยได้ทั้งสองสถาบัน สัมภาษณ์ผ่านหนึ่งสถาบัน วันนี้สถาบันที่สัมภาษณ์ไม่ผ่านเรียกให้ไปสัมภาษณ์อีกครั้ง (คงจะมีนักศึกษาน้อยเกินไปหรืออย่างไรไม่ทราบได้) แต่กำลังรอผลว่าจะได้คณะที่ตั้งใจ (ซึ่งไม่เปิดสอบตรง) หรือไม่
ที่เล่าเพิ่มเติมมานี้ก็ด้วยมีประเด็น
จึงอยากจะย้ำว่า หากไม่เหตุจำเป็นด้วยเหตุผลอื่น ถ้าพ่อแม่จะเป็นครูของลูก และก็เชื่อว่าถ้าอาจารย์ที่เก่งกลับเข้าไปตั้งใจ มุ่งมั่นสอนนักเรียนในโรงเรียน และรับเงินเดือนจากรัฐให้สมกับความตั้งใจของอาจารย์ พ่อแม่ลูก ครูบาอาจารย์ ต่างจะทำงานเท่าที่ต้องทำ มีเวลาหยุดพักผ่อน หาความสงบสุข ความเจริญทางจิตใจก็จะดีไปด้วย
8 พ.ค. 2552
วันนี้อยากจะเล่าเรื่องต่ออีกครั้งหนึ่ง เป็นตอนจบสำหรับเรื่องนี้ ในที่สุด นักเรียนที่ไม่ได้เรียนกวดวิชาตั้งแต่อนุบาล จนจบ ม.6 ก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัย และได้คะแนนสูงสุดในสาขาวิชาของคณะ ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาที่ตัวเองตั้งใจ และมุ่งมั่นมาแต่แรก แม้ว่าเด็กคนนี้ยังต้องเล่าเรียนต่อไป หน้าที่ยังไม่จบ แต่ผู้เขียนไม่ค่อยได้ยินว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยมีการเรียนกวดวิชากัน และในวัยนี้เด็กคนนี้ควรจะต้องใช้วิธีเรียนรู้และค้นคว้าด้วยตัวเอง พ่อแม่ คงไม่ต้องเรียนไปกับลูกเพราะเป็นความรู้เฉพาะทาง พ่อแม่จบหลักสูตร ม.ปลายในปัจจุบันแล้วก็พอแล้ว แต่จะยังคงเป็นผู้สนับสนุนลูกต่อไปตามหน้าที่ของพ่อและแม่ ดังนั้นก็ขอจบเรื่องนี้ได้แล้ว
เล่าเรื่องมายาวมาก หากไม่มีบทสรุป ก็คงจะไม่สมบูรณ์ เหมือนเล่านิทานแล้วไม่จบด้วย "นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า....." แต่บทสรุปนี้ไม่ใช่คำสอน แต่เป็นคำเสนอ หรือข้อเสนอ ที่อยากจะเปิดเผยเพื่ออาจเป็นประโยชน์ได้บ้าง
1. การเรียนในระบบ วันละไม่ควรจะเกิน 5-6 ก็คงจะพอเพียง ที่จะสร้างให้เด็กมีภูมิรู้ และมีอาวุธเป็นเครื่องสำหรับการเรียนรู้ ทำให้อยู่ในโลกอย่างมีความรู้ความเข้าใจได้
2. หากต้องการให้นักเรียนมีศักยภาพสูงเท่าใด เสนอให้ปรับปรุงสองส่วน ส่วนแรก หลักสูตรต้องปรับปรุง เพราะหลักสูตรก็คือกรอบความรู้ที่จะให้นักเรียน อีกส่วนหนึ่งคือครูบาอาจารย์บางท่าน ต้องเพิ่มความเป็นครูให้สูงขึ้น อย่าให้เข้าใจได้ว่าเป็นผู้รับจ้างสอนหนังสือ
3. สุดท้ายขอเสนอถึงครูบาอาจารย์ที่สอนหนังสือนอกระบบ เพราะท่านก็มีภูมิรู้และมีฝีมือ นักเรียนพากันไปหาท่าน ขอให้เข้ามาสู่ระบบ กลับมาหานักเรียน ท่านจะช่วยนักเรียนได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกันก็เสนอต่อภาครัฐ ได้ให้สนับสนุนอย่างจริงจัง การที่รัฐให้เรียนฟรีในระดับประโยคประถม และประโยคมัธยม ซึ่งเป็นการให้โอกาส เกิดผลผลิตทางด้านปริมาณ ก็นับว่าดีอยู่แล้ว แต่รัฐก็จะต้องให้การศึกษาที่มีคุณภาพด้วย มิฉนั้นเราจะมีเพียงสถิติที่ประชากรเกือบทั้งประเทศได้รับการศึกษา เพียงเท่านั้นเอง แต่เราควรจะมีประชากรที่มีคุณภาพด้วย ซึ่งสำคัญกว่า เพราะฉนั้นไหน ๆ เมื่อรัฐเห็นความสำคัญของการศึกษา ก็ขอให้เพิ่มคุณภาพในการศึกษาอีกสักนิด ง่าย ๆ โดยให้การส่งเสริมข้าราชการครู ยกระดับ และสนับสนุนอย่างเต็มที่ให้สมฐานะในความเป็นครู ผู้มีจรรยาบรรณ ผู้ควรค่าที่จะเป็นปูชนียบุคคล ด้วยการดูแลสวัสดิการ และที่สำคัญ ที่เป็นรูปธรรม คือการเพิ่มเงินเดือน ค่าตอบแทนให้เพียงพอ ที่จะให้ครูที่อยู่ในระบบอยู่แล้ว มีความสุขในความเป็นครู และยังเป็นแรงจูงใจให้ครูนอกระบบเข้ามาสู่ระบบ ครูต้องไม่อัตคัตขาดแคลน ครูต้องมีความสุข เพื่อจะได้มีกำลังกาย กำลังใจ แผ่เมตตาต่อไปยังลูกศิษย์ ให้สิ่งดี ๆ แก่ลูกศิษย์ ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์
หากทำได้ เชื่อว่าคนไทยน่าจะมีความสุข ดัชนีความสุขประเทศไทยคงจะสูงขึ้น และจะเกิดผลต่อเนื่องในทางที่ดี ๆ ได้อีกมากมาย
วันนี้ปฏิบัติหน้าที่ ที่ศูนย์ กศน.ตำบลชายนา ได้ทำการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ และนำต้นไม้ใส่กระถาง รวมทั้งจัดมุมหนังสือน่าอ่าน และมุมต่างๆ โดยภาพรวมแล้ว ดูแปลกตา และดูน่าสนใจขึ้น คิดว่าจะชักชวนผู้อื่นให้สนใจการอ่านหนังสือได้บ้างตามสมควร