กฤษณมูรติ : ความมุ่งหมายในการก่อตั้งโรงเรียนของกฤษณมูรติ
ในโลกที่เต็มไปด้วยการทำลายล้างและความเสื่อมถอย จำเป็นยิ่งๆ ขึ้นที่ควรจะต้องมีสถานที่สักแห่งหนึ่ง ที่เป็นประดุจแหล่งน้ำกลางทะเลทราย ที่ซึ่งเราสามารถเรียนรู้วิถีการดำรงชีวิตอันเป็นทั้งหมด (ไม่แบ่งแยก) วิถีชีวิตอันเป็นปรกติสุขและเปี่ยมด้วยปรีชาญาณ เพราะว่าการศึกษาในยุคสมัยใหม่นี้มิได้สนใจที่จะบ่มเพาะปรีชาญาณ แต่กลับสนใจเพียงการบ่มเพาะนึกคิดทางสมอง ความจำ และทักษะในการใช้ความคิดและความจำ
ซึ่งในกระบวนการศึกษาแบบนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการส่งผ่านข้อมูลจากครูผู้สอนไปยังผู้เรียน หรือจากผู้นำไปยังผู้ตาม จึงนำไปสู่วิถีชีวิตที่ตื้นเขินและเป็นกลไก ดังนั้นในกระบวนการศึกษาเช่นนี้ สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์จึงเกิดขึ้นเพียงน้อยนิด
แน่นอนว่าโรงเรียนจะเป็นสถานที่ที่บุคคลเรียนรู้ถึงความเป็นทั้งหมด หรือความเป็นเอกภาพแห่งชีวิต ถึงแม้ว่าความเป็นเลิศทางวิชาการก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แต่โรงเรียนต้องมีอะไรมากกว่านั้น โรงเรียนจะต้องเป็นสถานที่ที่ทั้งผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสำรวจสืบค้น ไม่เพียงแต่เรื่องของโลกภายนอก หรือโลกของความรู้เท่านั้น แต่สำรวจสืบค้นเข้าไปในโลกของจิตใจ ทั้งความคิดและพฤติกรรมของตนเองด้วย จากจุดนี้พวกเขาจะเริ่มค้นพบอิทธิพล หรือเงื่อนไขต่างๆ ที่ครอบงำหรือกำหนดชีวิตของพวกเขา และจะเห็นว่าอิทธิพลเหล่านี้ บิดเบือนการคิดของเขาอย่างไรบ้าง อิทธิพลครอบงำนี้ก็คือความเป็นตัวตน ที่พวกเราได้ให้ความสำคัญแก่มันอย่างมากมายมหาศาลและน่ากลัว แต่ความรู้สึกตัวคือจุดเริ่มต้นแห่งอิสรภาพจากอิทธิพลครอบงำ รวมทั้งความทุกข์ระทมที่มันนำมาให้
ในอิสรภาพนี้เท่านั้นที่การเรียนรู้ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของครูผู้สอนในโรงเรียนเช่นนี้ ที่จะร่วมกับนักเรียน ช่วยกันหล่อเลี้ยงการสำรวจสืบค้นอย่างระมัดระวังเข้าไปในนัยทั้งหมด ของอิทธิพลครอบงำและทำให้มันจบสิ้นลง
โรงเรียนเป็นสถานที่ที่เราจะได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความรู้ และความจำกัดของมัน เรียนรู้ที่จะเฝ้าสังเกตดูโลก ซึ่งไม่ใช่เป็นการเฝ้าสังเกตจากความคิดเห็นหรือบทสรุปใดๆ หากแต่เป็นแหล่งที่เราเรียนรู้ที่จะมองดูบรรดาความมานะบากบั่น การแสวงหาความงาม การแสวงหาสัจธรรมของมนุษย์ อีกทั้งการค้นหาวิถีแห่งการดำรงชีวิตอันปราศจากความขัดแย้ง ความขัดแย้งเป็นแก่นแท้ของความรุนแรง จนกระทั่งบัดนี้การศึกษาก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้ แต่ในโรงเรียนแห่งนี้ความตั้งใจของเราก็คือ การทำความเข้าใจความเป็นจริงและบทบาทของมัน โดยปราศจากอุดมการณ์ ทฤษฎีหรือความเชื่อใดๆ ที่ตั้งไว้ก่อนแล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้มีแต่จำทำให้เกิดท่าทีที่เป็นปรปักษ์ต่อสภาพที่เป็นอยู่แล้ว
โรงเรียนเช่นนี้สนใจเรื่องของอิสรภาพและระเบียบ อิสรภาพนั้นมิใช่การแสดงออกของความอยาก มิใช่การเลือก หรือการถือเอาตนเองเป็นสำคัญ เพราะสิ่งเหล่านี้ย่อมนำไปสู่ความไร้ระเบียบ (ความขัดแย้ง) อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ อิสรภาพที่จะเลือกก็มิใช่อิสรภาพ ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นอิสรภาพ และระเบียบก็มิใช่การสยบยอมตามหรือการลอกเลียนแบบ แต่ระเบียบจะเกิดขึ้นต่อเมื่อเกิดการหยั่งเห็นว่า แท้จริงแล้วการเลือกนั่นแหละคือการปฏิเสธอิสรภาพ
ในโรงเรียนนี้เราเรียนรู้ถึงความสำคัญของสัมพันธภาพ ที่มิได้อยู่บนพื้นฐานของความผูกพันมั่นหมายและการครอบครองเป็นเจ้าของ ณ ที่แห่งนี้เราสามารถเรียนรู้การเคลื่อนไหวของความคิด ความรักและความตาย เพราะทั้งหมดนี้คือชีวิตของเรา
ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลมาแล้ว มนุษย์ได้แสวงหาอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือพ้นจากโลกแห่งวัตถุ อะไรบางอย่างที่มิอาจหยั่งวัดได้ อะไรบางอย่างที่ศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือความตั้งใจของโรงเรียนแห่งนี้ ที่จะสืบค้นลึกลงไปถึงความเป็นไปได้นี้
กระบวนการทั้งหมดของการสืบค้นเข้าไปในความรู้ เข้าไปในตนเอง เข้าสู่ความเป็นไปได้ของบางสิ่งบางอย่างที่อยู่เหนือพ้นจากความรู้ จะนำไปสู่การปฏิวัติทางจิตใจที่เป็นไปเองโดยธรรมชาติ และจากนั้นจะเกิดระเบียบชนิดใหม่ที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ซึ่งก็คือสังคมใหม่ การเข้าใจทั้งหมดนี้ด้วยปรีชาญาณ สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในจิตสำนึกของมนุษย์ชาติ
จิฑฑุ กฤษณมูรติ
โอไฮ 1984
คัดลอกจากบทนำของหนังสือ "ความรู้คือพันธนาการ"
โดย กฤษณามูรติ
ขอมอบแด่ ครู อาจารย์ และทุกท่านที่มีหัวใจแห่งคุรุ
ธรรมะสวัสดีครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ..ท่าน..ธรรมาวุธ
ซึ่งในกระบวนการศึกษาแบบนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการส่งผ่านข้อมูลจากครูผู้สอนไปยังผู้เรียน หรือจากผู้นำไปยังผู้ตาม จึงนำไปสู่วิถีชีวิตที่ตื้นเขินและเป็นกลไก ดังนั้นในกระบวนการศึกษาเช่นนี้ สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์จึงเกิดขึ้นเพียงน้อยนิด
ด้วยเห็นว่าในสังคมแห่งนี้มีคนที่เป็นครู อาจารย์ อยู่เยอะมาก หลายท่านบ่นกันเรื่องการศึกษา เช่น อ.Handy หรือ อ.เม้ง หรือ ดร.วรภัทร และตัวผมเองที่ผ่านการศึกษามาบ้าง(แค่ปริญญาตรีเกรดต่ำๆ) พร้อมทั้งคอยเฝ้ามอง ญาติพี่น้อง และคนใกล้ตัว ว่าการศึกษาส่งผลให้ชีวิตเขาเป็นอย่างไร
และผมก็สรุปด้วยตัวเองว่ายังมีปัญหาแน่นอน ถึงผมไม่ใช่ผู้มีหน้าที่โดยตรง แต่ผมก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของคนที่เคยได้รับการศึกษาในระบบ ที่ต้องช่วยกันปรับปรุงระบบการศึกษาให้ดียิ่งขึ้น
ที่ผมได้นำบทความข้างต้นมาให้อ่านกันนั้น ในตอนแรกเข้าใจว่าน่าจะดีกับนักการศึกษาที่ยังไม่เคยได้อ่าน เผื่ออ่านแล้วอาจเป็นทางเลือกหนึ่งก็ได้ แต่ก็เสียใจที่ทำให้ครูอ้อยรู้สึกไม่ดี แต่ก็คงยืนยันที่จะแสดงความคิดเห็นทำนองนี้เหมือนเดิม
ชักสงสัยแล้วว่าครู อาจารย์ท่านอื่นอ่านบทความข้างต้นแล้วคิดอย่างไรบ้าง รบกวนกัลยาณมิตรทั้งหลายแสดงความเห็นหน่อยครับ เอาแบบตรงๆ แบบครูอ้อยเลยครับ
สุดท้าย(แต่ไม่ท้ายสุด) ขอขอบคุณครูอ้อยที่แวะมาอ่าน และแสดงความเห็นอันมีค่าแก่ผม(และอาจจะกับคนอื่นๆ ด้วย) และหวังว่าโอกาสหน้าเราจะได้ ลปรร. กันอีกครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีครับท่านเทพ
ธรรมะสวัสดีครับ
มาอ่านแล้วครับ น้องบ่าวทั้งสองคน
ตอบสั้นก็แล้วกันนะ ว่า .. เข้าใจ สิ่งที่นำเสนอ ไม่ว่าตัวบันทึก หรือการตอบข้อคิดเห็นของครูอ้อย
ความเห็นต่างเป็นเรื่องปกติ สาเหตุที่เห็นต่าง มีมากมาย ตั้งแต่มุมที่มองเป็นคนละมุม
อาจเป็นไปได้ว่าบางคนมีที่จำกัดให้ยืนอยู่ด้านเดียว จึงเห็นมุมเดียว
บางคนได้เดินดูหลายที่จนเห็นจากหลายมุม
บางคน ตั้งใจดูจนเห็นทุกมุมทั้ง 360 องศา พอสื่อสารออกมาเลยมีความแตกต่าง
แต่สิ่งหนึ่งที่พึงระวังก็คือ ควรนิ่งให้ได้เมื่อเห็นความต่าง และค่อยๆทำความกระจ่างด้วย ปัญญา และ เมตตา สลัดสิ่งที่เรียกว่า อารมณ์ ออกไปให้ไกลๆ เพราะตัวนี้ ทำลายคนดีมามากแล้ว
คิดถูก ทำถูก ไปเรื่อยๆ ในที่สุดทุกคนก็จะได้ทำลาย "ความไม่รู้" เสริมสร้าง "ความรู้" ชนิดที่เป็น "วิชชา" เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จครับ.
Handy
ขอบพระคุณพี่บ่าว ผู้เป็นกัลยาณมิตรมากครับ น้อมรับคำเสนอแนะอย่างเต็มอกเต็มใจครับ
ขอบคุณครับ /|\
เห็นด้วยกับคุณ Handy ค่ะ..
และสิ่งที่คนๆหนึ่งรับรู้ทั้งหมดของเขา ก็ไม่สามารถสื่อออกมาให้คนอื่นได้รับรู้ทั้งหมด (และนี่ก็ยังเป็นปัญหาของการสื่อสาร ดังนั้นในเรื่องสำคัญๆ..การสื่อสารจึงต้องมีเรื่องของการฟังอย่างตั้งใจ (ใส่ใจ-เข้าถึง)...จะสื่อสารกันเข้าใจจริงๆ ก็ต้องคุยกันนาน..น..และต้องเข้าถึงซึ่งข้อมูลในใจ..จริงๆ...และเห็นภาพเดียวกันทั้งหมด..อันเป็นหนึ่ง...และอะไรก็ไม่สำคัญเท่า..เราก็ต่าง...มีจิตใจและเป้าหมายที่ดีงาม..เหมือนๆกัน
ผมเคยอ่านหนังสือท่านกฤษณมูรติ ครั้งหนึ่งประทับใจมากครับ
ลองอ่านดูจากบันทึกผมครับ
ขอบคุณครับผม
จากนี้ เขาเหล่านั้นจะเริ่มค้นพบว่ามีเงื่อนไขของอิทธิพลกำหนดชีวิต บิดเบือนความคิดเขาอยู่อย่างไร
อิทธิพลกำหนดเหล่านี้คือตัวตนซึ่งได้รับความสำคัญอย่างมหันต์และน่ากลัว อิสรภาพจากอิทธิพลกำหนดและจากความทุกข์โศกของอัตตา
เริ่มต้นด้วยการตระหนักรู้เช่นนี้ ในอิสรภาพเยี่ยงนี้เท่านั้นการเรียนรู้ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ ในโรงเรียนเช่นนี้เป็นความรับผิดชอบของครูที่จะค้ำจุนร่วมกันกับนักเรียน
ซึ่งการค้นหาอย่างระมัดระวังเข้าสู่นัยทั้งหมดของอิทธิพลครอบงำและแล้วมันจบสิ้นลง” “เหตุใดเราต้องได้รับการศึกษา นี่เป็นปัญหาที่สำคัญจริง ๆ ศึกษาเล่าเรียนเพียงเพื่อที่จะปรับตัวตามจารีตประเพณีที่ทำตามกันมา หรือเพื่อให้ได้งานทำหรือการศึกษาเป็นอะไรบางอย่างซึ่งต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง…"
การศึกษาไม่ใช่เพื่อบ่มเพาะความจำ แต่เป็นกระบวนการทำความเข้าใจ ความเข้าใจไม่ได้เกิดขึ้นด้วยความคิดวิเคราะห์แยกแยะ แต่ความเข้าใจเกิดขึ้นเมื่อจิตใจสงบนิ่งเงียบ…ไร้พันธนาการ ไม่แสวงหาการบรรลุความสำเร็จใด ๆ อันเป็นอุปสรรคต่อชีวิตและทำให้กลัวความล้มเหลว ความเข้าใจ ซึ่งนำไปสู่ปัญญาซึ่งเกิดขึ้นได้เมื่อจิตใจนิ่งเงียบเท่านั้น
การศึกษานั้นถูกต้อง และเมื่อนั้น สิ่งอื่น ๆ ก็จะเป็นผลตามมา”
ธรรมะสวัสดีครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
สวัสดีค่ะ คุณธรรมาวุธ
ดิฉันเข้ามาบอกว่าได้อ่านหนังสือ “ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ” ของ ท่าน ติช นัท ฮันห์ จบรอบแรกและกำลังอ่านรอบสองเพื่อทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ค่ะ ชอบบทที่ว่าด้วย การรู้เท่าทัน จังเลย อ่านเข้าใจง่ายดี จะว่าไปแล้วท่านก็อธิบายธรรมะประจำวันได้อย่างเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง อันนี้คงต้องขอบคุณผู้แปลด้วย
ชอบประโยคนี้ของคุณแหววนะคะ "อะไรก็ไม่สำคัญเท่า..เราต่างก็...มีจิตใจและเป้าหมายที่ดีงาม..เหมือนๆกัน" น่ารักจัง อ่านหนังสือของท่าน ติช นัท ฮันท์ ก็สัมผัสได้ถึงโลกทรรศน์คล้ายๆกันนี้
ดิฉันอ่านข้อเขียนของ กฤษณมูรติ บางเล่ม รู้สึกว่าอ่านยากกว่าของท่านติช นัท ฮันห์สักหน่อย บางเรื่องก็ต้องตีความเยอะเหมือนกัน
ไว้อ่าน "ปาฎิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ" จบรอบสองเมื่อไหร่จะแวะมาเล่าให้ฟังนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ : )
สวัสดีครับ
สวัสดีค่ะคุณธรรมมาวุธ
อ่านแล้วนึกถึงคำพูดของท่านกฤษณมูรติที่เบิร์ดตีความ ( เอาเอง ) และจำได้ขึ้นใจว่า " ถ้าครูสามารถปลุกวิญญาณการเรียนรู้ของเด็กได้ เขาก็ไม่ต้องสอนสิ่งที่เด็กจะต้องรู้เลย เพราะสิ่งที่เด็กจะต้องรู้ เด็กจะเรียนรู้เอาเอง "
การเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นวิถีใด ถ้าทำให้ผู้เรียนเกิดปัญญาก็ถือว่าเป็นการเรียนที่สมบูรณ์แล้วนะคะ เพราะในทางพุทธของเราคำว่าสิกขาหรือศึกษาหมายถึงกระบวนการเรียนรู้ที่กอปรด้วยความพร้อมพรั่งในศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ได้แยกส่วนใดส่วนหนึ่งออกจากกัน
ความหิวแก้ได้ด้วยอาหาร...
ความเขลาแก้ได้ด้วยการศึกษา....
และหัวเราะไม่ไหว...ยิ้มได้ก็ยังดีนะคะ ^ ^
ขอบคุณมากค่ะสำหรับบันทึกดีๆที่ทำให้เบิร์ดเห็นทางของโรงเรียนทางเลือกหลายๆโรงเรียนในไทย...
ความหิวแก้ได้ด้วยอาหาร...
ความเขลาแก้ได้ด้วยการศึกษา....
และหัวเราะไม่ไหว...ยิ้มได้ก็ยังดีนะคะ ^ ^
ขณะที่อ่านครั้งแรก คิ้วผมกำลังขมวด พออ่านจบหัวเราะก๊ากเลยครับคุณเบิร์ด
ขอบคุณกับกัลยาณมิตรที่มีน้ำใจไม่เคยเหือดแห้งคนนี้เลยครับ
ธรรมะสวัสดีครับ
มันไม่ใช่ความเพ้อฝันหรอก
แต่ถ้าเป็นความเพ้อฝัน ก็ถือว่าเป็นฝันที่เป็นสิ่งที่ดี
ปัจจุบันเรามีแต่ท่องและจำหนังสือไปสอบ ใครจำได้เยอะก็ได้คะแนนเยอะ เราไม่เคย
เคยใช้ความคิด หรือจะเรียกได้ว่าเราคิดไม่เป็น
ทุกอย่างต้องทำอย่างที่สังคมเขาตีกรอบให้
การเฝ้ามองดูความเป็นไป คิดและจับปฐมเหตุได้
ก็ถือว่าได้ใช้ชีวิตอย่างฉลาด
ดิฉันก็เป็นครู ที่อยากจะสอนให้เด็กรู้จักคิด แต่มันเป็นไปได้ยากท่ามกลางสังคมอันมีแต่
กรอบและกฏระเบียบ และที่สำคัญ ทุกคนหวาดกลัวต่อกฏนั่นไปเสียแล้ว